Fat-Shaming โหดชวนสะพรึงแค่ไหนในยุค 90s-2000s

เมื่อย้อนไปสักช่วง 2-3 ทศวรรษก่อน ผู้คนยังไม่ได้ใช้ social media เป็นพื้นที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดกันได้อย่างฉับไวเหมือนทุกวันนี้ และนิยามคำว่า cyberybullying ก็ยังไม่ปรากฏแพร่หลาย แต่ถึงกระนั้น การแสดงความเห็นเหยียดหยามและด้อยค่าคนดังเรื่องรูปร่างหน้าตาถือเป็นเรื่องปกติในวงการสื่อ หากพวกเค้าไม่ได้มีรูปร่างผอมบางตรงตาม beauty standard ในยุคนั้น ก็ยากจะหลีกเลี่ยงการจับผิดและการโจมตีด้วยถ้อยคำร้ายกาจ โดยที่สื่อเหล่านั้นไม่ต้องคำนึงถึงกระแสต่อต้านจากมลชนซะด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นแทบลอยด์ พิธีกร นักวิจารณ์ นักข่าวก็สามารถใช้ fat-shaming สร้างกระแสโดยไม่กำหนดขอบเขตใดๆ บางคำพูดก็โหดร้ายซะจนชวนตระหนกว่า พวกเราหลายคนเคยผ่านยุคสมัยแบบนั้นกันได้ไงนะ!
 

เป็นเรื่องปกติที่คนดังจะถูกพิธีกรแขวะเรื่องความอ้วนกลางพรมแดงและรายการสัมภาษณ์

ในยุคปัจจุบัน บรรดาพิธีกรจะต้องระวังคำพูดมากขึ้นจากอดีต มิเช่นนั้น ชาวเน็ทอาจจะก่อกระแสต่อต้านจนการงานปลิดปลิว  หากพูดจาแฝงพลังด้านลบหรือมีน้ำเสียงถากถางคนดัง อาจจะต้องส่งคำขอโทษแก้ไขวิกฤติอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อย้อนไปสัก 20-30 ปี นักข่าวและพิธีกรจะปล่อยคำถามเจ็บๆ ราวกับยิงอาวุธโจมตีออกจากปาก เซเลบไม่ผอมหลายคนมักจะต้องสงบสติอารมณ์กับคำถามละลาบละล้วงเรื่องรูปร่าง Nicole Richie เคยเป็นหนึ่งในนั้น จากภาพ Nicole ได้เข้าร่วมอีเวนท์แล้วได้รับคำถามจากนักข่าวระหว่างเดินพรมแดงว่า เธอดูตัวใหญ่ อวบอิ่มขึ้น มีความคิดเห็นเช่นไรหากรูปร่างอวบจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นไม่ให้เธอได้รับงาน TV ? หรือหนักกว่านั้น Howard Stern พิธีกรปากจัดเคยชื่นชมที่เธอดูผอมลง แต่ฟาดตามมาด้วยคำวิจารณ์ว่า มันเป็นเรื่องยากที่ต้องอยู่เคียงข้างเพื่อนสนิท Paris Hilton ที่ผอมเพรียวสุดๆ เพราะถึงจะไดเอทจนผอมลงชัด เมื่อไปยืนติด Paris ก็ดูตัวใหญ่กว่าอยู่ดี

ว่ากันว่า ต้นเหตุที่ Nicole ลดน้ำหนักจนเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนจากช่วงที่สร้างชื่อจากรายการ The Simple Life เพราะสื่อเอาแต่ fat-shame และเปรียบเทียบเธอกับ Paris นั่นเอง

Alicia Silverstone ถูก fat-shame หนักจากการรับบท Batgirl จนคิดอยากออกจากวงการ

แม้ว่าบทบาทสาวมัธยมสุดเริ่ดใน Clueless จะตราตรึงใจแฟนๆจน Alicia Silverstone ถูกยกย่องให้เป็นอิทเกิร์ลในดวงใจแฟนๆยุค 90s แต่ไม่กี่ปีกลังจากนั้น การสวมคอสตูมสวมบท Batgirl ในหนัง Batman & Robin กลับทำให้เธอตกเป็นเป้านิ่งให้สื่อรุมโจมตี

หากถามว่า ยุคนั้น bully กันร้ายกาจสักเพียงใด? ก็เหิมเกริมกันขนาดที่ Entertainment Weekly เขียนข่าวเปรียบเทียบว่าเธอดูเหมือน Bebe แห่งหมูน้อยหัวใจเทวดา และปัญหารูปร่างอวบอั๋นทำให้เธอต้องทุ่มเทลดน้ำหนักเพื่อจะรับบท superhero หญิง ซ้ำร้าย ช่วงโพรโมทหนัง พวก  paparazzi ปากดีก็เยาะเย้ยเธอด้วยฉายา Fatgirl จิตใจที่เปราะบางของนางเอกสาวที่เพิ่งจะมีอายุ 21 ปีในตอนนั้นได้รับความกระทบกระเทือน เธอรู้สึกหมดรักในการแสดงจนอยากจะยอมแพ้ แต่ก็ฮึดสู้ขึ้นมาเพราะไม่ต้องการจำนนต่อแนวคิดกดขี่ผู้หญิง

รูปร่างที่ไม่ผอมบางของ Alicia กลายเป็นมุกสร้างความขบขนให้กับคนทำงานวงใน ศิลปินร่าง storyboard ของหนัง Batman & Robin เผยออกสื่ออย่างไม่ยี่หระว่า เมื่อเขาได้ยินเรื่องที่เธอต้องสวมคอร์เซ็ทเพื่อจะบีบหุ่นให้พอดีกับคอมตูม Batgirl เขาก็ลงมือวาดการ์ตูนเพื่อทำโปสเตอร์ล้อเลียนว่า มันคือหนัง Clueless ภาค 2 ซึ่งมีแค่ผู้ชายในแผนกศิลป์ที่รู้เห็นเรื่องนี้ แต่มีใครบางคนทำ copy ภาพดังกล่าวและมันก็ถูกส่งต่อไปทั่วกองถ่าย แต่เพราะเขาไม่ได้เซ็นชื่อกำกับ จึงไม่ถูกจับได้

คนที่เกิดไม่ทันหรือไม่เข้าถึงกระแสข่าวบันเทิง Holllywood ในยุคนั้นอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า Alicia ต้องเผชิญหน้ากับ bully จากพวกแทบลอยด์ พิธีกรรายการ TV และ paparazzi ตั้งแต่ปรากฏตัวในงาน Academy Awards ซึ่งต้นเหตุมาจากรูปร่างที่ดูอวบขึ้นกว่าตอนแจ้งเกิดกับหนัง Clueless เมื่อชาวเน็ทหลายไปชมภาพของ Alicia ย้อนไปในแวลานั้นต่างก็รู้สึกเจ็บใจแทน พวกเค้าต่างเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ Alicia และรู้ซึ้งถึงความโหดร้ายของยุคที่ยังไม่มีการขีดเส้นแบ่งเพื่อควบคุมสื่อให้แสดงความเห็นที่ให้เกียรติคนดังและไม่ด้อยค่ารูปร่างหน้าตากัน


ถึงจุดนี้อาจจะมีคนถอนหายใจแรงๆ ชาวเน็ทประเมินด้วยสายตาว่า Alicia ที่สูง 165 ซ.ม. ไม่ได้ดูอ้วนหรือตันตามที่ถูกวิจารณ์ เธอมีใบหน้าอิ่มเอิบตามวัยสาว เพียงเพราะเธอดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้น สื่อก็แสดงออกราวกับเธอก่ออาชญากรรม และยังถูกคนในกองถ่ายมองเป็นตัวตลก!

Donald Trump จับ Miss Universe มาออกกำลังรีดไขมันต่อหน้าสื่อหลังจากน้ำหนักพุ่ง

วันเวลาที่หมุนเวียนผันผ่านทำให้วงการนางงามก้าวไกล แฟนๆได้เปิดใจยอมรับผู้เข้าประกวดที่มีรูปร่างหลากหลายมากขึ้น จนบางคนอาจจะลืมเลือนไปว่า ครั้งหนึ่ง Donald Trump ที่เป็นเจ้าขององค์กร Miss Universe เคยเรียกนักข่าว 80 คนมาร่วมเป็นสักขีพยานในการโชว์ความพยายามลดน้ำหนักของ Alicia Machado เจ้าของมงกุฎ Miss Universe ปี 1996 หลังจากเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า เธอดูอวบขึ้นมากภายในระยะเวลาไม่นาน ถึงขั้นที่มีผู้ปล่อยข่าวลือว่า เธอจะถูกปลดตำแหน่งเพราะความอ้วนเป็นพิษ

นักธุรกิจทรงอิทธิพลประกาศว่า จะไม่ปลดเธอ แต่ส่งเธอเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักเร่งด่วน Trump แนะนำเธอต่อหน้าสื่อว่า "นี่คือคนที่ชอบกินเป็นชีวิตจิตใจ" และ"ยัดทะนานอาหารราวกับเป็นเครื่องจักรจนน้ำหนักทะยานไปถึง 25 ก.ก.ภายใน 9 เดือน" เธอสร้างชื่อไปทั่วจากการโชว์ออกกำลังรีดไขมันส่วนเกิน และทำข้อตกลงกันว่า ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน จะต้องลดน้ำหนักให้ได้ 4.5 ก.ก. และลดเพิ่มกว่านั้นใน 3 เดือน

หลายปีผ่านไป Alicia เปิดเผยว่า เพื่อที่จะให้มีรูปร่างเพรียวบางตรงตาม beauty standard เธอต้องอดอาหารและอาเจียนอาหารที่กินเข้าไปจนมีน้ำหนักเหลือเพียง 52 ก.ก.ในระหว่างที่ขึ้นรับตำแหน่ง Miss Universe และหลังจากที่ต้องจัดแถลงข่าวเพื่อออกกำลังโชว์นักข่าว พฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติก็ยังสร้างความทุกข์ใจให้กับเธอไปอีกหลายปี
สำหรับยุคสมัยนั้น นางงามที่ดูอวบอิ่มขึ้นกว่าตอนที่รับตำแหน่งผู้ชนะเลิศอาจจะเป็นสิ่งที่สวนทางกับความคาดหวังขององค์กร แน่นอนว่า แฟนนางงามต้องการให้พวกเธอรักษาความงามที่สมบูรณ์แบบไม่เปลี่ยนแปร แต่การจัดแถลงข่าวอย่างเอิกเกริกก็นับเป็นการสร้างกระแสโดยไม่ใส่ใจใยดีกับความรู้สึกของนางงาม เป็นการตอกย้ำว่า น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของ Miss Universe คือความน่าอับอายที่ต้องเร่งแก้ไข แม้ว่า Alicia จะยิ้มแย้มและมีท่าทางกระตือรือร้นกับคอร์สลดน้ำหนักที่เจ้าของเวทีประกวดจัดให้ แต่คงเดากันไม่ยากว่า เบื้องหลังรอยยิ้มจะมีน้ำตาตกใน  

Howard Stern พิธีกรดังที่มีประวัติพฤติกรรม body-shaming ยาวนานหลายสิบปี เคยจาบจ้วง Alicia อย่างไม่ปราณีปราศรัยว่า "จาก Miss Universe ร่างก็บวมอืดจนกลายเป็นหมูอ้วนพี" และแสดงความยินดีกับ Donald Trump ที่"สามารถเฆี่ยนตี "ยายอ้วนคนนี้" ให้ยอมกลับมาฟิตหุ่นให้สวยเหมือนเดิม

สำหรับพฤติกรรมชวนอึ้งของสื่อเหล่านี้ หากเป็นยุคปัจจุบันก็คงถูกสังคมออนไลน์รุม cancel จนต้องประกาศขออภัยกันตั้งแต่ครั้งแรกๆ ไม่ปล่อยให้มีเหยื่อ bully เกิดขึ้นซ้ำซากเพื่อสร้างกระแสดังในอดีต

Samantha แห่ง Sex And The City ต้องเจอสายตาพิพากษาและคำพูดจิกกัดจากเพื่อนเพราะมีหน้าท้องแค่นิดหน่อย


แฟนๆซีรีส์ Sex And The City อาจจะประทับใจกับเนื้อหาเชิดชูพลังหญิง แต่เมื่อย้อนกลับไปชมอีกครั้งเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป หลายคนต้องยอมรับว่า รู้สึกสะดุดใจอยู่หลายจุด หนึ่งในนั้นคือการนำเสนอ body-shaming ราวกับเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เมื่อ Samantha สาวที่ดูเผ็ดแซ่บที่สุดในกลุ่มเพื่อนซี้โผล่มาที่งานเลี้ยงในชุดรัดรูปเผยหน้าท้องที่ไม่ได้เรียบแบนเหมือนเมื่อก่อน สายตาตกตะลึงและท่าทางกระอักกระอ่วนใจของเพื่อนๆ คล้ายจะสื่อว่า Samantha ดูย่ำแย่หมดสวย ยิ่งเพื่อนเกย์ได้เห็นลุคใหม่ของเธอ ก็ฟาดใส่แรงขึ้นไปอีกว่า "ทำไมพุงปลิ้นแบบนั้น!" เมื่อมานั่งปรับทุกข์ประสาเพื่อนสาว Carrie ก็ตอกย้ำด้วยความอ่อนใจว่า Samantha ปล่อยให้มาถึงจุดนี้โดยไม่รู้ตัวได้ยังไง? ทั้งๆที่รูปร่างของเธอไม่ได้ดูเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนั้นซะด้วยซ้ำ
นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายฉากของ Sex The City ที่เรียกเสียงวิจารณ์จากชาวเน็ทว่า แทนที่จะร่วมสนับสนุนให้ผู้หญิงภาคภูมิใจในสิ่งที่เป็น กลับยัดเยียดแนวคิดประเมินค่าเพศหญิงจากรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่สวนทางเชิดชูสิทธิสตรี สายตาและคำพูดติเตียนเพื่อนสาวที่ดูจะใส่เสื้อผ้าเล็กไปนิดหรืออาจจะน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยราวกับเธอทำผิดพลาดมหันต์นั้นเป็นการชักจูงให้เกิดความหมกมุ่นใน beauty standard ที่ยากจะเอื้อมถึง เมื่อสื่อทรงอิทธิพลต่างก็ยัดเยียดให้ผู้คนหมกมุ่นกับรูปร่างที่ผอมบางไร้ส่วนเกินและไม่ยอมรับ real body จึงไม่น่าแปลกใจที่เกิดเทรนด์คลั่งความผอมขึ้นมา เฉพาะยุค 2000s ก็มีคนดังแห่ตามเทรนด์ลดน้ำหนักจนผอมลงฮวบฮาบ ทำให้เกิดเสียงเล่าลือว่า พวกเธอเจ็บป่วยด้วย eating disorder อยู่หลายคน

Kate Winslet ถูกสื่อรุม bully อย่างรุนแรงจนแทบไม่น่าเชื่อ


ความสำเร็จที่ตราตรึงในประวัติศาสตร์ของหนัง Titanic อาจจะเป็นการเปิดทางให้ Kate Winslet ก้าวสู่สถานะนางเอก A List อย่างมั่นคง แต่ถึงแม้เธอจะประสบความสำเร็จอย่างสูงและมีรางวัล Oscar มาการันตีความสามารถทางการแสดง แต่วิธีที่สื่อปฏิบัติกับเธอในยุค 90s ได้ทิ้งความเจ็บปวดฝังใจลึกล้ำ

เธอเคยเล่าว่า พวกสื่อจะโทรหาเอเจนท์ของเธอเพื่อคอยไถ่ถามตัวเลขน้ำหนักของเธอในโทนเสียงเหยียดความอ้วน แทบลอยด์หากินกับการประโคมข่าวความอวบของเธอยาวข้ามปี ความอัดอั้นตันใจที่ถูกสื่อคุกคามอย่างไร้เหตุผลบีบคั้นให้เธอลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับคนที่เหยียดหยามเธอมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ เธอก็ยังรู้สึกสะเทือนใจเมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวครั้งเก่า และเกิดความเสียดายที่ไม่ call out พฤติกรรม toxic ของสื่อให้มากกว่านั้น 

Rolling Stone เคยตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ Kate ว่า James Cameron เคยตั้งฉายา Kate Weighs-a-Lot ให้เธอ เธอถูกบีบให้อธิบายเรื่องน้ำหนักและวิธีรีดน้ำหนักส่วนเกิน การเดินพรมแดงเคยเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับเธอ เพราะต้องวิตกกังวลว่า จะต้องอดอาหารเป็นสัปดาห์เพื่อหุ่นได้จะดูเพรียวมากพอสำหรับอีเวนท์นั้น


และนี่คือถ้อยคำบางส่วนที่สื่อโจมตี Kate เรื่องรูปร่างหน้าตา

  • "ผู้คนต่างกล่าวขวัญถึงงานลูกโลกทองคำเมืื่อสุดสัปดาห์ก่อนว่า Kate Winslet นางเอกแห่ง Titanic กลายร่างมาเป็นเรือ Titanic ซะเองได้อย่างไร"

  • ตอนที่เดินพรมแดงในชุดหรูหรา พิธีกรรายงานบรรยากาศในงานก็เคยบรรยายลุคของเธอแบบใส่ไม่ยั้งว่า ชุดของเธอดูรัดแน่นจนร่างเธอแทบจะหลอมละลายอยู่แล้ว และถ้าเธอเลือกชุดที่ใหญ่กว่านี้อีกสักสองไซส์ก็คงจะพอไปวัดไปวาได้ 

  • นักวิจารณ์หนังที่ไม่ได้โฟกัสกับการแสดงของเธอเพียงอย่างเดียว แต่กลับจับผิดรูปร่างของตัวละคร Rose แล้วทิ่มแทงกันออกสื่อได้หน้าตาเฉยว่า ""Winslet ดูอ้วนขึ้นจากซีนที่ผ่านมาราวๆ 7 ก.ก. หน้าของเธอดูบวมมากจนไม่ว่าจะใช้มุมกล้องไหนก็ไม่ช่วยให้หน้ากลมเป็นขนมปังดูน่าสนใจขึ้นมาได้"

  • พิธีกรดัง Larry King ถาม James Cameron ตรงๆว่า ทำไมต้องเลือก Kate เธอไม่ได้สวยสะกดใจถึงขนาดนั้น

  • การแพร่ทฤษฎีวิเคราะห์สาเหตุที่ Rose และ Jack ไม่ปีนขึ้นไปรอความช่วยเหลือบนบานประตูที่ลอยทะเลด้วยกัน สื่อบางเจ้าเย้ยหยันว่า Rose อาจจะอ้วนเกินที่ประตูบานนั้นจะรับน้ำหนักของคนทั้งสองได้
ทุกวันนี้ เรื่องราวของนางเอกรุ่นใหม่ที่กล้าจะปกป้องตัวเองได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับ Kate และทำให้เธอรู้ว่า มันคุ้มค่าที่จะต่อสู้ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเธอในวัยยี่สิบไม่กล้าฝันจะได้เห็นมัน



ผู้อ่าน Bridget Jone's ต้องข้องใจเมื่อนึกทบทวนแล้วว่า Bridget หนัก 60 kg

นิยาย Chick lit ที่มียอดขายถึง 15 ล้านเล่มได้สร้างเสียงชื่นชมถึงความเข้าอกเข้าใจผู้หญิงและถูกนำมาสร้างเป็นหนัง rom-com ยอดนิยมหลายภาค เพราะพวกเราต่างวิตกกังวลในเรื่องรูปร่างหน้าตา การงาน ความสัมพันธ์ และมักประสบปัญหาความมั่นใจ จึงสามารถเข้าถึงถ้อยคำพร่ำบ่นตัวเองของ Bridget ที่รู้สึกจิตตกกับน้ำหนักตัวที่ขึ้นๆลงๆ และดูจะไม่ประสบความสำเร็จกับการไดเอทสักเท่าไร

แต่เมื่อนึกถึงตัวเลขในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้อ่านหลายคนกลับมองว่า นางเอกนิยายในดวงใจไม่ได้มีหุ่นอวบระยะสุดท้ายหรือก้าวสู่โรคอ้วนดังที่เธอโอดครวญในไดอารี่ สร้างข้อถกเถียงว่า นิยายยอดนิยมกำลังถ่ายทอดแนวคิดเกลียดกลัวความอ้วนหรือไม่?

Bridget มีน้ำหนักอยู่ที่ 58-61 ก.ก. เมื่อนำส่วนสูงของ Renée Zellweger มาคำนวณดัชนีมวลกาย BMI ซึ่งเป็นวิธีที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าล้าสมัย ไม่ควรนำเป็นเกณฑ์ตัดสินความอ้วน แต่ถึงกระนั้นตัวเลข BMI ของ Bridget ก็ชี้ว่า เธออยู่ในกลุ่มผู้มีน้ำหนักปกติ แต่ Bridget กลับเชื่อสุดใจว่า ตัวเองยังอวบอ้วนไม่ดีพอ และยังถูกคนอื่นพูดจาเยาะเย้ยเรื่องรูปร่าง ส่งผลให้เธอต้องวนเวียนอยู่กับเทรนด์ลดน้ำหนักสารพัดรูปแบบ

เมื่อ Hollywood ได้นำนิยายดังมาถ่ายทอดเป็นตัวละครหนังที่มีชีวิตจริงในยุค 2000s สื่อต่างประโคมข่าวเรื่อง Renée Zellweger ต้องขุนตัวเองให้น้ำหนักเพิ่ม 13 ก.ก.เพื่อรับบทสาวอวบให้ดูสมจริง แต่ท่ามกลางเสียงชื่นชมเรื่องการแสดงที่ตีบทแตกของนางเอกดัง ในช่วงหลังก็มีเสียงถกเถียงว่า เหมาะแล้วหรือที่จะจัดตัวละคร Bridget เป็นตัวแทนของสาวที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน เพราะ Renée อาจจะเพิ่มน้ำหนักตัวในการรับบทนี้ทั้งสองภาค จากที่เธอดูผอมบางก็กลายมามีเนื้อหนังเต็มไม้เต็มมือ แต่ก็ไม่ได้ดูอวบมากมายขนาดนั้น ใบหน้าเธออาจจะดูกลมและส่วนเว้าส่วนโค้งก็สะดุดตามากกว่าตอนที่มีรูปร่างผอม แต่เมื่อเทียบกับไซส์โดยเฉลี่ยของผู้หญิงอังกฤษที่ไซส์ 14-16  Bridget น่าจะใส่เสื้อผ้าไซส์ UK10-12 เท่านั้น

กลุ่มผู้ชม Gen Y หลายคนวิจารณ์ว่า นี่อาจจะสื่อถึงวัฒนธรรมการไดเอท toxic ในยุคนั้นที่กดดันสาวๆให้หมกมุ่นกับความผอม เพราะถึงแม้จะมีน้ำหนักปกติแต่ไม่ผอมบาง ก็อาจจะต้องเจ็บปวดกับ fat-shaming จนต้องลองทุกทางเพื่อจะลดความอ้วนและตกอยู่ในวังวนการนับแคลอรี่ ไม่ต่างจากการล้างสมองผู้หญิงให้เชื่อว่า พวกเธอจะค้นพบความสุขได้ก็ต่อเมื่อมีรูปร่างผอมเพรียว

ยังมีหลายคนที่ยืนยันความรักต่อ Bridget Jones อย่างไม่เปลี่ยนใจ และชี้ว่า นี่ไม่ใช่ตัวละครที่มีจุดขายเรื่อง body positivity มาตั้งแต่ต้น แต่เป็นภาพสะท้อนของผู้หญิงมากมายทั่วโลกที่ต้องดิ้นรนกับปัญหา body image จนขาดความมั่นใจในตัวเอง และต้องใช้เวลาหล่อหลอมประสบการณ์เพื่อก้าวสู่การใช้ชีวิตที่ healthy



อย่างไรก็ตาม หลังจาก Bridget Jones ถูกโจมตีว่านำเสนอเนื้อหา fat-shaming มานานหลายปี ผู้กำกับหนังสองภาคหลังจึงตัดสินใจไม่นำเรื่องน้ำหนักตัวเข้ามามีอิทธิพลกับตัวละครนี้อีก ซึ่งผู้กำกับจากภาค baby ต้องการจะทำให้ผู้ชมได้ประจักษ์ว่า แม้ Bridget จะสามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายแล้ว นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตของเธอจะราบรื่นดังใจหวัง ส่วนผู้กำกับภาค Mad About the Boy ก็เผยว่า ความหมกมุ่นเรื่องน้ำหนักตัวของ Bridget ไม่ใช่สิ่งที่พวกเค้าจะย้อนไปรื้อฟื้นทำอีก เพราะแนวคิดยางอย่างก็เหมาะที่อยู่เฉพาะบางยุคสมัยเท่านั้น และ ฺBridget มีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องไซส์ของเธอ

Discussion (3)

ขอบคุณค่า
ขอบคุณที่มาแชร์ค่ะ