เส้นทางโหดหินสู่ความเป็น Supermodel - Mouth On The Web

36 8
จากวิวาทะ
 " เริ่มแรกเดิมทีชั้นก็คอยเลือกสรรว่าจะเดินแบบให้กับแบรนด์อะไรมาตลอดอยู่แล้ว ชั้นไม่เคยจะเป็นหนึ่งในพวกนางแบบที่เดินรันเวย์ซีซั่นละ 30 โชว์หรือทำบ้าอะไรอย่างที่พวกเธอทำ มันอาจจะทำให้พวกเธอดังขึ้นนะ แต่ชั้นมีงานเป็นล้านรออยู่ ไม่ใช่แค่เดินแบบแต่ยังมีงานอื่นเยอะแยะ พองานทั้งหมดมันถาโถมเข้ามาพร้อมกันชั้นก็สติกระเจิดกระเจิงไปบ้างและต้องถอยหลังมาตั้งหลักก่อน" จากสัมภาษณ์ของเคนดัล เจนเนอร์นั้นได้สั่นสะเทือนวงการนางแบบเกิดเป็นดราม่าที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน  






นางแบบหลายคนรู้สึกว่ากำลังถูกดูหมิ่นจากถ้อยคำที่นางแบบเซเลบคนดังเลือกใช้  
แม้ว่าเจ้าตัวจะออกมาชี้แจงว่าถูกตีความคำพูดไปผิดๆ แต่ก็ยังมีเสียงโจษจันอย่างไม่เชื่อถือ


 วลาด้า รอสไลอาโควา  คือนางแบบที่peak สุดๆ ในช่วงปี 2000-2010 ก่อนจะถึงยุคของนางแบบ social media ขึ้นปกแม็กกาซีนเป็นร้อยครั้ง  ถ้าถามว่าเดินแบบให้กับแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงอะไรมาบ้าง อาจจะต้องเปลี่ยนคำถามว่าไม่ได้เดินให้กับแบรนด์ไหนคงจะนับง่ายกว่า  เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสารพัดแคมเปญ  เธอเคยเป็น "เด็ก"ของคาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ไม่ต่างจากเคนดัล  แต่เส้นทางการทำงานนั้นแตกต่างไปคนละขั้ว วลาด้าคือหนึ่งในนางแบบที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการ "เลือก" ทำงานกับแบรนด์ที่ถูกใจได้ เมื่อโด่งดังแล้ว เธอก็ไม่ได้ปริปากเปรียบเทียบสไตล์การทำงานของตัวเองกับนางแบบคนอื่น

นางแบบหน้าตุ๊กตาที่ถูกยกให้เป็นตัวแม่จากรัสเซียนั้นเกิดอาการเดือดจัดหลังจากที่ได้เห็นคอมเมนท์ฉาวดังกล่าว  



"แค่อยากจะบอกอะไรให้ระลึกไว้นะ  พวก 'นางแบบเหล่านั้น' ที่ถูกพาดพิง พวกเธอเดินแบบถึง 86 โชว์ในแต่ละซีซั่น ไม่ใช่ 30 หรือที่บอกว่า "สิ่งบ้าๆ ที่พวกเธอทำ" นั้นน่ะ  พวกเธอไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธงานหรือ "ทำตัวช่างเลือกเพื่องานที่อยากจะทำ" ได้หรอกนะจ๊ะ กว่าจะสร้างชื่อสร้างความเข้มแข็งในยุคที่ไร้ Instagram มาได้"

"ชั้นขอแสดงความนับถือและยกนิ้วให้กับสาวๆ ทั้งหลายที่เคยผ่านหรือกำลังเผชิญหน้ากับการทุ่มเทเพื่อการทำงาน เราต้องพยายามประคองตัวให้ไหวถึงจะได้นอนแค่ 2 ชั่วโมงในอพาร์ทเมนท์ที่แออัดกับนางแบบคนอื่น  อยู่รอดด้วยกาแฟและอาหารหลังเวทีรันเวย์" #thosegirls




" 'คำพูดที่ถูกบิดเบือนความหมายไปผิดๆ' อันนั้นมันทิ่มแทงใจชั้นสุดๆ ตอนที่โพสท์ข้อความที่แล้ว ชั้นก็ไม่คิดหรอกค่ะว่าจะได้ข้อความส่งความรักและกำลังใจสนับสนุนมากมาย ขอบคุณพวกคุณทุกคนมากๆ เลยนะ  เมื่อคืนนี้ชั้นอดไม่ได้ที่จะหยิบเสื้อยืดสีขาวออกมาจากตู้และเขียนถ้อยคำเหล่านี้ลงไป ชั้นภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งใน 'ผู้หญิงพวกนั้น' ค่ะ

Jac Jagaciak ปรี๊ดออกมาว่า "นี่มันทำให้ชั้นเคืองมากจริงๆ ไม่นับถือเพื่อนร่วมวงการอีก 99% บ้างเลย ใช่สิ พวกเค้าต้องทำงานหนักเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จ   ช่วยลืมตาดูโลกความเป็นจริงบ้างเถอะ"

ในภายหลัง เธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า "ถ้อยคำพวกนั้นมันกระทบกระเทือนใจคนในวงการที่ไม่ได้เป็นพวกอภิสิทธิ์ชนค่ะ ชั้นคิดว่าเธอคงอยากพูดให้คนอื่นเห็นใจ แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเลือกยกตัวอย่างขึ้นมาแบบไม่ถูกไม่ควร"



แล้วโลกแห่งความเป็นจริงของคนที่ใฝ่ฝันจะเป็นนางแบบชั้นยอดนั้นเป็นเช่นไร ?

Gisele Bundchen


มันอาจยากที่จะเชื่อ  แต่กว่าที่จะมีเอเจนซี่ยอมเซ็นสัญญากับจีเซล เธอถูกปฏิเสธไปถึง 42 ครั้ง! พวกเค้าคิดว่าเธอไม่ได้มีความงามควรค่าพอจะเป็นนางแบบในสังกัด จีเซลต้องทนฟังคำวิจารณ์ว่าตาเล็กและจมูกก็ยังโตเกินไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ชั้นปรับทุกข์กับพ่อ แล้วท่านก็บอกว่า ครั้งต่อไปลูกจงบอกพวกเค้านะว่า ชั้นมีจมูกใหญ่แต่มันก็มีเอกลักษณ์โดดเด่น และมันทำให้ชั้นระลึกได้ว่า ถ้าชั้นพยายามทุ่มเทอย่างหนัก ทำให้ดีที่สุดแล้วก็จะเกิดผล"

"ชั้นไป cast ทุกวัน  แต่งานก็ยังไม่ค่อยมีเข้ามา" แต่เมื่อถูก book ตัวในแฟชั่นโชว์ของ Alexander McQueen เป็นครั้งแรกก็เปิดโอกาสให้เธอก้าวมาแจ้งเกิดเป็นนางแบบดาวรุ่งในปีต่อมา  
" ชั้นไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรกับแฟชั่น  ชั้นรู้แต่ว่ามันคืองานที่ทำให้ได้ไปต่างประเทศทั่วโลก แล้วยังช่วยส่งเสียครอบครัวได้อีกด้วย"


ถ้าพูดถึงนาโอมิ แคมป์เบล คุณอาจจะนึกถึงนางแบบตัวแม่ที่ขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์เหวี่ยงสไตล์ดิว่า เมื่อมาถึงจีเซล เธอสร้างชื่อด้วยวินัยการทำงานของมืออาชีพ จีเซลจะมาตรงต่อเวลาและมีอัธยาศัยดีกับเพื่อนร่วมงานไม่สร้างพลังงานด้านลบ




"ชั้นรู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่คนที่หน้าตาสวยที่สุด แต่ชั้นเป็นคนที่มีพลังและทำงานหนักที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ชั้นประสบความสำเร็จ"

 "ชั้นทุ่มเทกับงานมาตลอดค่ะ ไม่เคยไปสาย จริงๆ นะ ถามใครก็ได้"

"ชั้นมีโอกาสจะได้เป็นนางแบบแล้วก็ออกจากบ้านไปตอนอายุ 14 และชั้นไม่กลับมาบ้านมือเปล่าๆ เด็กอายุ 14 จะได้อะไรเพื่อหาเงินได้บ้างล่ะ   ชั้นจึงมุ่งมุ่นตั้งใจที่จะทำให้มันสำเร็จให้ได้ค่ะ"





จีเซลรับความกดดันกับงานได้ขนาดไหน ?

ถ้าต้องให้ใส่ชุดสำหรับหน้าหนาว ทั้งอากาศที่กองถ่ายร้อนตับแตกล่ะ  
"แน่นอน ต้องทำให้ได้ 100%"
 ไม่ว่าจะเป็นชุดที่รัดแน่นหายใจแทบไม่ออก  คอนเสปท์แปลกประหลาดหรือจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่พูดจาไม่เข้าหู เธอจะพยายามคิดบวกเพื่อให้การทำงานผ่านพ้นไปได้ด้วยดี




Natalia Vodianova
Supermodel ที่ถูกขนานนามว่าซินเดอเรลล่าแห่งรัสเซีย  เธอเป็นเด็กสาวยากจนที่ต้องช่วยครอบครัวขายผลไม้ข้างถนนท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาว  ไร้เพื่อนที่โรงเรียนเพราะทุกคนล้อเลียนถึงฐานะทางบ้านและรูปลักษณ์อันผอมบาง  เมื่ออายุ 17 เธอโชคดีที่ได้พบกับแฟนหนุ่มใจดีที่ช่วยเหลือให้เข้าโรงเรียนนางแบบและจ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับคอร์ส 3 เดือนให้ เธอมุ่งไปที่ยุโรปเพื่อเสาะหาเอเจนซี่และเดินสาย casting



"ชั้นไม่คาดคิดว่าจะต้องประสบความสำเร็จหรอกค่ะ ตอนนั้นชั้นหวังแต่ว่าจะหาเงินมาช่วยแม่กับน้องสาวให้ได้เท่านั้น"


แต่ถึงจะมีรูปร่างที่เหมาะเหม็งกับการเป็นนางแบบแฟชั่นชั้นสูง และยังมีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้า แต่ Natalia รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเบียดคู่แข่งสาวสวยอีกมากมายที่มีความฝันเหมือนๆ กัน  "ถ้าชั้นไม่รีบส่งเงินกลับบ้าน  แม่และน้องอาจจะต้องไปนอนข้างถนนเลยก็ได้ มีคนบอกชั้นว่ายังมีนางแบบอีกเป็นล้านที่ดูเหมือนชั้น และไม่แน่ว่าชั้นจะได้งาน  แต่ชั้นก็เสี่ยงจะมา"


Natalia โด่งดังในวงการแฟชั่นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเพียงสองปีก็ได้พบรักกับเศรษฐีสกุลผู้ดีจากอังกฤษแต่แต่งงานมีลูกตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 แต่ไม่ได้ retire จากอาชีพนางแบบแต่อย่างใด เธอได้เซ็นสัญญากับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ได้ฉายา SuperNova จากแพรีส

แม้ Natalia จะเลิกรากับแฟนที่สนับสนุนให้เธอเป็นนางแบบตอนที่อยู่รัสเซีย เมื่อเธอโด่งดังทำเงินได้มากมายแล้วก็ไม่เคยลืมถึงบุญคุณ เธอซื้อรถเบนซ์ให้เขาเพื่อเป็นการตอบแทน! และยังได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็กที่อาศัยในแหล่งเสื่อมโทรมที่รัสเซียอีกด้วย

เธอกลายเป็นนางแบบร้อนแรงเพียงไม่นานหลังจากย้ายไปที่แพรีส แต่งงานกับหนุ่มตระกูลดัง เป็นแม่ลูกสามตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ หย่าร้าง แต่งงานใหม่แล้วมีทายาทเพิ่มรวมกันเป็น 5 คน  แต่ในระยะเวลาที่ผ่านมาเธอผ่านการเดินรันเวย์มาเป็นร้อยๆ ครั้ง   ทั้งดีไซน์เนอร์และช่างภาพระดับตำนานหลายคนออกมาชื่นชมเรื่องทักษะ modeling ของ Natalia ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
 

อาจจะฟังเหมือนสูตรสำเร็จของ supermodel ชื่อดังอีกหลายคน  แต่ในปัจจุบัน เราแทบจะหานางแบบรุ่นใหม่ที่สร้างความนิยมในรูปแบบเดิมแทบไม่มีแล้ว    ยุคสมัยของการเปิดแม็กกาซีนแล้วชื่นชม fashion สุดล้ำมันถูกแทนที่ด้วยจำนวนตัวเลขบน social media    editorials จากนางแบบแสนเริ่ดและ campaign ของแบรนด์ดังที่เป็นที่จดจำนั้นดูจางหายไปในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีนี้  จนบางคนถึงกับออกปากว่า ยุคของ Supermodel นั้นจบไปแล้ว





จากเรื่องราวของนางแบบที่แจ้งเกิดตั้งแต่ยังอยู่วัยทีนผู้ที่เจอช่วงเวลาลำบากตอนเริ่มต้นแล้วพลิกผันกลายมาเป็นนางแบบตัว top ได้ในระยะเวลาไม่นาน   คราวนี้ลองมาชมเรื่องราวของนางแบบที่กว่าจะเป็นที่รู้จักก็สู้ถึง 7 ปีกันบ้างค่ะ


Lara Stone
ลาร่าในวัยเพียง 15 เดินทางมาที่แพรีสด้วยความหวังที่จะกลายเป็นนางแบบชื่อดัง เธอก็เหมือนกับนางแบบนับพันนับหมื่นที่ใช้เวลายาวนานในแต่ละวันเพื่อรอคิม casting เมื่อเดินทางออกจากอพาร์ทเมนท์ที่ต้องอยู่อย่างแออัดกับเพื่อนนางแบบอีก 5 คน ดูเหมือนว่าพวกเธอจะได้ยินแต่คำสั่งให้เดินๆๆๆ หมุนตัว และจบด้วยคำขอบคุณที่ไม่แยแส  งานที่เข้ามามีเพียงแคททาล็อคที่พอจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ ใช้ชีวิตแบบเดิมและไม่มีทีท่าว่าจะก้าวหน้าไปทางไหนถึง 7 ปี  
เมื่อกำลังหมดหวังและคิดจะยอมแพ้  ลาร่าก็ได้พบกับจุดเปลี่ยนเมื่อมีแมวมองจากอีกต้นสังกัดเล็งเห็นศักยภาพของเธอ  ผมบลอนด์เกือบขาว  ฟันหน้าห่าง ใบหน้าที่ดูแล้วทำให้คิดถึงเคท มอสบวกบริทจิท บาร์โด เธอสาวสูงเพรียวที่มีหน้าอกเกินกว่านางแบบรันเวย์ แต่นั่นคือสิ่งที่ต้นสังกัดใหม่คิดว่าน่าจะขายได้ ในที่สุด ลาร่าวัย 22 ก็ได้เดบิวท์บนรันเวย์แบรนด์แฟชั่นชั้นสูงด้วยการเดินให้ Givenchy ปีต่อมาก็ได้ผงาดขึ้นมาในฐานะ New Face ของแบรนด์ชื่อเสียงเก่าแก่นี้  


ความสำเร็จของลาร่าได้หลั่งไหลมาตั้งแต่ตอนนั้นนั่นเอง

แต่ดังแล้วไม่ใช่จะสบายๆ ลอยตัวไปได้ตลอดค่ะ  โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นนางแบบที่มีความแตกต่าง ถ้าจะโลดแล่นในวงการแฟชั่นชั้นสูงแล้ว ถ้าเป็นนางแบบที่ใส่เสื้อผ้า sample size ไม่ได้ ( มันคือ Size 0-2  นางแบบคนไหนที่ใส่ Size 4 อาจจะถูกกดดันว่าอ้วนและไล่ให้ไปลดน้ำหนัก)  

จากรูปร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของลาร่า  เธอต้องอดทนฟังเพื่อนร่วมงานแดกดันว่าเป็นนางแบบอ้วนมายาวนาน สร้างความกดดันให้ลดน้ำหนักจนไปพึ่งพายาลดความอ้วน  ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นคือการดื่มเหล้าให้ลืมความหิว  มันกลายเป็นปัญหาเรื้อรังจนเธอต้องไปบำบัดเลิกอาการติดสุรา

 แต่กระนั้นลาร่าก็ไม่โทษวงการและดีไซน์เนอร์ที่ต้องการแต่นางแบบผอมบาง   "ชั้นรักงานของชั้น   มันไม่ใช่หน้าที่ของชั้นที่จะไปบอกพวกดีไซน์เนอร์ว่าอะไรถูกหรือผิด"   แต่เมื่อเธอผ่านพ้นช่วงเวลาย่ำแย่มาได้ เธอก็เชิดหน้าขึ้นบอกว่า "  ตอนนี้คนอื่นก็ยังบอกว่าชั้นอ้วนอยู่นะ แต่เมื่อชั้นส่องกระจก ชั้นไม่เห็นในสิ่งที่พวกเค้าพูดถึงเลย"
Casting  มันโหดขนาดนั้นเชียวหรือ ?

บางคนอาจจะคิดว่า การเดินสาย casting มันเหนื่อยมากมายจนต้องโอดครวญเชียวหรือ ทำไมถึงมีนางแบบวงในบางคนออกมาจิกกัดว่านางแบบเซเลบอย่างเคนดัลว่าไม่จำเป็นต้องผ่านการ casting และได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกับคนอื่นๆ ในยุค digital เช่นนี้ เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า นางแบบที่สื่อแห่แหนทำข่าวตั้งแต่จรดเท้าลงสู่สนามบินแล้วเช็คอินที่โรงแรมแล้วกระหน่ำลงภาพตอนที่จิกส้นเข็มอย่างโฉบเฉี่ยวทุกรันเวย์พร้อมกันมากมายหลายเพจก็ย่อมได้รับการเทคแคร์จากแบรนด์ดีกว่า นั่นคงไม่ต่างอะไรกับนางแบบชื่อดังคนอื่นๆ ที่น่าจะได้รับอภิสิทธิ์ตรงนี้เช่นกัน  

แล้วกระบวนการ casting มันเป็นอย่างไรบ้างนะ 


โหดหรือไม่ เอาเป็นว่ามีเอเจนซี่ casting รายหนึ่งถูกเปิดโปงว่า ปฏิบัติอย่างต่ำตมกับพวกนางแบบด้วยการให้สาวๆ 150 คน ไปยืนแออัดบนบันได ปิดไฟใส่แล้วพักเที่ยงทิ้งให้พวกเธอรออย่างไม่แยแส

หรือถ้าเป็นเอเจนซี่ที่ให้เกียรตินางแบบขึ้นมาบ้าง ในโชว์ของแบรนด์ดัง จะมีนางแบบเป็นร้อยๆ คนมาร่วม casting อาจจะกินเวลายาวนานทั้งวัน พวกเธอต้องแต่งกายโฉบเฉี่ยวด้วยรองเท้าสูงปรี๊ด กว่าจะถึงช่วงคัดเลือกก็ต้องยืนกันขาแข็งไปข้าง และต้องวนเวียนทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ 

แฮเรียท พอล นางแบบสาวสวยเชื้อสายแอฟริกันจากแทนซาเนียระบุตัวเลขคร่าวๆ จากการเดินสาย casting สำหรับใน NYFW ว่า จะอยู่ที่ 5-15 ครั้งต่อวัน เฉลี่ยแล้วเธอต้องไปโชว์ตัวกับฝ่าย casting อยู่ประมาณ 8 ครั้ง !
ดูเหมือนว่านางแบบแทบทุกคนไม่ว่าจะมี background แบบไหนก็ต้องเริ่มต้นจากการวิ่งไล่ตามความฝันจากการ casting เช่นนี้กันทั้งนั้น  แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ก้าวไปแจ้งเกิดและสร้างชื่อในฐานะ supermodel ขึ้นมาได้ จากที่ต้องรอคอยยาวนานด้วยความหวังว่าจะได้รับคัดเลือกให้ได้เดินสักโชว์  พวกเธอกลายเป็นหน้าตาของแบรนด์ดัง ได้รับเชิญไปเดินพรมแดงหรูหรากระทบไหล่ซุปตาร์ฮอลลีวู้ด  สร้างมิตรภาพกับดีไซน์เนอร์และช่างภาพทรงอิทธิพลและไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยล้ากับชั่วโมง casting อันยาวนาน  

แต่ไม่กี่ปีก่อนที่เราจะได้เห็นลูกหลานคนดังก้าวขึ้นมาเป็นนางแบบค่าตัวสูงสุด  หญิงสาวที่สร้างชื่อ Supermodel ในยุคที่เพิ่งเริ่มจะมี social media อย่างคาร์ลี่ คลอสก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า ดีไซน์เนอร์ไม่เรียกใช้งานเธอด้วยเหตุผลว่าเธอกลายเป็นเซเลบที่ดังจนแย่งซีนเสื้อผ้าที่ทุ่มเทออกแบบ ส่วนนางแบบอีกคนที่ให้ข้อมูลสอดคล้องกันก็คือ โจน สมอลส์  มีคนบอกกับเธอมาหลายครั้งว่า "เธอดังเกินไปน่ะ"


แต่เพียงไม่นานจากนั้น  เส้นทางสู่การเป็น supermodel ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย





เดินเป็นสิบๆ โชว์ต่อซีซั่นมันก็เริ่ดไม่ใช่เหรอ  ทำไมนางแบบต้องโอดครวญ ?
แต่ก่อนก็เคยคิดนะว่า อาชีพนี้ช่างดีจริงๆ  แต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ เดินฉับๆ ไม่กี่นาที บางคนเห็นเดินวันเดียว 2 โชว์ ปีหนึ่งก็มี fashion week ไม่กี่ครั้ง

แต่ที่จริงแล้วนางแบบที่มีงานชุกเดิน 70-80 โชว์ต่อซีซั่นนั้นได้ออกมาเปิดเผยอีกด้านที่พวกเธอต้องเจอ และมันห่างไกลกับความเลิศหรูที่คนอื่นจินตนาการไว้
Luma Grothe  นางแบบวัย 24 ผู้ทิ้งบ้านเกิดที่บราซิลมาไขว่คว้าหาโอกาสเพื่อจะเป็นนางแบบได้เปิดใจถึงความรู้สึกของเธอจากคอมเมนท์ those girls และทำให้เราเข้าใจถึงอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ไม่ได้สวยหรูไปหมดทุกสิ่ง

ชั้นไม่ได้มีอคติอะไรกับเคนดัล เจนเนอร์และยังนับถือในตัวเธอนะ ทุกคนย่อมมีประสบการณ์สู้ชีวิตมาแตกต่างกัน และชั้นก็ไม่ได้คิดว่าภาวะวิตกกังวลของเธอนั้นเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะมันเป็นโรคที่สร้างความลำบากเป็นอย่างมาก


แต่นี่คือสิ่งบ้าบอที่พวกเราได้ทำ พวกเราเริ่มต้นอาชีพนี้จากศูนย์ เป็นนางแบบโนเนมที่ต้องทำงานแทบตายเพื่อจะให้มีคนพอจะจำหน้าได้บ้าง  เรามานั่งเลือกงานไม่ได้หรอกค่ะ  เราต้องภาวนาให้ได้งานสักหนึ่งโชว์  และถ้ามีคนให้งานเรา 30 โชว์ เชื่อเถอะว่าเราจะทำทั้งหมดนั้นนั่นแหละ  ถึงมันจะเหนื่อยแทบขาดใจและเราก็ไม่ได้อยากเดินแบบเยอะขนาดนั้น  แต่เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนี่นา   มันคงเยี่ยมมากถ้าเราเลือกได้เองว่าจะเดินให้กับแบรนด์ไหนบ้าง  แต่เราก็ต้องสู้ต่อไปไม่เกี่ยงงาน
"ตอนที่ชั้นเริ่มต้นในวงการแฟชั่น  บอกตรงๆว่า 3 ปีแรกชั้นต้องอดอยาก  ทำงานทุก ๆวันโดยไม่มีค่าแรง  เฝ้ารอว่าจะมีใครสักคนที่เห็นแววของชั้น  ต้องทุ่มเททำงานเพื่อจะได้รับโอกาสให้เดินเพียง 1 โชว์  

ในวันคริสต์มาส ชั้นก็ยังกลับไปเยี่ยมบ้านไม่ได้เพราะขัดสนอย่างหนัก  ชั้นทำงานหนักจริงๆ กว่าจะมีคนจำชื่อชั้นได้"


เหล่านางแบบไม่ได้มาจากครอบครัวยากจนเท่านั้น  แม้แต่หญิงสาวที่มีอันจะกินก็ต้องเข้ามาร่วมประสบการณ์เดียวกัน พวกเธออาจจะไม่ต้องผ่านวันคืนที่ต้องอดมื้อกินมื้อ  แต่ต้องเผชิญกับด้านมืดของวงการโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

Edie Campbell

สาวอังกฤษที่มีรักการขี่ม้าและจบมหาวิทยาลัยศิลปะชื่อดังของอังกฤษด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 บางคนอาจจะเลิกคิ้วเมื่อรู้ว่ามันเป็นโพรไฟล์เดียวกันกับนางแบบที่คว้ารางวัล Model of the Year จากเวที the British Fashion Awards มาแล้ว เว็บ Models.com ก็เคยจัดอันดับเธอไว้สูง

ใช่ค่ะ เธอไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง แต่เพราะรักอาชีพนางแบบ เอดดี้จึงเข้ามาสู่วงจรเดียวกัน และเธอก็เคยแบ่งปันประสบการณ์ที่นางแบบถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมให้ผู้คนได้รับฟัง
"ในช่วงซีซั่นแรกๆ ที่ชั้นเริ่มหางานนั้นไม่มีใคร book ชั้นให้เดินแบบเลยค่ะ ชั้นเดินสาย casting แต่ก็คว้าน้ำเหลว มีคนบอกว่าตัวเตี้ยเกินไป เสื้อผ้าก็ไม่พอดีกับรูปร่าง ผมยาวสีบลอนด์ของชั้นก็ถูกติ ชั้นได้แต่จากมาพร้อมกับความคิดว่า นี่เราเป็นตัวประหลาดรึเปล่านะ  มันกดดันมากเลย แต่นั่นก็เป็นแรงผลักดันให้ชั้นค่ะ มันก็พักใหญ่นั่นแหละกว่าที่อะไรๆ จะลงตัว" เอดดี้ผู้สูง 178 ซ.ม. เปิดใจ เธอได้รับคำแนะนำให้ตัดผมสั้นซึ่งทำให้ขัดต่อความรู้สึก เธอยอมรับว่าผมสั้นที่กลายมาเป็น trademark นั้นไม่ใช่ตัวตนของเธอเลย


จากปีที่แล้วที่มีการรณรงค์เรื่อง MeToo เอดดี้ได้เป็นลุกขึ้นมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ที่เธอได้เห็นเพื่อนร่วมวงการถูกล่วงละเมิด และเขียนจดหมายเปิดเผนึกเรียกร้องให้อุตสาหกรรมแฟชั่นหยุดเพิกเฉยกับปัญหานี้  เพราะการล่วงละเมิดที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับนางแบบและนายแบบนั้นทำให้ต้องก้มหน้าก้มตาทำใจยอมรับว่ามันคือสิ่งที่อยู่คู่กับอาชีพโดยที่ไม่สามารถต่อต้านเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของผู้กระทำและกลายเป็นวงจรอุบาทว์
เอดดี้อาจจะโชคดีที่ไม่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ  แต่นางแบบสาวที่มีพื้นเพครอบครัวที่น่ำรวยอย่างเคท อัพทัน ก็ได้ประกาศออกมาว่า ตอนที่ร่วมงานกับ Guess เธอถูกผู้บริหารตามรังควาญ ทั้งลวนลามและส่งข้อความลามก ภายหลังมีนางแบบอีกหลายคนยื่นฟ้องข้อหาเดียวกันและมีการตกลงชดใช้ค่าเสียหายผู้หญิงเหล่านั้นเป็นจำนวนเงินรวมกันหลายแสนดอลลาร์
ที่จริงแล้ว การเคลื่อนไหวประท้วงจากเหล่านางแบบจากคอมเมนท์ดราม่าเรื่องนี้ น่าจะช่วยให้ผู้คนจำนวนหนึ่งได้เข้าใจว่า ภาพมายาจากวงการแฟชั่นที่ดูเลิศเลอไปหมดนั้น ที่จริงแล้วมาจากการทุ่มเทจากจากหลายฝ่าย สิ่งที่ถูกนำเสนอทางสื่อนั้นอาจจะมีแต่ภาพที่เรียกเรตติ้ง แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ยังมีสาวๆ ที่ต้องต้องหลับทั้งเมคอัพเอาแรงตามพื้นสกปรก มีกองถุงพลาสติกใช้แทนหมอน ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาแสดงพลังกระฉับกระเฉงโพสท่าสุดเป๊ะ แล้ววิ่งไปเดินโชว์อื่นต่อ

เมื่อนางแบบเซเลบเข้าใจถึงความลำบากของเพื่อนร่วมวงการ

จีจี้ ฮาดีด หนึ่งในนางแบบชื่อดัง generationใหม่ ที่ขึ้นชื่อเรื่องคำพูดที่ตรงไปตรงมา ในช่วงแรกที่โด่งดังแทคทีมมากับเคนดัล เจนเนอร์ ในช่วงปีแรกๆ ที่เผยโฉมใน fashion week ก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเดินรันเวย์ไม่ได้เรื่อง! เจ้าตัวได้มายอมรับภายหลังว่าเดินไม่สวยจริงๆ ไม่มีใครสอนมาก่อน รวมไปถึงโรคเท้าแบน และหันมารักษาด้วยแผ่นรองรองเท้า เธอพยายามเรียนรู้เต็มที่เพื่อทำให้ดีขึ้น และตอนนี้แฟนๆ ก็ได้เห็นแล้วว่าท่วงท่าของจีจี้บนรันเวย์นั้นดูเหมือนกับนางแบบจริงๆ เธอสามารถจิกส้นสูงเดินสับขาได้คล่องแคล่วไม่แพ้กับเพื่อนนางแบบ

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์เรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างนางแบบอิทเกิร์ลที่มีสื่อคอยเขียนข่าวโพรโมทกับนางแบบคนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน กว่าจะได้มาเดินในโชว์ของแบรนด์ดัง หลายคนต้องเทรนในโรงเรียนนางแบบเพื่อสร้างความโดดเด่นดึงดูดความสนใจจากฝ่าย casting  แต่ถึงแม้ว่าจะเดินได้ปังอย่างนาโอมิหรือจีเซลก็ไม่แน่ว่าพวกเธอจะได้งาน เพราะตอนนี้สิ่งดูจะสำคัญไปกว่าคือความสนใจจากสื่อและโลกออนไลน์

และความเหลื่อมล้ำนี้ก็ทำให้จีจี้รู้สึกผิดมาแล้ว
"ชั้นรู้ดีค่ะว่าตัวเองได้เปรียบคนอื่น ตอนที่ชั้นเริ่มเข้ามาในวงการด้วยการใช้ข้อได้เปรียบอันนี้ ชั้นก็รู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง ชั้นเป็นคนที่ทุ่มกับงานมาตลอด  เพราะพ่อแม่ของชั้นสร้างทุกอย่างมาจากศูนย์ค่ะ  ชั้นจึงต้องมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อให้เกียรติท่าน ในวงการนี้มีนางแบบมากมายจากทั่วโลกที่ต้องลุยงานหนักเพื่อจะส่งเงินไปให้ที่บ้าน แม่ของชั้นก็เคยทำแบบนั้น ชั้นอยากจะยืนเคียงข้างกับเพื่อนนางแบบเพื่อทำให้พวกห็นว่าชั้นไม่ได้ข่มหรือแย่งตำแหน่งของพวกเธอ  ตอนที่เริ่มเข้าวงการนั้นนั้นชั้นอยากจะพิสูจน์ตัวเองมากจนเคยทำงานเยอะไป คุณรู้ใช่มั้ยว่าคนอื่นๆเคยวิจารณ์ว่าชั้นไม่สมควรได้มาอยู่บนรันเวย์  ตอนนี้ชั้นรับกับคำพูดเหล่านั้นได้ดีขึ้นเยอะ แล้วชั้นก็อยากจะพัฒนาตัวเองด้วย นี่คือสิ่งที่ผลักดันชั้นค่ะ"




candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE