

● กลุ่มไลน์ผลิตภัณฑ์อันโด่งดังของดาวิเนสมาในรูปแบบใหม่
ดาวิเนสแบรนด์สัญชาติอิตาลีที่โด่งดังระดับสากล มุ่งมั่นทุ่มเทคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโปรเฟสชั่นแนล และเป็นแบรนด์ที่เชื่อมั่นในเรื่องของความสมดุลระหว่าง ความงาม และ ความยั่งยืนมาโดยตลอด
ในปี 2015 ดาวิเนสได้ทำการปรับปรุงสูตรใหม่ทั้งหมด ด้วยการนำส่วนผสมที่ได้มากจากโครงการ Slow Food Presidia - เพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวิภาพและผลผลิตในท้องถิ่นของอิตาลีที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
และตอนนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง Essential Haircare ที่เปิดตัวไปในปี 2006 ได้กลับมาในทางเลือกรูปแบบใหม่ในรูปแบบของแชมพูก้อน ที่แสดงให้เห็นถึงความยังยืนที่มากขึ้นกว่าเดิม
ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Essential Haircare ถูกคิดค้นมาสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับสภาพเส้นผมที่แตกต่างกันออกไป ที่ตอนนี้มาในรูปแบบใหม่ที่ดียิ่งขึ้น ประสิทธิภาพเหนือขึ้นกว่าเดิม มีให้เลือกถึง 4 สูตร คือ Momo, Dede, Love และ Volu ซึ่งมาในรูปแบบก้อนในบรรจุภัณฑ์กระดาษที่สามารถรีไซเคิลได้ 100%
● บรรจุภัณฑ์กระดาษรีไซเคิลได้ 100%
Shampoo Bars สะดวกต่อการพกพา ด้วยขนาดพอเหมาะ สามารถพกพาไปได้ทุกที่สะดวก และใช้พื้นที่น้อยในการขนส่ง ซึ่งจะช่วยลดมลภาวะที่เกิดจากการขนส่ง
- บรรจุภัณฑ์ทำจากกระดาษ FSC 100% ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ทั้งหมด และตัวบรรจุภัณฑ์ยังทำหน้าที่เป็นแผ่นพับที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไปในตัว สามารถเก็บไว้อ่าน โดยไม่จำเป็นต้องทิ้ง
- ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการผลิต Shampoo Bars รวมไปถึงการขนส่งและการกำจัดถูกชดเชยผ่านโครงการปลูกป่า EthioTrees ที่มุ่งสร้างและเพิ่มปริมาณดินและป่าไม้ขึ้นใหม่เพื่อสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นทางตอนเหนือของเอธิโอเปีย
● โฟมครีมนุ่มละมุนและสูตรที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
- สูตรที่ปราศจากซิลิโคน ซัลเฟต และสารกันบูด
- มีผลกระทบต่ำต่อสิ่งแวดล้อมในน้ำ และสามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ถึง 97.4%
- ส่วนผสมที่ใช้ได้มาจากโครงการ Slow Food Presidia ซึ่งได้มาจากเทคนิคธรรมชาติของการหมักชีวภาพในน้ำมันดอกทานตะวันซึ่งเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนที่ใช้ทดแทนสำหรับตัวทำละลายเคมีแบบดั้งเดิม
- เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังสูตรของ Shampoo Bars นั่นแตกต่างเมื่อเทียบกับสบู่ก้อนแบบดั้งเดิม - การผสมผสานของสารลดแรงตึงผิวที่มีค่า pH ที่เหมาะกับผิวหนังและช่วยทำความสะอาดได้อย่างอ่อนโยน และมีประสิทธิภาพในการให้ความแข็งแรงและความเงางามแก่เส้นผม
- เทคโนโลยีประสิทธิภาพนี้ช่วยในการผสมผสานของสารปรับสภาพในสูตรให้สามารถสร้างฟองโฟมครีมเนื้อนุ่มละมุน มอบความนุ่มลื่นและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับเส้นผม
● สถานที่จัดจำหน่าย
Shampoo Bars ทั้ง 4 สูตร ขนาด 100g ราคา 830 บาท มีวางจำหน่ายที่ดาวิเนสซาลอนพาร์ทเนอร์ หรือสามารถสั่งซื้อได้ทาง Davines Thailand Facebook page
#DavinesThailand #essentialhaircare #essentialsolidshampoo #sustainablebeauty #essentialshampoobar
vivo ในฐานะแบรนด์สมาร์ตโฟนผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 หรือ ‘UEFA EURO 2020’ อย่างเป็นทางการ ต้องการให้แฟนบอลทั่วโลกสามารถสนุกไปกับทุกโมเมนต์สำคัญของการแข่งขันฟุตบอลยูโร ประกาศเปิดตัวแคมเปญ ‘To Beautiful Moments’ กระตุ้นให้ทุกคนสนุกและเต็มอิ่มไปกับโมเมนต์ที่สวยงามระหว่างการแข่งขันบอลยูโร ที่ไม่ว่าจะร่วมเชียร์ทีมโปรดพร้อมกันผ่านระบบเสมือนจริงต่างๆ หรือเชียร์พร้อมกันที่บ้าน ทั้งเพื่อน ครอบครัว และแฟนบอลทุกคน สามารถสนุกไปกับเกมการแข่งขันฟุตบอลพร้อมๆ กันได้อย่างเต็มที่ เติมเต็มทุกความสุขของคอบอลไม่ว่าจะในจอหรือนอกจอ
Spark Ni รองประธานอาวุโสและผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ vivo กล่าวว่า “ผู้คนทั่วโลกต่างกำลังรอคอยการแข่งขันครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ และตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะเฉลิมฉลองจิตวิญญาณและน้ำใจแห่งนักกีฬา และช่วยให้แฟนบอลทั่วโลกมีประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากการชมการแข่งขัน เราไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ชมทั่วโลกเก็บภาพความประทับใจและแชร์ช่วงเวลาพิเศษเพียงเท่านั้น แต่เรายังช่วยให้ทุกช่วงเวลาในชีวิตของผู้คนมีความมหัศจรรย์มากขึ้นอีกด้วย”
โดยภาพยนตร์โฆษณาที่จะนำมาโปรโมตแคมเปญใหม่ในครั้งนี้ จะถูกเผยแพร่ออกอากาศในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ ช่องทางดิจิทัลและโซเชียลแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Instagram และ YouTube พร้อมกันทั่วโลก ทั้งโซน ยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งใ ประเทศจีน ซึ่งในโฆษณาจะแสดงภาพที่ แฟนบอลกำลังสนุกสนานไปกับการรับชม รวมทั้งถ่ายภาพและแชร์โมเมนต์ที่สวยงามร่วมกัน ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการแข่งขันในแต่ละแมตช์ โดยสื่อถึงใจความสำคัญว่า “วางมือถือของคุณลงก่อน แล้วไปใช้เวลาอยู่กับโมเมนต์ที่สวยงามของชีวิต (Give your phone a break, and be there for life’s beautiful moments)”
การร่วมมือกับ UEFA (ยูฟ่า) ในครั้งนี้ vivo มุ่งมั่นที่จะเชื่อมต่อและขยายฐานผู้ใช้งานให้ครอบคลุมมากขึ้นกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก โดย Spark Ni ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ในขณะที่เราขยายธุรกิจไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว การเชื่อมต่อกับผู้คนผ่านช่วงเวลาที่สวยงามในชีวิตที่พวกเขาใส่ใจมากที่สุด จึงถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับพวกเรา vivo ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับยูฟ่าในฐานะแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับแฟนบอลทั่วโลกอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งได้ส่งมอบความหลงใหลและความสนใจให้กับผู้ใช้งานของพวกเราอีกด้วย”
● ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำกับ UEFA
vivo ถือเป็นพันธมิตรรายแรกที่ได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอพิธีเปิดและพิธีปิดการแข่งขันที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 11 มิถุนายน และ วันที่ 11 กรกฎาคม 2554 นี้ โดย vivo ร่วมมือกับยูฟ่าเตรียมสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลกที่กำลังรอชมการแข่งขันสุดยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ในขณะที่แฟนบอลทั่วยุโรปสามารถกลับไปเชียร์ฟุตบอลที่สนามอีกครั้ง แต่ด้วยมาตรการจำกัดความจุของผู้เข้าชมอาจส่งผลให้ประสบการณ์การเชียร์ฟุตบอลในสนามของแฟนๆ ไม่เต็มที่ ขึ้นอยู่กับนโยบายการกักกันโรคของแต่ละประเทศ ดังนั้นเพื่อนำเสียงเชียร์และเสียงปรบมือของแฟนๆ กลับคืนสู่สนาม vivo จึงร่วมกับยูฟ่า เตรียมส่งแคมเปญ #vivoSuperTime ให้แฟนบอลทั่วโลกถ่ายทอดพลังและส่งเสียงเชียร์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อรวบรวมเป็นภาพความประทับใจไปจัดแสดงในงานพิธีปิดการแข่งขันอีกด้วย
Guy-Laurent Epstein ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ UEFA กล่าวว่า “เกมฟุตบอลนำความสุขมาสู่แฟนบอลหลายล้านคนทั่วโลก และเรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับ vivo เพื่อพาแฟนๆ ที่หลงใหลในเกมฟุตบอลได้ติดตามเกมการแข่งขันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และเราตั้งตารอที่จะสร้างความทรงจำที่ตราตรึงให้กับผู้คนทั่วโลกไปด้วยกัน”
แฟนบอลสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “To Beautiful Moments” และกิจกรรมของ vivo ในการแข่งขันการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปประจำปี 2020 ได้ที่ https://www.vivo.com/en/activity/euro2020
● เก็บทุกช่วงเวลาสำคัญด้วย X60 Pro 5G สมาร์ตโฟนสำหรับสายถ่ายภาพมือโปร
ไม่ว่าคุณจะเชียร์บอลอยู่ที่ไหน ก็สามารถเต็มอิ่มไปกับโมเมนต์แห่งความสนุกระหว่างการแข่งขันไปพร้อมกันได้ด้วย vivo X60 Pro 5G สมาร์ตโฟนสำหรับสายถ่ายภาพที่จะเข้ามาสร้างแรงบันดาลให้ผู้ชมสนุกไปกับการสร้างคอนเทนต์และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านแคมเปญ “To Beautiful Moments” ได้อย่างน่าประทับใจ โดย X60 Pro 5G คาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นแรกของ vivo ที่ร่วมมือทางวิศวกรรม (Co-Engineer) กับ ZEISS บริษัทผู้พัฒนาอุปกรณ์เลนส์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในอุตสาหกรรม ผสานนวัตกรรมล้ำสมัยและมุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้งานด้วยความสามารถด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่โดดเด่น เก็บภาพทุกช่วงเวลาที่สนุกสนานทั้งในและนอกสนามได้อย่างดีเยี่ยม
● เก็บภาพเซลฟีเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่สวยงามกับ V21 5G
vivo พร้อมมอบประสบการณ์การเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่สวยงามของเหล่าแฟนบอลผ่านสุดยอดสมาร์ตโฟนสำหรับเซลฟี่ อย่าง vivo V21 5G ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ เก็บภาพเซลฟีกับแมตช์ประวัติศาสตร์ด้วยกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 44MP รองรับระบบกันสั่นแบบ OIS (Optical Image Stabilization) และ EIS (Electronic Image Stabilization) รุ่นแรกของโลก เก็บภาพสวยคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยฟีเจอร์ AI Night Portrait และ Eye autofocus และที่สำคัญ ทั้ง vivo V21 5G และ X60 Pro 5G ยังรองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายสัญญาณ 5G แบบ Dual Mode ทั้งแบบ SA และ NSA ให้แฟนบอลเต็มที่ไปกับทุกการเชื่อมต่อที่เร็วและแรง เพลิดเพลินกับทุกแมตช์การแข่งขัน ไม่มีภาพสะดุดให้เสียอารมณ์อย่างแน่นอน
“ไม่ก้าวตามสเต็ปใคร…แล้วไปในจังหวะของตัวเอง” แบมแบม - กันต์พิมุกต์ ภูวกุล
อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ ประเทศไทย ประกาศเปิดตัว บิ้วตี้ มิวส์ ของเมืองไทยคนล่าสุดอย่างเป็นทางการ นักร้องหนุ่มไทยสุดฮอตผู้ทรงอิทธิพลและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี “แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล”
เมื่อคาแรคเตอร์แห่งดนตรีและการเต้นมาบรรจบกับโลกบิวตี้ ถือได้ว่าเป็นการพบกันที่เหมาะเจาะมากที่สุด ด้วยความที่แบมแบมผู้เป็นทั้งนักเต้นที่ประสบความสำเร็จ นักร้องที่มีชื่อเสียง และยังถือได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ไปถึงจุดสูงสุดของวงการดนตรี ซึ่งเขาก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น หากแต่ความสามารถที่โดดเด่นเกินต้านทาน พรสวรรค์ราวกับแรงดึงดูดอันสุดโต่ง บุคลิกที่เฟี๊ยซเป็นตัวเอง สไตล์ที่สะดุดทุกสายตา และความครีเอทีฟอันไม่มีที่สิ้นสุดที่เขาใส่ลงไปในชิ้นงานทุกชิ้น ยังทำให้แบมแบมคือ ผู้ชายที่มียอดผู้ติดตามมากที่สุดทาง Instagram ในประเทศไทยอีกด้วย
การได้รับเลือกของเขาในฐานะ YSL Beauty Muse ของเมืองไทย แบมแบมจะถ่ายทอดความงามอันเป็นเอกลักษณ์และคาแรคเตอร์ที่เป็นตัวของตัวเองในแบบฉบับบิวตี้ของ Yves Saint Laurent: YOUNG | EDGY | LUXURY
จูลี่ แฮสเซล ผู้จัดการทั่วไปแบรนด์ YSL ประจำประเทศไทย ได้กล่าวไว้ว่า “พวกเราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้ให้การต้อนรับ แบมแบม ในฐานะมิวส์คนล่าสุด เขามีทั้งเสน่ห์ดึงดูดที่โดดเด่นแตกต่าง มีความสามารถอันเป็นพรสวรรค์ทั้งทางดนตรีและการเต้น ซึ่งทั้งหมดทำให้เขาเหมาะสมอย่างยิ่งกับ YSL Beauty แบมแบมไม่ตามรูปแบบหรือแบบแผนใดๆ เขามีมุมมองกว้างไกลเกินกว่าขีดจำกัด และยังก้าวข้ามทุกขอบเขตอย่างสร้างสรรค์ เราตั้งตารออย่างมากที่จะได้ร้อยเรียงเรื่องราวผ่านบริบทของความงามไปกับเขา”
แบมแบม กล่าวเช่นกันว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ในที่สุดก็ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว YSL หลายๆคนทราบกันดีว่าผมรัก YSL แค่ไหนตลอด 8 ปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ และผมก็ยังรู้สึกอีกด้วยว่าผมสามารถเป็นตัวเองได้มากที่สุด ผ่านทั้งเสียงเพลง การเต้น ไลฟ์สไตล์ และอีกหลายอย่างไปกับแบรนด์ YSL Beauty คือทั้งหมดของความเป็นผม ผมหวังว่าทุกคนจะรู้สึกถึงพลังที่ส่งผ่านการเดินทางบิวตี้ไปด้วยกันในครั้งนี้ ขอบคุณครับ”
การเดินทางของเขากำลังจะเริ่มต้นในฐานะ มิวส์ คนล่าสุด ของ อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ ประเทศไทย
แคมเปญของเขากับ YVES SAINT LAURENT BEAUTÉ
“I don’t Follow the Rhythm; I Create my own Beats.” แบมแบม ศิลปินผู้ที่แสดงออกซึ่งความเป็นตัวเองและเส้นทางที่เขาเลือก เขาไม่ก้าวตามสเต็ปใคร…แล้วไปในจังหวะของตัวเอง กับครั้งแรกที่จะเขย่าวงการบิวตี้ ด้วยลิปสติกแมทท์เนื้อเนียนนุ่ม ติดทนยาวนาน YSL ROUGE PUR COUTURE THE SLIM LIPSTICK อันเป็นดั่งสัญลักษณ์สุดเฟี๊ยซของแบรนด์ ติดตามแบมแบมได้ในแคมเปญแรกที่เขาจะพาเราฉีกกรอบไปด้วยกัน เฉกเช่นลิป THE SLIM เฉด 11 ที่ท้าทายให้สาวก YSL ทั่วโลกทำในสิ่งที่แตกต่าง
www.yslbeautyth.com/yslbeautyxbambam
#YSLBEAUTYTH
#YSLBEAUTYTHxBamBam
กฤช สิงห์สัจจเทศ แบรนด์ไดเร็กเตอร์ของ CC DOUBLE O เปิดตัวคอลเลคชั่นพิเศษประจำปี 2021 ในคอนเซ็ปต์ “Joy of Color” ซึ่งเป็นความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่าง CC DOUBLE O และสำนักเทรนด์สีระดับโลกอย่าง Pantone
เป็นเรื่องน่าติดตามทุกปีว่าแบรนด์เสื้อผ้าอย่าง CC DOUBLE O จะสร้างเซอร์ไพร์สด้วยการสร้างสรรค์ คอลเลคชั่นพิเศษเพื่อเป็นของขวัญให้กับลูกค้า โดยในปีนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการจับมือกันเป็นครั้งแรกร่วมกับสุดยอดสำนักเทรนด์สีอย่าง Pantone Color Institute ซึ่งถือเป็นทั้ง Innovator และ Trend Setter เจ้าสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวงการออกแบบ วงการงานดีไซน์ ตลอดจนอีกหลากหลายวงการ การคอลแลปส์กันในครั้งนี้เป็นการชวนกันมาเลือกสีสันสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับ CC DOUBLE O โดยเฉพาะ จำนวน 13 สี ซึ่งสีสันที่ได้รับการคัดเลือกมาพร้อมกับแนวคิดเกี่ยวกับเมืองไทย ที่สะท้อนผ่านมุมมองของ Pantone อาทิ
● สี Papaya Punch สีพั้นซ์พาสเทล จากส้มตำไทย อาหารที่ทั้งไทยและต่างประเทศรู้จักกันเป็นอย่างดี เฉดสีสะท้อนความสดใส สนุกสนาน เปรี้ยว หวาน เผ็ด เข้ากันลงตัว
● สี Radiant Orchid สีม่วงจากดอกกล้วยไม้ สื่อถึงความทันสมัย มีชีวิตชีวา มีความเป็นป็อปคัลเจอร์แฝงอยู่ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับความคิดริเริ่มใหม่ๆที่สร้างสรรค์ได้อย่างลงตัว
● สี Geranium มาจากสีประจำวันอาทิตย์ของไทย (Thailand The Color of Sunday) สื่อถึงความสดใส พลังงาน และท้าทายสิ่งใหม่อยู่เสมอ
● สี Blue Turquoise จากสีน้ำทะเลของเกาะพีพี จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่หลงรักทะเลของประเทศไทย
● สี Foliage Green จากใบตองห่อขนมไทย ขนมหวานไทยคือภูมิปัญญามรดกจากรุ่นสู่รุ่น การหยิบเอาสีใบตองห่อห่อขนมย่อมสะท้อนความเป็นไทยได้ดี
● สี Classic Blue จากรถตุ๊กตุ๊ก สัญลักษณ์ที่ใครๆ มาเมืองไทยต่างพูดถึง และต้องลองซักครั้ง
● สี Golden Brown จาก วัดเก่าในจังหวัดอยุธยา ความรุ่งเรืองในอดีตที่หลงเหลือในปัจจุบัน สีของอิฐที่ก่อร่างสร้างเมืองและวัดยังคงโดดเด่นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมให้ผู้คนได้มาสัมผัส
● สี Nightshadow Blue จากบรรยากาศยามค่ำคืนของถนนข้าวสาร Walking Street ที่เป็นตำนานที่มีชีวิตชีวาที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของกรุงเทพ เมืองแห่งรอยยิ้ม และความสนุกสนานที่พร้อมต้อนรับผู้คนอยู่เสมอ
นอกจากสีพิเศษทั้ง 8 สีนี้แล้ว ยังมีสีอื่นๆ ที่มาช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับคอลเลคชั่น ไม่ว่าจะเป็นสีขาวสว่างอย่าง Bright White สีกรมท่า Dark Navy สีดำ Meteorite และที่พิเศษมากไปกว่านั้นคือการนำสีประจำปีหรือ Color of the Year ที่กำหนดโดย Pantone ประจำปี 2021 อย่างสีเทา Ultimate Gray และสีเหลือง Illuminating มาเป็นส่วนหนึ่งกับคอลเลคชั่นนี้ด้วย
พบกับสินค้าคอลเลคชั่นใหม่พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษได้ที่ร้าน CC DOUBLE O ทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ที่ www.ccdoubleo.com
OPPO ร่วมมือกับ National Geographic ตอกย้ำพลังของสีสันและความเปราะบางของธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม ผ่านแคมเปญ “Endangered Colours” กับการเก็บภาพสิ่งมีชีวิตที่กำลังสูญพันธุ์ เพื่อตอกย้ำความสำคัญของการมีอยู่ของธรรมชาติ พร้อมแสดงให้เห็นถึงสีสันที่หายากที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป
แคมเปญ Endangered Colours ได้เก็บสีสันแห่งธรรมชาติที่ใกล้สูญพันธ์ผ่านมุมมองของ Joel Sartore ช่างภาพระดับมืออาชีพจาก National Geographic และเลนส์กล้องของสมาร์ทโฟนแฟล็กชิพ OPPO Find X3 Pro 5G ที่สามารถเก็บสีสันได้ถึงหนึ่งพันล้านสี เพื่อแสดงให้ผู้คนได้เห็นว่าความสวยงามของสีสันแห่งธรรมชาติที่น่าทึ่งนี้เป็นอย่างไร
โดยล่าสุดภาพถ่ายสีสันพันล้านสีของสัตว์นานาชนิดได้ถูกจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ณ ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระตุ้นให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการแสดงประสิทธิภาพกล้องของสมาร์ทโฟนแฟล็กชิพ OPPO Find X3 Pro 5G ที่มาพร้อมด้วยกล้องหลักคู่ 50MP เซ็นเซอร์ Sony IMX766 ถึงสองตัวครั้งแรกของโลก และเทคโนโลยี 10-bit Full-path Colour Engine ระบบการประมวลสีตั้งแต่การถ่ายภาพไปจนถึงการแสดงผลให้สามารถสัมผัสประสบการณ์สีที่นุ่มนวลและสมจริงได้มากถึงหนึ่งพันล้านสีอีกด้วย
ร่วมรับแรงบันดาลใจจากภาพถ่ายของธรรมชาติที่ใกล้สูญพันธ์จาก Joel Sartore และพลังแห่งการถ่ายภาพสีสันหนึ่งพันล้านสีด้วย OPPO Find X3 Pro ไปพร้อมกันในแคมเปญ Endangered Colours
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่https://web.facebook.com/oppothai
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ OPPO Find X3 Pro 5G เพิ่มเติมได้ที่ https://www.oppo.com/th/smartphones/series-find-x/find-x3-pro/
WATER LOVERS เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับมหาสมุทรของเรา
โครงการ Water Lovers ของไบโอเธิร์ม ทำงานเพื่อปลุกจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์มหาสมุทรและสร้างความตระหนักถึงภัยคุกคามของมลพิษขยะพลาสติกในมหาสมุทรมาตั้งแต่ปี 2012 และด้วยความเชื่อว่าจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมที่มีต่อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มหาสมุทรเพื่อให้อยู่รอดและหลุดพ้นจากความเสี่ยงทางสภาพแวดล้อมได้ แบรนด์จึงร่วมมือกับศิลปิน, นักเคลื่อนไหว, องค์กรเอกชนระดับโลก และโครงการ Water Lovers ทุกรูปแบบ เพื่อผลักดันให้เกิดการดำเนินการเพื่อปกปักรักษาแหล่งน้ำธรรมชาติของโลกเรา และเพื่อสนับสนุนแคมเปญ World Oceans Day ในปีนี้ ไบโอเธิร์มได้มีการจัดทำ 2 แคมเปญเพื่อสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์ปอดสีฟ้าครามของเรา
1. A Voice for the Ocean: BIOTHERM x COCO CAPITÁN หนึ่งเสียงเพื่อมหาสมุทร: การร่วมมือกันทางศิลปะ เพื่อแผ่นน้ำกว้างใหญ่อันเปรียบเสมือนแหล่งลมหายใจ หรือ ‘ปอดสีฟ้าคราม’ ให้ได้คงอยู่สืบไป
2. Let’s Give Back To The Ocean : BIOTHERM x GEPP Sa-Ard (เก็บสะอาด) แพลตฟอร์มผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการขยะ
ร่วมกันจัดทำแคมเปญ Let’s Give Back To The Ocean โครงการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ Give Back To The Ocean กับ BIOTHERM
#BeAWaterLover
#RecycleSaveOcean
#BiothermThailand
#สาวกแพลงตอน
ลา โชซ์-เดอ-ฟงด์, สวิตเซอร์แลนด์ : แบรนด์นาฬิกาหรูจากสวิสเปิดตัว TAG Heuer Carrera Green Special Edition ใหม่ล่าสุดได้จังหวะเหมาะเจาะกับช่วงหน้าร้อนพอดี ทั้งยังมาในเฉดสีเขียวเข้มอมน้ำเงินแฝงประกาย และผลิตเพียง 500 เรือนเท่านั้น นาฬิกาใหม่ล่าสุดนี้เป็นการผสมผสานขนบที่สืบทอดต่อมาจากจากนาฬิกา Heuer Carrera รุ่นแรกๆ เข้ากับความสง่างามทันสมัยในสไตล์ริเวียร่าที่ยากจะหาใดเปรียบ
คอลเลกชั่น TAG Heuer Carrera เป็นการแสดงคารวะต่อประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งรถผ่านการสร้างสรรค์นาฬิกาจับเวลาโครโนกราฟสปอร์ตสง่าไร้กาลเวลา นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 60 กว่าปีก่อนภายใต้วิสัยทัศน์ของแจ๊ก ฮอยเออร์ นาฬิกาซึ่งโดดเด่นด้วยเส้นสายสะอาดตาและสัดส่วนที่สมบูรณ์ลงตัวนี้ก็ได้กลายเป็นผลงานไอคอนที่ทุกคนจดจำในทันที และผลงานใหม่ที่ผ่านการปรับแต่งให้ทันสมัยด้วยความเชี่ยวชาญนี้ก็เป็นการสืบสานจิตวิญญาณของผลงานรุ่นออริจินัลในปี 1963
นาฬิกาจับเวลาโครโนกราฟ TAG Heuer Carrera Green Special Edition ยังคงเอกลักษณ์ของนาฬิกา Heuer Carrera ref. 2447 ทั้งขาตัวเรือน ดีไซน์ตัวเรือน ปุ่มกดที่ขัดแต่งสวยเนี้ยบ และหน้าปัดที่โดดเด่นเช่นเดียวกับรุ่นก่อน แต่ก็มีรายละเอียดใหม่อื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามา และขนาดตัวเรือนที่ขยายใหญ่ขึ้นจาก 36 มม. เป็น 39 มม. เพื่อให้รับกับสมัยนิยม หน้าปัดใช้โครงสร้างแบบ tricompax ดูเรียบหรู หน้าปัดย่อยตกแต่งด้วยลายเส้นหมุนวนเป็นก้นหอย หน้าปัดจับเวลา 30 นาทีอยู่ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา หน้าปัดจับเวลาชั่วโมง ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และแสดงวินาที่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ส่วนเข็มชั่วโมงและนาทีดีไซน์เป็นเหลี่ยมมุมสวยงาม เคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova® เพื่อการอ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจน และส่วนกระจกแซฟไฟร์คริสตัล ‘ทรงกล่อง’ สไตล์เรโทร นั้นได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกา Heuer Carrera รุ่นออริจินัล หน้าปัดประดับโลโก้ Heuer และชื่อ Carrera
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้นาฬิการุ่นนี้โดดเด่นไม่เหมือนใครก็คือหน้าปัดเฉดเขียวเข้มขัดแต่งแบบซันเรย์ เฉดสีนี้ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในนาฬิกาของ TAG Heuer เป็นส่วนผสมของสีน้ำเงินและสีเขียว ทำให้นาฬิกาดูครีเอทีฟ ทันสมัย และโดดเด่น เมื่อพลิกดูที่ฝาหลังตัวเรือนซึ่งเป็นกระจกแซฟไฟร์คริสตัลใส จะเห็นการแต่งแต้มด้วยสีเขียวสุดพิเศษบริเวณชิ้นส่วนคอลัมน์วีลของกลไก และบนตัวอักษรที่สลักคำว่า Calibre Heuer 02 และ Swiss Made บนโรเตอร์
หลังจากประกาศความร่วมมือระหว่าง Vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนระดับโลก และ ZEISS บริษัทผู้พัฒนาอุปกรณ์เลนส์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในอุตสาหกรรม เพื่อร่วมสนับสนุนและพัฒนาทางวิศวกรรม (Co-Engineer) สำหรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีกล้องสมาร์ตโฟนในปีที่ผ่านมา ล่าสุด Vivo เตรียมประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นแรกจากความร่วมมือระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบประสบการณ์การถ่ายภาพระดับมืออาชีพสู่มือผู้บริโภคในประเทศไทย กับ Vivo X60 Pro สมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นท็อปที่สุดของ Vivo ที่จ่อเปิดตัวเร็วๆ นี้
โดยสเปกเบื้องต้นคาดว่า X60 Pro จะมาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวที่ผสานการทำงานร่วมกับเลนส์ที่ครบถ้วน ทั้งเลนส์หลักที่คาดว่าจะมีความละเอียดสูงถึง 48MP พร้อมรองรับระบบกันสั่นสุดล้ำ Gimbal Stabilization 2.0 VIS แบบ 5 แกน พัฒนาขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้า ให้ภาพและวิดีโอที่มีมิติและลื่นไหลกว่าที่เคย เลนส์สำหรับถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ความละเอียด 13MP พร้อมโหมดที่ช่วยให้ถ่ายโบเก้ (Bokeh) ได้สวยเนียนเป็นธรรมชาติ และเลนส์มุมกว้าง Super Wide Angle ความละเอียด 13MP เก็บภาพได้ครบทุกองศา ซึ่ง Vivo X60 Pro จะถือเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่เกิดจาก Vivo ZEISS Imaging Lab ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีกล้องสำหรับสมาร์ตโฟนระดับเรือธงของ Vivo ที่มุ่งคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาด้านการถ่ายภาพบนมือถืออย่างสมบูรณ์แบบและยกระดับเลนส์กล้องสมาร์ตโฟนของ Vivo ขึ้นไปอีกขั้น
คาดว่า X60 Pro ที่มาพร้อมเลนส์สุดพรีเมียมจาก ZEISS จะเปิดตัวในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสประสบการณ์การถ่ายภาพแบบมือโปรด้วยมือถือที่ทั้งสะดวกและง่ายดายกว่าที่เคย สายถ่ายภาพเตรียมอดใจรอกันอีกไม่นาน
“เวสป้า” สกู๊ตเตอร์ที่เผยโฉมครั้งแรกในปี 1946 และในเวลาต่อมาเวสป้าได้พิสูจน์แล้วว่าเวสป้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานพาหนะ ด้วยระยะเวลาตลอด 75 ปี เวสป้าได้พลิกโฉมการเดินทางบนท้องถนนทั่วโลก กลายเป็นผู้นำกระแสใหม่ เป็นสัญลักษณ์แห่งความอิสระและวิถีชีวิตร่วมสมัยที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์รวมถึงเทคโนโลยีแบบอิตาเลียนอย่างแท้จริง และเพื่อเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 75 ในฐานะหนึ่งในพลเมืองของโลก เวสป้ามาพร้อมกับรถสกู๊ตเตอร์รุ่นพิเศษ “Vespa 75th Anniversary Special Edition” ที่มาในรุ่น Vespa Primavera 150 i-Get ABS 75th Anniversary Special Edition และ Vespa GTS 300 HPE 75th Anniversary Special Edition ที่มาพร้อมกับเฉดสีดึงดูดสายตา "สีทอง Giallo 75th" สีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้ โดยสื่อถึงเฉดสีแบบร่วมสมัยที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสีที่ได้รับความนิยมในยุค ‘40s "สีทอง Giallo 75th" ยังชวนให้รำลึกถึงความสำเร็จ จิตวิญญาณแห่งการสร้างนวัตกรรม และความหลงใหลในสไตล์แฟชั่นของเวสป้า พร้อมลายกราฟิกเลข 75 สัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่น
ฟีเจอร์และดีไซน์ “Vespa 75th Anniversary Special Edition” ของทั้ง 2 รุ่น ได้แก่
- จอแสดงผล TFT (Full-Colour TFT Display) ขนาด 4.3 นิ้ว พร้อมเรือนไมล์ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ตอบโจทย์การขับขี่อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ตัวถังเหล็กและบังโคลนหน้าประดับด้วยหมายเลข 75 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำรุ่น เล่นมิติด้วยเฉดสีที่เข้มกว่าเล็กน้อย
- เน็กไทเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่มาพร้อมสีทองทึบแสง “Giallo Pirite” เพิ่มมิติให้กับตัวรถ
- ล้อสีเทาผสานการตกแต่งขอบสีเงิน ยกระดับความคลาสสิกได้เป็นอย่างดี
- ตะแกรงหลังโครเมี่ยมพร้อมกระเป๋าสัมภาระทรงกลมดีไซน์จากกล่องเก็บยางอะไหล่สุดคลาสสิก
- เบาะหนังนูบัคแบบพิเศษสีดำพร้อมมือจับกันตกสีเทา Grigio Fumo
- แผ่นเพลทประจำรุ่นเพิ่มความพิเศษ
● Vespa Primavera 150 i-Get ABS 75th Anniversary Special Edition สกู๊ตเตอร์รุ่นคลาสสิกระดับตำนาน เอกลักษณ์เฉพาะตัวพร้อมไฟหน้าทรงกลม
- ครั้งแรกของโมเดล Primavera ที่นำจอแสดงผล TFT (Full-Colour TFT Display) ขนาด 4.3 นิ้ว พร้อมเรือนไมล์แบบดิจิทัลเต็มรูปแบบมาอยู่บนตัวรถ
- ระบบอัจฉริยะ VESPA MIA ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังสมาร์ทโฟนผ่านทาง Application Vespa เพื่อมอบประสบการณ์และความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่
- ตอบโจทย์การขับขี่ด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ด้วยเครื่องยนต์
- i-Get ขนาด 154.8 ซีซี. พร้อมไฟหน้า - ท้ายแบบ LED ขับขี่มั่นใจในทุก เส้นทางด้วยระบบเบรก ABS
ราคา 159,900 บาท (ราคานี้เป็นราคา ON THE ROAD PRICE ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าจดทะเบียน พ.ร.บ. และประกันรถหาย และ Welcome kit)
● Vespa GTS 300 HPE 75th Anniversary Special Editionที่สุดของเวสป้าเฟรมใหญ่สไตล์สปอร์ต จากตระกูลจีทีเอส (GTS) มาพร้อมสุดยอด สมรรถนะและเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากเวสป้า
- เครื่องยนต์ HPE (High Performance Engine) ขนาด 300 ซี.ซี. แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 12%
- จอแสดงผล TFT (Full-Colour TFT Display) ขนาด 4.3 นิ้ว พร้อมเรือนไมล์แบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ
- ระบบอัจฉริยะ VESPA MIA ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังสมาร์ทโฟนผ่านทาง Application Vespa เพื่อมอบประสบการณ์ความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่
- ไฟหน้า – ไฟท้ายแบบ LED ขับขี่มั่นใจด้วยระบบเบรก ABS พร้อมด้วยระบบป้องกันการลื่นไถล (ASR)
ราคา 259,900 บาท (ราคานี้เป็นราคา ON THE ROAD PRICE ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าจดทะเบียน พ.ร.บ. และประกันรถหาย และ Welcome kit)
● Vespa 75th Anniversary Special Edition เน้นย้ำความเอ็กซ์คลูซีฟด้วย Vespa 75th Anniversary Welcome Kit ประกอบไปด้วย
1. Welcome Card
2. คู่มือรถ
3. แผ่นเพลทเวสป้าสไตล์วินเทจ
4. โปสการ์ดเวสป้าจำนวน 8 ใบ บอกเล่าประวัติศาสตร์ตลอด 8 ทศวรรษของเวสป้า
และ 5. กระเป๋าสัมภาระทรงกลมจากดีไซน์กล่องเก็บยางอะไหล่รุ่นคลาสสิก (พร้อมผ้าหุ้มกันน้ำ)
เป็นอีกสองรุ่นพิเศษที่เหล่านักสะสมและแฟนคลับตัวยงของเวสป้าห้ามพลาด
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อตัวแทนจำหน่ายเวสป้าทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ LINE Official Account : vespathailand รวมถึงติดตามข่าวสารได้ที่ http://www.vespa.co.th เฟซบุ๊ก Vespa และอินสตาแกรม @vespathailand
ผยผิวดูสวยเจิดจรัสไร้ที่ติภายใต้แสงอาทิตย์ ที่กระทบผิวดูเปล่งประกายอย่างหรูหรามีระดับ กับ The Bronzing Collection ที่ NARS จะพาคุณก้าวข้ามประสบการณ์ใหม่อีกขั้นของ Bronzing ที่เปลี่ยนผิวให้ดูสวยโดดเด่นในทุกมิติของผิวที่ต้องกระทบแสง และจะทำให้ซัมเมอร์นี้ของคุณน่าจดจำกว่าที่เคย โดย The Bronzing Collection ประกอบไปด้วย Bronzing Duo ที่ประกบคู่กันของ Highlighting Powder และ Bronzing Powder ได้อย่างลงตัว และคอลเลคชั่นนี้ยังมีนวัตกรรม Cream-to-Powder ที่อยู่ผลิตภัณฑ์ Bronzing Cream ที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์เนื้อครีมเปลี่ยนเป็นแป้งบางเบาบนผิวในลุค ที่ดูเนียนนุ่ม อบอุ่น แบบแมตต์ฟินิช ได้อย่างเย้ายวนไร้ที่ติ ปิดท้ายเพื่อ Complete ลุคด้วย Eyeshadow Palette ที่ช่วยให้ดวงตาดูสวยหรูหรารับซัมเมอร์ ด้วยโทนสีประกายทองสลับกับเฉดสีบรอนซ์และน้ำตาลได้อย่างงดงาม พร้อมเม็ดสี ที่เด่นชัดอันเป็นเอกลักษณ์ของนาร์สที่ ไม่ว่าจะ ปัดหรือไล่เฉด เนื้อสีก็สามารถกระจายบนเปลือกตาได้อย่างเรียบเนียน และนี่คือทุกสิ่งที่คุณจะหาได้จากคอลเลคชั่นนี้ ดังคำล่าวของ คุณฟรองซัว นาร์ส ผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ ที่กล่าวไว้ว่า “Bronzed Skin Should Look Dimensional, With Soft Contour and Warm Glow”
The Bronzing Collection ประกอบไปด้วย
● Summer Solstice Eyeshadow Palette ราคา 2,000 บาท
โดดเด่นด้วย 9 เฉดสี ที่เต็มไปด้วยประกายอบอุ่น ในหนึ่งพาเลทเดียว จุดประกายดวงตาให้เปล่งประกายดูมีเสน่ห์งดงาม น่าค้นหาในทุกมิติ แต่งได้กับทุกลุค เผยความโดดเด่นรับซัมเมอร์ได้อย่างไร้ที่ติ Summer Solstice Eyeshadow Palette มาพร้อมนวัตกรรมสุดล้ำ Liquid Binding System (กระบวนการกระจายเม็ดเพื่อมอบความเด่นชัด สมจริงในเนื้อลิควิดอย่างสม่ำเสมอทั่วถึงก่อนผ่านกระบวนการอัดแข็ง) เพื่อผลลัพธ์ของการแต่งเติมสีสันได้สดชัดสะดุดตาด้วยการปาดบนเปลือกตาเพียงแค่ครั้งเดียวด้วยประกายหรูหราดั่งทองคำ
● Summer Solstice Cheek Duo ราคา 1,900 บาท
อีกขั้นของความงามในทุกมิติ ด้วย 2 เฉดสียอดนิยมตลอดกาลที่มาพร้อมส่วนผสมและเทคโนโลยีเอกสิทธิ์ของนาร์สกับ Summer Solstice Cheek Duo ประกอบไปด้วย Bronzing Powder (ด้านล่าง) คลีเอทลุคที่ดูสวยโดดเด่นเปล่งประกายแต่ซ้อนความอบอุ่นนุ่มนวลได้อย่างไร้ที่ติ Highlighting Powder (ด้านบน) ฉ้ำประกายด้วยเฉดสีทองหรูหรามีระดับด้วย Seamless Glow Technology ที่พัฒนาสูตรก้าวล้ำไปอีกขั้นจากการหลอมรวมอณูมุกเข้ากับเม็ดแป้งโปร่งใส ที่ช่วยทอประกายผิวให้ดูเปล่งปลั่งเป็นเงางามเป็นธรรมชาติ จึงเป็นคู่บลัชที่ถูกสร้างสรรค์มาอย่างลงตัวเพื่อเนรมิต ผิวให้ดูสวยโดดเด่นเสมือนได้ผิวใหม่อีกครั้ง
● Sunkissed Bronzing Cream 2 เฉดสี ราคาชิ้นละ 1,700 บาท
NARS ขอแนะนำประสบการณ์สัมผัสบางเบารับซัมเมอร์ ครั้งแรกของแบรนด์นาร์สกับ Bronzing ในรูปแบบครีม เนื้อสัมผัสนุ่มละมุน ที่เปลี่ยนเป็นเนื้อแป้งละมุนดุจกำมะหยี่เมื่อสัมผัสผิว (Cream-to-Powder) มอบผลลัพธ์แบบซอฟ์ทแมตต์ ราวกับผิวบ่มแดด ดูสุขภาพดีเนื้อสัมผัสเกลี่ยงานเบลนด์เข้ากับผิวได้อย่างเรียบเนียน และยังช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นให้กับผิวพร้อมเบลอและอำพรางข้อบกพร่องของผิวและรูขุมขนได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกลิ่นหอมของ Monoï de Tahiti Oil (น้ำมัน โมนอย เดอ ตาฮิติ) จาก French Polynesian อันเป็นกลิ่นที่สัญลักษณ์ของ NARS ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ Sunkissed Bronzing Cream ถูกรังสรรค์ด้วย 2 เฉดสีประจำแบรนด์นั่นก็คือ Laguna และ Casino ที่สามารถเข้าได้กับทุกสไตล์ไม่ว่าจะแต่งหน้าแบบไหน Sunkissed Bronzing Cream ก็พร้อมที่จะทำให้ซัมเมอร์นี้คุณดูสวยเย้ายวนเกินกว่าใครจะทานไหว
● Cream Bronzer Brush ราคา 2,100 บาท
อีกขั้นของแปรงที่ถูกรังสรรค์จากประสบการณ์อันยาวนานรวมเข้ากับศิลปะขั้นสุด ของคุณฟรองซัว นาร์ส จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างสรรค์การแต่งหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นการ ปัด เบลนด์ และสร้างลุค (Brush. Blend. Build.) ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ใช้งานง่ายสามารถใช้คู่กับ Sunkissed Bronzing Cream ได้อย่างลงตัว ด้วยเส้นใยสังเคราะห์ที่แน่นแต่ให้สัมผัสที่นุ่มนวล ช่วยให้ลงผลิตภัณฑ์ประเภทครีมได้อย่างเรียบเนียน ไร้ร่องรอย พร้อมกับการออกแบบมาเพื่อมอบองศาในการแต่งหน้าได้อย่างดูเป็นธรรมชาติ พร้อมด้ามจับสี Metallic Bronze สุดหรูหรา ที่จะกลายเป็น Must Have Item ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับการแต่งหน้าให้กับซัมเมอร์นี้คุณโดดเด่นกว่าที่เคย
The Bronzing Collection: มีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่เคาน์เตอร์ NARS ทุกสาขา, NARS Boutique Store (Siam Center & Emquartier) และทางออนไลน์ www.nars.co.th
#NARSThailand #TheBronzingCollection #Narsunderthesun #Narsissist @Narsissist
เว็บไซต์นี้มีการเก็บ Cookies เพื่อปรับปรุงการให้บริการ จิ้มดู นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม