🎭💥 ชีวิตปี 2022 รีวิวแบบสับแหลกฉบับมนุษย์แม่ ISFP -A 🎨🪄
BeeAnguish3218ถ้าถามว่าปี 2022 ตั้งเป้าหมายอะไรไว้ บอกตรงๆ เลยว่า เป็นปีที่ไม่กล้าตั้งเป้าหมายแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย เพราะปีสองปีที่ผ่านมา ชีวิตผันแปรกลับไปกลับมาจนงงไปหมด แพลนอะไรก็ต้องพับมันเก็บหรือขย้ำทิ้งถังขยะไปเลยก็ว่าได้
ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปเพื่อเชื่อมโยงกับชีวิตปีนี้ก่อนแล้วกันค่ะ อย่างต้นปี 21 ปีที่แล้วสถานการณ์โควิดดูดีขึ้น เป็นปีที่ตั้งใจส่งลูกเรียนอ.1 ใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้ที่ทำงานสามี และวางแผนแล้วว่าอยากขายบ้านชาญเมือง เพื่อย้ายไปอยู่คอนโดในเมือง ตัวบีเองก็แพลนกลับไปทำงาน หลังจากว่างงานมาเป็นปี เพราะบริษัทปิดกิจการด้วยผลจากโควิดต้นปี 20 (เป็นงานแรกที่มีโอกาสได้ทำหลังจากออกงานประจำมาเลี้ยงลูกเองยาวๆ และเป็นงานสายการบินที่ภูมิใจที่ได้ทำมาก แต่เพิ่งทำได้แค่ 10 เดือน ก็ดับฝันแล้ว ฮืออ)
กลับมาปี 21 ต่อ ลูกชายได้ที่เรียนเรียบร้อย ตัวบีเองก็หางานได้แล้วเช่นกัน แต่..... สุดท้ายต้องล้มเลิกแผนหมด กลับมาอยู่บ้าน เพราะโรงเรียนเปิดเรียนซัมเมอร์ได้ 1 สัปดาห์ โควิดก็กลับมาระบาดรุนแรง เลยต้องเรียนออนไลน์ที่บ้านยาวตลอดปีอนุบาล1 บีเองทำงานได้ 3 เดือนก็ต้องลาออกมาดูแลลูกที่บ้านเหมือนเดิม ห๊ะ ชีวิต กลับมาเป็นมนุษย์แม่ฟูลไทม์อีกแล้วหรอเรา ไวจุง คิดว่าจะได้ออกไปทำงานสนุกๆ หาเงินช่วยครอบครัว และสนองตัณหาตัวเองได้พอกรุบกริบ กลายเป็นกุมขมับทุกวันดูลูกเรียนหน้าจอ 😅
ด้วยอะไรต่างๆ ที่เกริ่นมาทั้งหมด ปีนี้เลยเป็นปีที่ไม่ตั้งเป้าหมายและไม่คาดหวังมาก คือฟีลค่อนข้างสิ้นหวัง 555 เอาเป็นว่าขอแค่ได้มีความสุขเล็กๆ ทางใจในแต่ละวัน ได้เป็นตัวเราในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม และพยายามจัดการเวลาในแต่ละวันได้โอเคก็พอ เพราะชีวิตมนุษย์แม่ เวลาทั้งวันเรียกว่าต้องให้ลูก และต้องไม่ลืมเวลาครอบครัวด้วย แต่ปีนี้บีไม่ลืมที่จะนึกถึงเวลาส่วนตัวของตัวเอง ที่รู้สึกว่ามันหายจากเราไปนาน
ซึ่งบีจะแบ่งเรื่องที่เป็นไฮไลต์ของปีออกเป็น 10 ข้อแล้วกันค่าา
1.) เป็นปีที่ยอมรับว่าเราคือมนุษย์แม่ ISFP (อาร์ตตัวแม่)
บีเคยทำแบบทดสอบบุคลิกภาพส่วนบุคคลหรือ MBTI เมื่อหลายปีมาแล้ว ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมเลย แต่ไม่เคยเก็บเอามาปรับใช้ ที่ผ่านมามัวแต่เครียดกับปัจจัยภายนอก ช่วงโควิดปัญหารุมเร้าหนักมากจริงๆ ในฐานะที่เป็นครอบครัวใหม่เพิ่งสร้างตัว จนลืมไปว่าเราอาจจะมีความสุขมากขึ้นก็ได้ถ้าเราเข้าใจตัวเองก่อน ซึ่งพอเราวิเคราะห์ตัวเองได้ รู้จุดอ่อนจุดแข็ง และยอมรับว่าลึกๆ เราเป็นคนยังไง เราต้องการอะไร ก็ทำให้เราไปต่อกับชีวิตได้ดีขึ้นนะ
ใครอยากลองทำแบบทดสอบง่ายๆ ลองที่เว็บไซต์นี้เลยค่ะ https://www.16personalities.com/
สิ่งที่บีต้องการตลอดมาคือเวลาส่วนตัว แล้วเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมาตั้งแต่เด็กจริงๆ ยิ่งตอนทำงานศิลปะ ยิ่งอยากอยู่คนเดียว ชอบอารมณ์จดจ่ออยู่กับงานเพลินๆ ไม่มีอะไรรบกวน พอมาเป็นมนุษย์แม่ โอโห ปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่มาก พยายามเลิกคิดเรื่องเวลาส่วนตัว เพราะบีเลี้ยงลูกเองมาตลอดตั้งแต่คลอด ตัวติดกันตลอดเวลา จนถึงตอนนี้คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างที่นอกเหนือจากกิจวัตรเดิมๆ ที่เราเคยทำ เลยหาวิธีปรับตัวใหม่ เพื่อให้จิตใจเราดีขึ้น
สังคมทั่วไปอาจจะแย้งว่า ใช้เวลากับลูกไปเถอะ เก็บเกี่ยวให้มากที่สุด อีกเดี๋ยวลูกก็โตแล้ว
แต่แม่ทุกคนใช่ว่าจะสะดวกทำแบบนั้น คนเรามีความเป็นตัวตนต่างกันรวมถึงลูกแต่ละคนก็นิสัยต่างกันด้วย ดังนั้นเราเลยช่างกระแสสังคมไป เอาที่ใจเราพร้อมดีกว่า การที่อยากมีสเปซของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากเลี้ยงลูก เราสามารถเลี้ยงให้ดีที่สุดตามวิธีที่เราและลูกสะดวก เมื่อก่อนเรากดดันตัวเองว่าต้องเป็นแม่ที่ดี ยิ่งว่างงานด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าเราไม่มีประโยชน์มากเท่าที่ควร (กลายเป็นด้อยค่าตัวเองไปอีก) ดังนั้นต้องเลี้ยงลูกให้ดี ไม่ให้ใครมาว่าได้ แต่การที่เราทุ่มเวลาทั้งหมดให้ลูก มันดูดพลังไปหมดจนไม่เหลือถึงสมาชิกครอบครัวคนอื่น ต่อหน้าลูกจะเล่นจะยิ้มกับเค้านอกจากนั้นกลายเป็นคนเฉยๆ ชาๆ เหมือนวิญญาณ จนมีปัญหากับสามีบ่อยๆ
เราเลยพยายามปรับที่ตัวเรา หาอะไรที่ชอบทำ ซึ่งเป็นคนชัดเจนมาตลอดว่าชอบทำอะไร เป็นความโชคดีของเรา มีหรือไม่มีเวลาก็หมั่นทำจนเป็นกิจวัตรอีกอย่างไปเลย จัดสรรเวลาให้ดี พอเรารู้สึกมีความสุขกับตัวเองมากขึ้น เลยมีพลังรับมือกับหลายๆ เรื่องได้ดีมากขึ้นในแต่ละวัน ถึงจะไม่ได้มีเวลาส่วนตัวแบบจริงจัง แต่เราก็สนองด้วยการแบ่งเวลามาจดจ่อกับสิ่งที่เราชอบมากขึ้น ปล่อยให้ลูกเราเล่น และเติบโตเองบ้างก็ได้ ไม่ต้องโอบอุ้มเค้าอยู่ตลอดเวลาจนตัวเราเองหมดแรงและเสียการทรงตัว สรุปพอได้ลงมือทำ ได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาบ่อยๆ กลายเป็นยิ่งทำยิ่งมีพลังไปทำอย่างอื่นมากขึ้น เอนจอยเวลากับลูกมากขึ้น รู้สึกชื่นชมตัวเองมากขึ้น และสามารถมอบความรักให้คนรอบตัวได้ดีกว่าเดิมด้วย
2.) เป็นปีที่ได้คุยกับนักจิตวิทยาครอบครัวเป็นครั้งแรก
อย่างที่บอกไปข้อแรก ว่าทะเลาะกันบ่อย การทะเลาะกันมันก็มีข้อดี เพราะทำให้เจอปัญหาชีวิตคู่ที่ต้องนำมาปรับมาแก้ แต่ของเรายิ่งทะเลาะกันยิ่งไม่เข้าใจกัน ไม่เจอทางออก ทะเลาะกี่ทีก็ย่ำอยู่ที่เดิม เหมือนสื่อไม่ถึงกันสักที จูนคลื่นไปอยู่คนละช่องเสมอ หนักถึงขั้นคุยกันประโยคเดียวก็วงแตก งงมาก คน sensitive อย่างเราใช้น้ำตาเปลืองมากปีนี้ ไม่โอเค เลยต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญช่วยแก้ไขก่อนที่จะสายเกินไป
การคุยกับนักจิต จะไม่เหมือนการไปพบแพทย์ ที่มาวิเคราะห์ว่าเราบกพร่องตรงไหน ต้องรักษายังไง แต่นักจิตจะรับฟัง และถามเรากลับมาว่า เรารู้สึกยังไง เราต้องการอะไร และสอนให้เราลองมองตัวเราเองจากจุดที่อีกฝ่ายยืน ซึ่งดีมาก เป็นการคุยที่ทำให้เราคิดถึงอีกฝ่าย และพยายามเข้าใจเค้าจริงๆ ว่าถ้าเป็นเค้า เราจะรู้สึกยังไงกับเรา พอต่างคนต่างเห็นใจกัน เหมือนประโยคที่ว่า " I see you." ในบทภาพยนตร์เรื่อง Avatar มันก็ทำให้ต่างคนต่างพัฒนาความคิดตัวเอง มองถึงจุดที่ดี และยอมรับความไม่สมบูรณ์ของกันและกันได้
3.) เป็นปีที่หัดคีบตุ๊กตาตามตู้ครั้งแรก และค้นพบว่ามันหยุดคีบไม่ได้จริงๆ
อย่างที่ทราบกันดีว่าปีนี้สถานการณ์โควิดค่อนข้างทรงตัว ทำให้ทุกคนออกมาใช้ชีวิตได้ปกติเกือบ 100% โรงเรียนเปิดเทอมปกติ ลูกชายก็ได้ไปโรงเรียนจริงๆ สักที เนื่องจากเรียนใจกลางเมือง หลังเลิกเรียนเลยพาแวะเที่ยวต่อง่าย กิจกรรมที่ครอบครัวเราสนุกกับมันมากคือเล่นตู้คีบตุ๊กตานี่แหละ คีบกันมันส์มาก แล้วคีบกลับบ้านได้ติดไม้ติดมือมาบ่อยด้วย ลูกชายแฮปปี้มากก พ่อกับแม่ก็คีบสนุก จนตอนนี้ลูกคีบเองเป็น ได้ตุ๊กตาจากฝีมือคีบตัวเองมาแล้ว หยอดตู้ทีละสิบบาท รวมๆ แล้วคุ้มมั้ยไม่รู้ แต่ลุ้นกันมันส์มาก หยุดไม่ได้จริงๆ ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกันแบบง่ายๆ พอกลับมามองตุ๊กตาแต่ละตัว ก็มีภาพจำให้คิดถึงเสมอ แถมเป็นการฝึกคีบตุ๊กตาจีบสาวไปในตัว 😆😊
4.) เป็นปีที่ได้สวมบทบาทคุณแม่ ไปร่วมงานวันแม่ที่โรงเรียนลูกครั้งแรก
ตอนแรกไม่เคยอินกับงานแบบนี้เลย แต่พอมาประสบด้วยตัวเอง เออ มันเป็นความทรงจำที่น่าจดจำทั้งของเราและลูกเลย เป็นการแสดงความรู้สึกว่าเรารักเค้า เราใส่ใจเค้านะ เค้าก็ได้รับความอบอุ่นจากเราด้วยเช่นกัน เพราะปกติพ่อแม่ไม่เคยได้เข้าห้องเรียนลูกเลย แล้วการที่ได้เห็นลูกในห้องเรียน แบบลูกเราเก่งแล้วอ่ะ ปรับตัวเข้ากับโรงเรียนและเพื่อนๆ ได้ดี ชื่นใจมากๆ ตกใจที่ลูกเราโตไวเหมือนกันนะ
5.) มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนออฟฟิศจีบันเป็นครั้งแรก
ตื่นเต้นมากๆ ที่ได้มีโอกาสแวะไปที่ออฟฟิศจีบันเพื่อถ่ายภาพแคมเปญ แอบชอบบ้านและอาคารละแวกนั้นมากเลย และดีใจมากกกที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญวันสตรีสากลปีนี้ ถูกสัมภาษณ์ครั้งแรก แอบเกร็ง แต่ก็พูดได้เยอะตามภาษาคนเวิ่นเว้อ ขอบคุณคุณอลิซมากๆ ที่เรียบเรียงคำพูดของบีออกมาให้คนอ่านเข้าใจได้ค่ะ 5555 เป็นประสบการณ์ที่จะไม่ลืมเลย ถ้ามีโอกาสในวันข้างหน้าที่พอจะห่างจากลูกได้บ้าง ก็อยากร่วมกิจกรรมพบปะกับสาวๆ จีบันบ้างค่า 🥰
6.) เป็นปีที่สนุกกับการแต่งหน้ามากกกก
ปีนี้ตั้งใจทำผลงานออกมาแบบไม่ขาด หาเวลาหมั่นทำจนติดเป็นนิสัย เพราะถ้าหยุดทำปุ๊บจะเข้าสู่ภาวะคนหมดไฟทันที ถึงจะมีช่วงที่เศร้าหรือมีปัญหาบ้างในปีนี้ ก็ไม่หยุดทำ คลิปTiktok แรกที่ทำ ก็คือแรงฮึบวันที่เศร้าหนัก เลยดึงตัวเองลุกขึ้นมาทำให้หายเศร้า หาทำตลอดเวลาให้ชีวิตมีสีสัน แล้วความเศร้ามันหายไวมากจริงๆ สรุปว่าปีนี้แฮปปี้มากกกกับการแต่งหน้า ยิ่งได้ลองแต่งลุคใหม่ๆ ยิ่งมีความสุข น่าจะ 20+ ลุคได้ รู้สึกภูมิใจกับตัวเองนะ ทำให้มีไฟอยู่ในใจเราตลอด บอกได้เลยว่าการแต่งหน้า การทำรีวิว คือยาฮีลใจของบีที่แท้ทรู ปีหน้าก็ตั้งใจจะไปต่ออย่างไม่หยุดยั้ง และพยายามพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมในแบบของเราเอง
7.) เป็นปีที่มีโอกาสรับรายได้จากการทำสิ่งที่เรารัก
ข้อนี้ยิ่งภูมิใจกับตัวเองเข้าไปใหญ่ เพราะเราได้ทำสิ่งที่เรารัก พร้อมกับได้ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ ปีก่อนก็มีบ้างนานๆ ฟลุ้คๆ แต่ปีนี้มีเพิ่มขึ้น ที่ดีใจที่สุดคือการที่มีคนมองเห็นในสิ่งที่เราทำ เวลามีคนติดต่อมา แค่ติดต่อมาก็ดีใจแล้ว ถึงจะได้คอนเฟิร์มงานหรือไม่ก็แล้วแต่ บีรู้ตัวเองว่างานเรายังไม่ใช่มืออาชีพ เพราะมีแต่ใจกับโทรศัพท์มือถือเครื่องนึงในคุณภาพกลางๆ บางทีก็คิดว่าพยายามเกินขีดความสามารถของมันอยู่นะ อาศัยศิลปะในตัว และส่วนที่เรียนออกแบบสื่อมา แต่แอบคืนอาจารย์ไปหมดแล้วหลังจากเรียนจบ แมคบุ้คพัง ไม่ได้ไปต่อในสายงานนี้อีก ถ้าถามว่าจบจากไหนจะไม่กล้าบอกเลย เพราะวิทยาลัยตอนนี้ดังมากในหมู่คนรุ่นใหม่ 555 แต่ก็นี่ล่ะ ได้มาเริ่มใหม่กับงานอดิเรกที่เรารัก ทุกผลงานรีวิวก็ทำเต็มที่ให้ตัวเราเองพอใจก่อนเลยอันดับแรก บีชอบโพสต์เป็นกระทู้นะ รู้สึกสนุกกับการทำดี ได้เวิ่นเว้อในสไตล์ตัวเอง เวลาแต่งภาพก็เพ่งแล้วเพ่งอีกในโทรศัพท์นี่แหละ ทำเรื่อยๆ เพลินดีเลย ในวันนี้และต่อไปก็จะพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่เอาตัวเองไปเปรียบกับใคร แข่งกับงานของเรา และใจของเราเองเท่านั้น
8.) ปีนี้ถูกล็อตเตอรี่ด้วยยย
ปกตินานๆ จะซื้อสักใบ แต่เดี๋ยวนี้เค้ามีแอปพลิเคชั่นให้ซื้อออนไลน์ได้แล้ว เลยซื้อไว้เฉลี่ยเดือนละใบ เพิ่งถูกงวดวันที่ 16 ธันวา เป็นครั้งแรกในรอบปี ดีใจมากกก ถูกเลขท้าย 2 ตัว 2,000 บาท ถึงดูๆ แล้วจะเป็นการคืนทุนของทั้งปีก็เถอะ 😂
9.) เป็นปีที่เริ่มจัดสรรเวลาในชีวิตได้
ก่อนหน้านี้อาศัยตอนลูกนอนกลางวันแต่งหน้ากับทำรีวิวอะไรไปเรื่อย แต่พอเริ่มโตการนอนกลางวันของลูกก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ยิ่งโตขึ้นยิ่งไม่นอนกลางวัน เลยรู้สึกว่ามีเวลาทำน้อยลง แต่เอาจริงๆ เพราะไม่เคยแพลนเวลาเอง ตามประสาคนอาร์ตๆ 😅 พอไม่ได้ทำแล้วเป็นไง หงุดหงิด เพราะคิดไว้แค่ว่าลูกหลับแล้วลงมือทำ ตอนนี้ก็ปรับตัวใหม่ ชีวิตการเป็นแม่นี่ต้องปรับตัวเก่ง ปรับตัวอยู่เสมอจริงๆ ตามวัยของลูกเนอะ ยิ่งวัย 4-5 ขวบ กำลังอยากเล่นอยากปล่อยพลัง เลยแพลนไว้ว่าช่วงก่อนเที่ยงของวันเสาร์อาทิตย์ คือเวลาถ่ายภาพรีวิว ส่วนวันธรรมดาช่วงที่ลูกไปเรียน จะใช้เขียนรีวิว และทำภาพ รวมถึงโพสต์งานด้วย บางทีก็ทำต่อตอนดึกถ้านอนไม่หลับ ส่วนเวลานอกเหนือจากนั้นคือดูแลลูกเต็มๆ รับบทแม่+ภรรยา วันธรรมดาบางวันที่แฟนหยุดงานก็ไปเดทกัน 2 คนตอนลูกไปเรียน หลังจากที่ไม่ได้มีโมเมนต์แบบนี้มานาน แฮปปี้ขึ้นเยอะทุกฝ่าย และค้นพบว่าป๊อบคอร์น SF รสบาร์บีคิวอร่อยมากเลย
10.) สุดท้ายคือ ได้เป็นเพื่อนใน FB ส่วนตัวของแม่สายป่าน Sp Saypan
ใจฟูสุดๆ ค่าา นอกจากจะเป็นนักรีวิวตัวแม่ที่ควรติดตามอ่านรีวิวคุณภาพ น่าใช้ตามแล้ว แม่ป่านยังเป็นเหมือนแรงบันดาลใจในการปลุกไฟในตัวบีเองอีกด้วย เพราะแม่ขยันมากก แม่ลงรีวิวทุกวัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แล้วเป็นคนที่ไม่เคยหมดไฟในการรีวิวเลยมาเป็นสิบปี พอเริ่มติดตามอย่างจริงจังช่วง 2-3 ปีมานี้ที่ว่างงาน สัมผัสได้ถึงทัศนคติและพลังบวกอย่างล้นหลามเลย จริงๆ ติดตามตั้งแต่ตอนท้องปี 2017 แล้ว ตอนนั้นแม่ป่านก็กำลังท้องน้องโทนี่ เลยได้ความรู้เรื่องของลูกไปด้วย แถมตอนนี้ยังมีกลุ่มส่วนตัวให้แฟนเพจเข้าไปรีวิวของที่ใช้แล้วชอบป้ายยากันตามสบายอีกด้วย บีเองก็สิงอยู่ในกลุ่ม กลายเป็นคนที่หยุดรีวิวไม่ได้เลยจริงๆ จนวันนี้ก็รีวิวไปแล้ว 60 รีวิว รีวิวจนเค้าจำได้นั้นแหละ 555 มีรางวัลเป็นกำลังใจสูบฉีดให้ชาวกลุ่มด้วยทุกวีค ใครอยากเข้าไปรีวิวสนุกๆ ก็ลองแวะมาที่กลุ่ม รีวิวตัวแม่ถูกและดี by Sp Saypan กันนะคะ
สรุปปี 2022 ทำให้เราเลิกคาดหวังจากผู้อื่น จากสิ่งรอบตัว และไม่คาดหวังกับสิ่งที่จะเกิดในอนาคต แต่กลับมาโฟกัสที่ตัวเราเอง และปัจจุบัน ว่าวันนี้เราทำอะไรได้บ้าง เรามีความสุขในแต่ละวันแล้วหรือยัง ดังนั้นทุกวันนี้ ถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามา เราก็จะทำเท่าที่ความสามารถเราจะทำได้เลย ทำอะไรได้ ก็รีบทำซะ เพราะสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปได้ทุกวัน แม้กระทั่งตัวเราเอง ถ้าวันนี้มีความสุขกับอะไร ก็รีบเก็บเกี่ยว รีบลงมือทำ และเต็มที่ไปกับมัน อย่างน้อยเราก็โชคดี ที่เรายังรู้ว่าเราชอบอะไร และมีโอกาสได้ทำสิ่งที่ชอบ
ในปี 2023 ที่จะถึง ก็ขอตั้งเป้าไว้แค่อย่างเดียว คืออยากได้กล้องสักตัวมาถ่ายภาพรีวิว ตั้งใจพัฒนาคุณภาพและลงทุนกับอะไรที่เรารัก อะไรที่เราทำแล้วมีความสุข มันคุ้มค่าแน่นอน
ขอขอบคุณบ้านจีบันที่เป็นพื้นที่ และสังคมที่น่ารัก ให้บีได้แสดงออกและทำในสิ่งที่รักตลอดทั้งปีนี้และเสมอมา ขอขอบคุณทุกกิจกรรม และทุกรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้มาทุกชิ้นเลย รู้สึกดีใจภูมิใจทุกครั้งที่ได้รางวัล มันช่วยเติมพลังใจให้นักรีวิวมือสมัครเล่นแบบบีมากๆ รักบ้านจีบันเสมอและตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง
❤️✨❤️✨❤️✨❤️✨
❤️
Discussion (18)