สิ่งที่คิดได้เมื่อฉันซื้อเมคอัพจนไม่เหลือเงินไปทำอย่างอื่น บอกวิธีเลิกshoppingเมคอัพสำหรับคนที่หยุดไม่ได้แต่อยากตัดใจ

51 9
กระทู้นี้อาจจะยาวเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คย่อมๆ และไม่มีภาพให้ดูเลย เพราะเราคิดได้ก็เขียนเลย เหมือนมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ไม่ค่อยถนัดงานภาพเท่าไหร่  อาจจะตาลายไปบ้างนะคะ 55

เพื่อนๆเคยคิดไหมว่าถ้าเราไม่ซื้อเมคอัพเลยซักปีนึง
ผู้หญิงอย่างเราๆจะเหลือเงินส่วนต่างตรงนี้กันมากแค่ไหน

คำถามง่ายๆที่เรานั่งถามตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจว่า โอเค ฉันจะไม่ซื้ออะไรที่ไม่จำเป็นต้องซื้ออีกต่อไปแล้ว

เล่าก่อนเราเป็นคนนึงที่บ้าซื้อเมคอัพมากๆ โดยเฉพาะเมคอัพเคาท์เตอร์แบรนด์
ทั้งๆที่เงินก็ไม่ได้มีมากพอจะทำอะไรแบบนั้นได้ เรียกได้ว่ารายได้น้อย รสนิยมสูง
เป็นส่วนผสมของหายนะทางการเงินจริงๆ

เคยดูหนังเรื่อง confessions of shopaholic ไหมคะ เราเป็นแบบนั้นเลย แค่ว่าเราไม่ได้มีบัตรเครดิต ไม่งั้นคงเป็นหนี้ไปแล้ว

ช่วงมหาลัยปีสุดท้าย เรามีเงินรายได้อยู่ที่ 6500 บาท ต่อเดือน
แต่เราใช้เงินแบบน่ากลัวจริงๆ
เราซื้อรองพื้น chanel perfection lumiere ราคา 2300 บาท
ลิปสติก Tom Ford lips and boys 1300 บาท

เรามองย้อนกลับไป มันช่างเป็นการตัดสินใจที่บ้ามาก

แถมของที่ซื้อก็ไม่ได้เข้ากับเราซักกะนิ้ด
รองพื้นเฉดก็ไม่ได้พอดีผิวเรา (รองพื้น chanel ในตอนนั้น มีตัวเลือกที่ค่อนข้างน้อยและไม่ติดโทนเหลือง) แต่เราก็ซื้อ เพราะความเป็น Chanel เรามีความอยากค่ะ อยากได้อะไรต้องดีสุด ครึ่งๆกลางๆไม่เอา อย่าง MAC นี่ไม่แลเลยนะ เพราะมองว่าพื้นๆทั้งๆที่รองพื้นของ MAC มีเฉดที่สีเข้ากับผิวเรามากกว่า

Lips & Boys ของ Tom Ford ก็ไม่เข้ากับเราเอาซะเลย ด้วยความที่ปากเราลอกและเนื้อลิปรุ่นนี้เป็น metallic ก็จะไปเน้นรอยร่อนๆลอกๆไปกันใหญ่ เสียเงินแพงๆแล้วยังไม่สวยขึ้นอีกกก

คำถามคือซื้อทำไมเนี่ย????
เราตอบตัวเองแบบที่ไม่ละอายใจไม่ได้เลย
เอาเป็นว่าถ้าไม่พลาดถล่ำลึกไปขนาดนั้น ก็คงคิดไม่ได้ ทุกวันนี้ยังเก็บเมคอัพทั้งสองชิ้นนี้ไว้เตือนใจ ทั้งๆที่มันหมดอายุไปนานแล้ว ว่าครั้งนึงชั้นเคยทำอะไรแบบนั้นลงไปจริงๆ

เราเลยอยากตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาส่วนนึงเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้กลับไปใช้เงินแบบนั้นอีก และอีกส่วนนึงสำหรับเพื่อนๆหรือน้องๆที่อาจจะเจอปัญหาโควิดทำให้ใช้เงินไม่ได้อย่างก่อนเก่า หลายคนอาจจะคิดได้แล้ว หลายคนอาจจะยังอยู่ในช่วงที่กำลังสับสน
อ่านประสบการณ์ของเราแล้ว หวังว่าจะช่วยให้ทุกคนตัดสินใจง่ายขึ้น

1.เตือนตัวเองว่าเมคอัพเป็นทรัพย์สินที่ไร้ค่า
มันไม่สำคัญว่าจะ Limited หรือแพงแค่ไหน เมคอัพทุกชิ้นเมื่อถูกเปิดใช้งาน ไม่ว่าจะซื้อมาเท่าไหร่ หมดราคาทันที ลิปสติก Chanel แท่งละ 1,450 บาทถูกทาบนปากแค่ครั้งเดียว มูลค่ากลายเป็น 0 บาท ไม่มีใครรับซื้อเมคอัพมือสองค่ะ อาจจะคนกลุ่มเล็กๆอยู่บ้างที่โอเคที่จะซื้อเมคอัพมือ 2 แต่ก็ไม่มีใครยินดีจะจ่าย 1000 ให้กับลิปสติก Chanel ที่ถูกใช้งานแล้วแล้ว เท่ากับเงินของเพื่อนๆหายไปในระยะเวลาอันสั้นมากๆ

2.อย่าซื้อเมคอัพที่ไม่ได้ลอง
มันเกี่ยวพันกันกับข้อบน เราคิดว่ามีคนไม่น้อยที่ซื้อเครื่องสำอางจากร้านหิ้วเพราะว่ามันถูกกว่าเคาท์เตอร์เยอะ แต่ข้อเสียคือจะไม่ได้ลองสินค้านั้นๆก่อน รองพื้นก็อาจจะผิดเบอร์ หรือลิปสติกทาแล้วไม่ได้ออกมาเป็นอย่างที่ตั้งใจ แล้วยังไงต่อ ของพวกนี้มันก็จะถูกตั้งทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งาน หรือถูกนำไปขายต่อในราคาขาดทุน เพราะฉะนั้นซื้ออะไรต้องมั่นใจจริงๆ อย่าเสี่ยง ส่วนต่างเล็กน้อยแลกกับการที่ซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้เลยมันไม่คุ้มกันค่ะ 

3.เมคอัพไม่ใช่การลงทุน สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้หน้าตาหากิน
เราได้ยินคนพูดคำนี้บ่อยมาก จนมันเริ่มกลายเป็นคำพูดที่ไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิดของคนทั่วไปไปแล้ว เมื่อรู้ตัวว่าซื้อของแพงเกินตัว แต่ก็อยากซื้ออยู่ดี เราก็เคยใช้คำนี้แก้ต่างแก้ตัวเมื่อถูกมองว่าใช้เงินเกินตัวค่ะ แต่ลึกๆเราก็รู้ว่ามันไม่จริง

การลงทุนคือการที่คุณซื้อของอย่างนึงมาแล้วสิ่งนั้นมันทำเงินให้กับคุณในภายหลัง ทำให้คุณได้เงินส่วนต่าง นี่คือการลงทุน 

สำหรับคนที่จะสมัครแอร์โฮสเตส เขาต้องการรองพื้นสวยๆที่อาจจะมีราคาแพงเพื่อให้ได้งานที่ต้องใช้หน้าตา ดังนั้นรองพื้นจึงเป็นการลงทุนสำหรับเขา แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้หน้าตาหากิน คุณไม่มีความจำเป็นต้องซื้อ คุณไม่จำเป็นต้องสวยก็ได้ คนทั่วไปไม่ได้แคร์หรอกค่ะว่าวันนี้ผิวคุณจะสวยขึ้นหรือจะดูแลแย่ลง  แต่ถ้าคุณมีเงินที่จะเทคแคร์ตัวเองแบบไม่เดือดร้อน ทารองพื้นแล้วรู้สึกสวยและมีความมั่นใจทำให้ทั้งวันนั้นเป็นวันดีๆ นั่นคือคุณใช้เงินได้อย่างถูกต้องแล้ว

4.ออกจากสายตา ก็เหมือนออกจากใจ 
หยุดดูคลิปรีวิวเครื่องสำอางซักพัก เพื่อนๆก็จะลืมมันไปเอง
วิธีนี้เราค้นพบว่าช่วยได้มาก ช่วงปีที่แล้วเป็นช่วงที่เราตระหนักอย่างจริงจังว่าเรามีปัญหากับนิสัยการใช้เงินของตัวเอง รายได้ทั้งหมดที่มีเราทุ่มเทไปกับเมคอัพ เป็นเพราะส่วนนึงเราว่างเป็นดู youtube ช่องรีวิวเครื่องสำอาง หลายคนอาจจะมีความคิดว่าก็ดูเฉยๆซื้อไม่ซื้ออยู่ที่ตัวเรา แต่เชื่อเหอะว่า การที่เราดูคลิปรีวิวซ้ำๆหลายๆรอบจากหลายๆช่อง มันช่วยสะกดจิตได้ประมาณนึงเลยแหละ  พอเราเลิกดูรีวิวเครื่องสำอางเราก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย ใช้ของแค่เท่าที่มี การที่เราไม่รับรู้ว่ามีอะไรใหม่ๆในโลกบิวตี้ ทำให้เราไม่อยากได้อะไรเลย

5.เอาเมคอัพทุกชิ้นที่มีออกมากองรวมกัน
แล้วเราจะตระหนักว่าเรามีมากขนาดไหน บลัชอันเดียวใช้ได้เป็นปีๆ เชื่อว่าหลายคนมีบลัชมากกว่า 1 อัน ถ้าจะใช้ให้หมดจริงๆ อาจจะต้องใช้ระยะเวลาเป็น10ปีถึงจะใช้หมด การเอาของมากองรวมกัน ทำให้เราเริ่มเห็นตัวเลขจางๆว่าเราใช้เงินกับเมคอัพไปเยอะขนาดไหน และเริ่มคิดได้ว่าเงินก้อนนี้ที่หายไปเราจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง

6.ไม่ต้องสะสมเมคอัพ เพราะมันมีวันหมดอายุ
ของใหม่ย่อมดีกว่าเสมอสำหรับเมคอัพ ในแง่ของเชื้อโรคและเทคโนโลยี บางคนอาจจะเคยเจอเมคอัพเก่าๆที่เก็บไว้จนขึ้นราอันนี้คือเข้าข่ายเชื้อโรคหนักมากจนราขึ้นให้เห็นกับตา แต่โดยปกติแล้วเชื้อโรคที่อยู่ในเมคอัพเก่าๆมันจะมองไม่เห็น ทำให้เราใช้ๆไปแบบไม่คิดอะไร จะให้ดีควรทำตามคำแนะนำข้องกล่องที่ให้โยนทิ้งเมื่อเมคอัพหมดอายุ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ทำกันหรอก เพราะเมคอัพแต่ละชิ้นมันแพง และก็ไม่เคยใช้หมดก่อนวันหมดอายุซักที อีกอย่างที่อย่างพูดถึงเมคอัพมีการเปลี่ยนแปลง ปรับสูตรและออกรุ่นใหม่ๆแทบจะตลอดเวลา เทคโนโลยีที่เคยใช้ผลิตรองพื้นเมื่อปีที่แล้วก็อาจจะล้าหลังไปแล้วสำหรับรองพื้นในปีนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเสียดาย Limited ที่คว้าไว้ไม่ทัน มันผ่านไป เดี๋ยวมันก็ผ่านมาใหม่

7.รู้ทันความอยากได้ของตัวเอง รอก่อนค่อยซื้อ 
คนเคยบ้าเมคอัพยังไงมันต้องมีความอยากได้โผล่มาทดลองใจกันแวบๆ เพราะฉะนั้นขอให้รอก่อนค่อยซื้อ รอซัก 30 วัน เป็นอย่างต่ำ ถ้ายังอยากได้อยู่ โอเคซื้อ แต่ถ้าลืมมันไปแล้ว แสดงว่าเราไม่อยากได้จริงๆ การรอทำให้ประหยัดตังไปได้เยอะมาก เพราะมีหลายครั้งที่เป็นความอยากได้ชั่วครั้งชั่วคราว

เป็น 7 ข้อง่ายๆที่เราเตือนใจตัวเองไว้ เชื่อว่าหลายๆคนก็คิดได้แหละค่ะ
แต่คิดกับทำมันต่างกันเสมอ เราพลาดมาเยอะ จึงไม่อยากกลับไปพลาดอีก
เขียนไว้อ่านเล่นๆคอยเตือนตัวเอง แต่ถ้าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนไหนได้ประโยชน์จากมันบ้างเราก็รู้สึกดี 


victorym

victorym

To live with thrive of being alive.

FULL PROFILE