How to Diet ลดน้ำหนัก 20 kg. แบบดับเครื่องชนใน 2 เดือน

67 13

สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับเราอีกครั้ง แต่วันนี้ไม่ได้มาในโหมดรีวิวหรือฮาวทูหมวดคสอ.แต่อย่างใด เพราะเราจะมาแชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนักในอดีตอันร้อนแรง เรียกได้ว่า “ดับเครื่องชน” กันเลยทีเดียวค่ะ

คำเตือน : การแชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนักของเราในครั้งนี้เป็นเพียงแนวทางในการลดน้ำหนักวิธีหนึ่งที่ได้ผลกับตัวเราเอง อาจจะถูกหรือผิด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

1. ไม่ได้กินยาลดน้ำหนัก

2. คุมอาหาร ไม่หวาน ไม่เค็ม กินครบ 5 หมู่ และครบ 3 มื้อ เน็นกินโปรตีนและไขมันดี

3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

มาเริ่มเล่ากันเลยนะคะ ต้องขอย้อนไปสมัยวัยละอ่อน เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆผอมบาง ไม่มีท่าทีว่าจะอ้วนได้เลยค่ะ

พอโตขึ้นมาเรื่อยๆจนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็ยิ่งคิดว่าโตไปยังไงก็ไม่อ้วนหรอก เพราะน้ำหนักตอนนั้น ประมาณ 45-47 กิโลกรัม เอว 24 นิ้ว

แต่แล้ว .. ชีวิตก็มาถึงจุดเปลี่ยนค่ะ!

เราเจอกับบททดสอบของชีวิต นั้นคือ .. “อาหาร”

พอเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เราก็ค่อยๆ กิน กิน กิน และกิน ดื่มน้ำอัดวันละ 2 ลิตร ทุกวัน เรียกได้ว่าดื่มแทนน้ำเปล่า ดื่มเหมือนเผื่อคนทั้งมหาวิทยาลัย กินอะไรก็เต็มไปด้วยของที่มีคุณค่าทางอาหารน้อย แต่แคลอรี่สูง ประกอบกับการไม่เคยแม้แต่จะคิดออกกำลังกาย ทำให้น้ำหนักของเราค่อยๆเพิ่มขึ้น ในระยะเวลา 5 ปี จนถึงวันที่เรียนจบ เรามีน้ำหนักอยู่ที่ 80.3 กิโลกรัม

อ่านมาถึงตรงนี้คงจะแบบ อืม แบบนี้คงกู่ไม่กลับแล้ว แต่เอาจริงๆนะคะ ทุกคนมีจุดยืนที่ตัวเองรับได้และรับไม่ได้ ถ้าเราอยู่ในจุดที่รับไม่ได้แล้ว ปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้นค่ะ แต่เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดมาจากเหงื่อและน้ำตา

ที่จะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องจริง ..

เราตอนที่น้ำหนัก 80.3 กิโลกรัม ไม่ได้มีความสุขเท่าไรค่ะ สุขเฉพาะตอนได้กิน เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ทุกวันมีแค่ชุดนิสิตที่เป็นของเราค่ะ เพราะซื้อใหม่ทุกเทอม แต่ชุดลำลองจะขอมาจากแม่ พ่อ และน้องชาย หลักๆจะเป็นของน้องชายค่ะ เสื้อน้องตัวใหญ่ ใส่สบาย ที่ไม่ได้ซื้อใหม่เพราะกลัวจะยิ่งอ้วน นี่คือวิธีแก้ปัญหาเวลาไม่มีเสื้อที่ใส่ได้ค่ะ แต่แค่มีเสื้อใส่มันไม่จบน่ะสิ เวลาไปไหนก็ไม่อยากเจอคนรู้จัก ไม่กล้าทักใคร ไม่อยากให้ใครเห็น อยากไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา อารมณ์เหมือนคนมีความผิดติดตัวเลย

แล้วก็เรามีเพื่อนสนิทค่ะ เคยเป็นสาวเอว S มาด้วยกัน ตั้งแต่เรียนมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อนตอนนี้อาจจะมีอวบขึ้นบ้างแต่ไม่มากค่ะ ส่วนเราอ้วนแบบช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ เวลาไปซื้อเสื้อผ้ากับเพื่อน ตัวนั้นสวยตัวนี้สวย เราได้แค่มองค่ะ เพราะมันตัวเล็กเราใส่ไม่ได้ เวลาเราเศร้าเพื่อนก็จะปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรนะ ถึงยูวจะอ้วน แต่ยูวก็ยังน่ารัก” เราก็ดีใจขึ้นมาเลยค่ะ เพื่อนชมว่าน่ารัก แต่ความจริงคือเรากำลังหลอกตัวเอง

แล้วก็มาถึงจุดแตกหักระหว่างเรากับความอ้วนค่ะ!

เราเคยคิดนะคะว่า “อ้วนแล้วไง มีเงินกิน ไม่ได้เดือดร้อนใคร” แต่ตอนนี้ความอ้วนของเราคนเดียวกำลังทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะทุกคนที่บ้านเป็นห่วง แปลว่าเราทำผิดค่ะ

ตอนนั้นอีกประมาณ 1 เดือน เราจะรับปริญญาแล้วค่ะ เราเลยสำนึกตัวได้ว่า “ต้องลดน้ำหนัก”

จริงๆตั้งแต่เรียนจบก็ศึกษาเรื่องการกินที่ดีและไม่ดี การออกกำลังกายแบบต่างๆค่อนข้างเยอะ แต่เหมือนชีวิตยังพีคไม่พอก็เลยไม่ได้เริ่มทำ พอเจอหลายๆเหตุการณ์ ความคิดเราเริ่มเปลี่ยนไปค่ะ เรียกได้ว่าพีคสุด

1 เดือนแรกของการลดน้ำหนัก เราเน้นการคุมอาหาร กินโปรตีนเป็นหลัก กินไขมันที่ดี และปรุงอาหารน้อยๆ ใส่แค่เกลือกับพริกไทยดำ เราออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานอากาศอยู่บ้านค่ะ ประมาณวันละ 1 ชม. ทำทุกวันไม่มีวันพัก ทำได้ครบเพราะแรงฮึด ที่เราออกกำลังกายอยู่บ้านเหตุผลแรกออกกำลังกายแบบอื่นไม่ไหว เจ็บขาเจ็บเท้า เหตุผลที่สอง อายคนค่ะ เราเคยพยายามไปเดินสวนสาธารณะ แต่เหมือนมีหลายคนบูลลี่เราทางสายตาค่ะ เราเลยไม่คิดจะไปอีกเลย

ในวันรับปริญญาเราน้ำหนัก 70 กิโลกรัมค่ะ ความพยายามตลอด 1 เดือนถือว่าเป็นผล แต่ก็ยังอ้วนอยู่ดีค่ะ 

หลังจากรับปริญญาเสร็จ เราก็ลดน้ำหนักต่อค่ะ

แต่มีปรับเปลี่ยนการออกกำลังกายใหม่ มาเป็นเล่นบอดี้เวทและคาร์ดิโอ ประมาณวันละ 40-50 นาที มีวันพัก 2 วัน/สัปดาห์ค่ะ ออกตามคลิปในยูวทูปหลายๆช่อง แต่หลักๆจะออกตามช่องของพี่เบเบ้ค่ะ

ตอนเดือนแรกออกกำลังกายไหวนะคะ แต่เดือนที่สอง เราว่าบอดี้เวทมันโหดร้ายมากค่ะ สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อและไม่เคยออกบอดี้เวทแบบเรา วันที่ 1-4 ปวดตัวมากแบบเหมือนแขนขาไม่รู้สึก แต่ปวด ฮ่าๆ วันที่ 5 จำได้แม่น เราร้องไห้ค่ะ กำลังออกๆอยู่แล้วแบบมันไม่ไหว ซิตอัพอยู่ดีๆร้องไห้เฉยเลย อารมณ์พูดกับตัวเองว่า “ทำไมถึงปล่อยตัวเองกลายเป็นแบบนี้ แล้วต้องมาคุมอาหาร ออกกำลังกายที่หนักมากขนาดนี้” ที่ตลกคือถึงเราจะร้องไห้แต่เราก็ออกกำลังกายไปเรื่อยๆจนครบทุกท่าค่ะ ร้องไห้ไปออกกำลังกายไป (ที่ร้องไห้ไม่ใช่ว่าออกกำลังกายมันหนักหรอกค่ะ จริงๆแล้วเหมือนมันเป็นความอัดอั้นในใจเรามากกว่า) ตั้งแต่วันนั้นเราเหมือนทิ้งตัวเองคนเก่า แล้วเปลี่ยนไปเลยค่ะ กลายเป็นคนบ้าออกกำลังกาย ชอบการออกกำลังกายมาก!

ชอบกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ไม่เคยต้องมีชีทเดย์เลยค่ะ

เราออกกำลังกาย+คุมอาหาร มาเรื่อยๆ จนน้ำหนักอยู่ที่ 60.4 กิโลกรัมค่ะ ปัจจุบันยังไม่ถึงเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้แต่อย่างน้อยก็ผ่านมาได้ 2/3 ของระยะทางแล้วค่ะ

สุดท้ายอยากบอกถึงทุกคนที่กำลังพยายาม ไม่ว่าจะเรื่องอะไร “ความพยายามไม่มีวันทรยศเรา และแรงบันดาลใจที่สร้างจากตัวเราเอง จะเป็นแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันหมด” สู้ๆนะคะ

กราบขอบพระคุณที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ?‍

*** อัพเพิ่มเติม เริ่มลดน้ำหนักเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 นี่คือมวลต่างๆในร่างกายของเดือนกันยายน ปี 2020 หลังจากที่ผ่านช่วงลดน้ำหนักมาหลายเดือนแล้ว ชั่งด้วยเครื่องที่สามารถวัดมวลได้ อาจจะไม่ตรงเป๊ะแต่ดูเป็นแนวทางค่ะ


Pandarika

Pandarika

Since 1996
For work : FB & IG

FULL PROFILE