พายุ !! พระอาทิตย์ !! DUBAI ต้องพิชิต!! (part 2)

มาแล้วววว กับภาคต่อของ "พายุ พระอาทิตย์ DUBAI ต้องพิชิต" ของเรา

ภาคนี้เรามาเริ่มกันที่วันที่ 3 ของการเดินทาง วันนี้เป็นการร่ำลาโรงแรมสุดฮิโซในเมืองที่เราอาศัยมา 2 คืน ไปสู่เกาะ the Palm Jemeirah กัน แต่เอาล่ะ ก่อน move...

shopping กันทิ้งท้ายหน่อยมั้ย??

เราว่าอีกสิ่งที่ควรทำ เมื่อมาดูไบ คือมาช็อปของ brand ค่ะ เพราะที่นี่ tax free!!! และอีกอย่างคือมีของหลากหลายมาก เพราะเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ เพราะฉะนั้น แบรนด์ดังๆ ในห้างมีหมดนะ เราก็ ok ด้วย

ซึ่งคราวนี้ เราได้ไปเยือน 2 ห้างสุดอลังงงงงง นั่นคือ Mall of Emirates ซึ่งดีงามมากกก เพราะเราสามารถเดินทะลุจากโรงแรม Sheraton ที่พัก มาที่ห้างได้เลย แต่ถ้าคิดว่าห้างนี้ใหญ่แล้ว

ผิดค่ะ! 

ความใหญ่อลังของจริงคือ Dubai Mall ค่ะ ใหญ่แค่ไหน ก็แค่ "ใหญ่ที่สุดในโลก" (อีกแล้ว) ห้างนี้ ความจริงเชื่อมกับตึก Burj Khalifah ที่เรามาวันก่อนด้วยนะ แล้วคือมีแบรนด์ทั้ง luxury, high end, hi street มีหมด ที่สำคัญคืมี Aquariam อยู่ในห้างด้วย! แต่เราก็ไม่ได้ไปเดินอ่ะนะ เห็น shopping  ดีกว่า กิกิ

ปล. จากการสังเกต ที่นี่เครื่องสำอาง drugstore แพงมากกกกกกกกค่ะ นี่กะว่าจะช็อปติดไม้ติดมือมาหน่อย แต่อย่าง Maybelline, L'Oreal นี่แพงมากกก ราคาเกือบพันบาทแนะ 

และแล้วก็ถึงเวลา เคลื่อนพลเข้าสู่เกาะ The Palm Jumeirah ซึ่งเป็น "เกาะที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ณ ตอนนี้ ซึ่งเกาะรูปต้นปาล์มนี้ ประกอบไปด้วยบ้านหรูหราสำหรับนักธุรกิจชาวต่างชาติ คอนโด และโรงแรมมากมาย  

โดยการข้ามมาเกาะนี้ จะนั่งรถลอดอุโมงค์ใต้ทะเลเข้ามาก็ได้ค่ะ หรือจะนั่ง monorail เข้ามาเพื่อชมวิวเกาะก็ได้ ซึ่งขามาเรานั่ง monorail แล้วพรุ่งนี้เราค่อยนั่งรถออกไป

เอาจริงๆ พอได้เข้ามาเห็นกับตาตัวเองแล้ว มันเหลือเชื่อจมากกกก ว่านี่มนุษย์สร้าง โอ๊ยยยย อะไรมันจะที่สุดไปซะทุกอย่าง :)

ที่เรานั่ง monorail เข้ามาในเกาะเนี่ย พูดเลยว่าพี่ไม่ได้มาเฉยๆ นะคะ พี่จะไปพักที่ The Atlantis โรงแรมอลังการที่อยู่สุดวงพระจันทร์บนเกาะ The Palm

พวกเราตื่นเต้นกันมากกกก นั่งอยู่ในรถไฟโดยมีจุดรวมสายตาไปที่จุดเดียว คือโรงแรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ปลายเกาะ มันยิ่งใหญ่เหมือนมหาราชวังอะไรสักอย่าง นี่สินะ โรงแรมในฝันของใครหลายๆ คน

ตื่นเต้นสุดพลัง!!!

มาถึงก็เริ่มเย็นแล้วค่ะ เราเลยไม่ได้มีเวลาไปเดินดูรอบๆ เลยได้แต่เก็บภาพความอลังของโรงแรมจากระเบียงห้องพักแทน แค่นี้ก็ฟินจะแย่ล้าวเธ้อออออออออ

พูดถึง The Atlantis ก็ต้องบอกก่อนว่า เค้ามี concept มาจาก The Atlantis ที่เป็นเมืองใต้บาดาลในนิยาย โดยการตกแต่งดูข้างนอกเป็นแขกๆ ใช่ไหม แต่ข้างในนี่กุ้ง หอย ปู ปลา เพียบบบ แถมยังมี Aquariam สุดอลังชื่อ The Lost Chamber และสวนน้ำสุดเจ๋ง Aqua Venture ที่เรากำลังจะไปลุยกันเย็นนี้! (แขกที่เข้าพักในโรงแรม สามารถเข้าชม Aquariam และเล่นสวนน้ำได้ฟรีค่า)

เอาล่ะ ได้เวลาเปียก!! สวนน้ำ Aqua Venture สุดอลังการนี้ประกอบด้วยสไลเดอร์เสี่ยงตายมากมายค่ะ 5555 คือมันทั้งสูงและคดเคี้ยว ใครขี้มึนหัวอย่างเรา ตายๆๆๆ แต่ถ้าใครไม่อยากเล่นสไลเดอร์ ก็เอาห่วงยางล่องน้ำไปเรื่อยๆ จ้า เซฟสุด

งานนี้เราทำเวลากันมากกกกค่ะ เพราะสวนน้ำปิดตอน 5 โมง ฮืออออ (ไปถึงก็ 4 โมงกว่าและ T_T)

แน่นอนค่ะว่า พอไปถึง เราเล่นกันได้ไม่กี่อย่าง อายเองได้เล่นเจ้า Shark Attack 2 รอบ ที่เลือกอันนี้เพราะมันไม่สูงและทิ้งตัวเท่า Leap of Faith แต่เอาเข้าจริง หมุนวนมึนหัวจะอ้วกเหมือนกัน แต่ก็เลือกที่จะเล่น 2 รอบ เพื่อเก็บภาพที่ดีที่สุดตอนขาลง เพราะเราแอบหนีบ S7 Edge ที่กันน้ำลงมาด้วย

จริงๆ ไม่แนะนำให้ถือลงมานะคะ มีสิทธิ์หลุดมือ เราใช้เสียบในชุดว่ายน้ำ เพราะถึงตรงน้ำนิ่งค่อยเอาออกมา selfie กับน้องหลามมมม :)

เราจบคืนนี้กันด้วย dinner สุดพิเศษที่โรงแรม The Jumeirah Beach หรือโรงแรมรูปคลื่นที่อยู่เคียงข้างโรงแรมรูปเรือใบ (Burj Al Arab) นั่นเอง

ที่เด็ดคือ นี่คือร้าน Jamie's Italian ของเชฟชื่อดัง "Jamie Oliver" นั่นเองค่ะ กรี้ดดดดด แค่ appetizer ยังดีงาม คือทั้งสวยและอร่อยจริงๆ ทุกรสสัมผัสกลมกลืนสอดคล้องกันไปหมด

ฟินนนนนน

เอาล่ะ และแล้วเราก็มาถึงวันสุดท้ายของทริป วันนี้อากาศเป็นใจค่ะ แดดดีมากกกก ซึ่งเหมาะแก่การไปล่องเรืออย่างยิ่ง วู้ฮูวววววว

เราเริ่มจากการนั่งรถออกจากเกาะ The Palm ที่นี้ได้เห็นชัดๆ กันไปเลยว่า บ้านเรือนบนเกาะนี้ไฮโซอลังการมากกก รถ sport มีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ

ส่วนใครที่สงสัยว่า เกาะมนุษย์สร้างแบบนี้ รอบๆ เกาะเป็นทรายเหมือนเกาะทั่วไปไหม บอกเลยว่า เกาะนี้เป็นสิ่งก่อสร้างฝืนธรรมชาติ ทรายใหม่ๆ ที่ถมลงไปในทะเลไหนเลยจะสู้แรงคลื่นมหาสมุทรไหว รอบๆ เกาะที่เป็นวงพระจันทร์จึงเป็นเสมือนประการป้องกันเกาะรูปต้นปาล์มข้างในอีกทีค่ะ รอบๆ เกาะจึงต้องถมหินขนาดใหญ่อยู่เรื่อยๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับผืนดินตรงนั้น

เป็นงานที่ต้องใช้กำลังคงบำรุงรักษามากๆๆๆๆ เลยทีเดียว  :)

ละแล้วเราก็มาถึงจุดลงเรือค่าาาาา วันนี้ 20 กว่าชีวิตของเรา จะไปล่องเรือในอ่าวเปอร์เซียชมเมืองดูไบกัน โดยเรือที่จะบรรทุกพวกเราไปนั้น เป็นเรือ catamaran หรือเรือยอทช์แบบ 2 กาบที่ด้านหน้าเป็นตาข่ายให้เราได้โดดเล่น... ผิด!

ตาข่ายด้านหน้าเอาไว้นอนเล่นกินลมสวยๆ ต่างหากย่ะ

พร้อมแล้ว ไป!

เอาจริงๆ นะ จากใจจริง ก่อนมาทริปนี้คือกลัวอยู่นิดนึงตรงที่เราไม่รู้จักใครเลย แต่พออยู่กันไป 4 วัน กลับได้เพื่อนใหม่เฉย :) มันเหมือนคนไม่รู้จักกัน มาผจญภัยอยู่ในที่ที่เราไม่รู้จัก ไม่คุ้น แต่พอเราพบว่าเรามีอะไรคล้ายๆ กัน (เช่นเป็นคนตลก ไร้สาระ 555) ก็จะดึงเรามาอยู่รวมกันเอง

แถมเคยคิดว่า ดูไบ จะมีอะไรให้เที่ยวฟะ 555 เอาจริงๆ เราว่ามันเป็น the best of both worlds คือทั้งวัฒนธรรมเก่า และความ modern แบบล้ำสุดๆๆๆๆๆ ซึ่งมันเจ๋งมากเลยนะ โดยเฉพาะอะไรที่มันเป็น man-made นี่ควรมาดูมากๆๆ จะเห็นเลยว่าขีดจำกัดของมนุษย์มันไม่มีอีกต่อไป :)

งานนี้ต้องขอบคุณ Samsung Thailand นะคะที่จัดทริปน่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้ เป็นทริปที่แบบสนุกและดูแลกันแบบเต็มที่มากกกๆๆๆ จริงๆ ขอบคุณที่ให้ได้ลองสัมผัส Galaxy S7 edge ด้วยค่ะ อันนี้ก็ทำให้รู้เลยว่าการไปเที่ยวแล้วได้รูปสวยแบบไม่ต้องพกอุปกรณ์เยอะแยะ มันเป็นไปได้แล้วนะ :)

ตอนนี้กลับมาได้เดือนกว่า อยากกลับไปอีกแล้วล่ะ อยากกลับไปเดินตลาดพื้นเมือง ไปชิลๆ เรื่อยๆ เปื่อยๆ ก็หวังว่าวันนึงจะมีโอกาสได้กลับไปอีกนะ "ดูไบ" เมืองแห่งทะเลทราย ตึกสูง กลิ่นน้ำหอม ลูกเดต และ ท่านชีค <3<3<3

ปล. นิดนึงสำหรับใครที่อยากจะไป ลองศึกษาฤดูท่องเที่ยวของเค้าด้วยน้าาา เพราะหน้าร้อน เค้าจะร้อนจัดมาก แบบ 45 องศา หรือบางหน้าก็อาจมีพายุทะเลทราย ซึ่งอันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่นอน เพราะขนาดตึกรามบ้านช่องเค้ายังต้องทาเป็นสีทรายเพื่อลดการบำรุงรักษาเวลาที่เมืองโดนพายุทะเลทรายถล่มนี่ล่ะค่า แต่ใครมีโอกาส ชวนเพื่อนๆ มากันน้า มีอะไรน่าเที่ยวเยอะเลย ^^

til text time!

Discussion (11)

สวนน้ำน่าเล่นมากเลยค่ะ