จากวันที่ไม่มีพ่อ ถึงวันพ่อ.....แชร์ค่ะ
ไอ่ต๊องของเจ้1210๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลา ๑๙.๑๖ นาที
ฉันตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อแชร์เรื่องราวชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนึงที่จะเป็นเด็กเสมอในสายตาของผู้ชายที่รักเธอมากที่สุดคนนึงเท่าที่เขาจะรักเธอได้
หากคุณได้อ่านเรื่องราวนี้แล้วหันไปหาคนที่คุณรักในปีนี้ ก็ขอให้เรื่องราวนี้จะช่วยทำให้คุณรักเขามากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่และคงความรู้สึกนั้นให้นานที่สุด...
เมื่อประมาณสองปีที่แล้วฉันใกล้จะเรียนจบและหางานได้ในขณะที่ตัวเองยังคงเรียนอยู่ในเทอมสุดท้าย สร้างความดีใจให้แก่พ่อกับแม่มาก แม้ว่าฉันจะได้งานไกลจากบ้านมากๆ แต่พ่อกับแม่ไม่ได้หวังว่าฉันจะได้งานใกล้บ้านซักเท่าไหร่
ในขณะที่ฉันได้เริ่มงานได้หกเดือนแม่ก็โทรมาบอกข่าวร้ายว่า"พ่อเป็นมะเร็ง"
ตอนนั้นฉันรู้ว่า"พ่อ"ที่ฉันรู้จัก ไม่มีทางยอมแพ้อะไรง่ายๆ แม้แต่สังขารของตัวเอง พ่อมักจะดูแข็งแรงและเข้มแข็งเสมอ แต่แล้วคนที่เครียดที่สุดก็คือ"แม่"
แม่โทรเรียกฉันในวันเสาร์ที่โรงงานหยุดเพื่อไปหาหมอ เพราะสิ่งที่หมอบอกนั้น ต้องการให้บอกต่อหน้าลูกสาวด้วย
วันเสาร์ที่ฉันไป ฉันยังรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก เพราะฉันมีความรู้สึกว่า "พ่อ"ยังแข็งแรงดีอยู่และจะไม่เป็นอะไร แต่ทางการแพทย์ไม่ได้บอกเช่นนั้น
หมอบอกว่า"พ่อ" มีปอดเหลือข้างเดียว ตับแข็งและมีก้อนมะเร็งโต 6 ซ.ม. ไตมีโอกาสวาย เพราะพ่อเป็นความดันสูง และหมอไม่สามารถผ่าก้อนเนื้อนั้นออกมาได้ เพราะพ่อเป็น"มะเร็งขั้นสุดท้าย"อยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน
ถึงตอนนั้นฉันก็ยังคงคิดในแง่ดีว่า มันจะต้องรักษาหาย และพ่อจะไม่เป็นอะไร เพราะพ่อดูแข็งแรงมาก มากเกินกว่าจะเป็นคนป่วย แม้แต่ในตอนนั้นแม่เป็นคนเดียวที่ช็อค แต่ไม่มีใครกล้าบอกพ่อ
ก่อนหน้านั้น พ่อมีอาการขาบวมแดงและอักเสบ ไข้ขึ้น แต่ไม่ยอมไปหาหมอ จนกระทั่งแม่ต้องบังคับให้พ่อไปหาหมอ จึงได้พบว่าพ่อเป็นมากกว่าขาบวมและอักเสบ
สรุปตอนนั้นพ่อต้องคว้านเอาเนื้อตั้งแต่โคนนิ้วเท้าข้างขวาขึ้นมาจนถึงใต้หัวเข่าเพื่อรักษาเอาขาไว้ เพราะพ่อไม่อยากให้หมอตัดขา แต่บอกได้เลยว่า พ่อทรมานสุดๆ แต่พ่อก็ยังคง"เข้มแข็ง"
ฉันกลับไปทำงานได้เดือนเดียว ก็ตัดสินใจลาออกเพื่อมาดูแลพ่อ เพราะตอนนั้นพ่อถ่ายเองไม่ได้ อาบน้ำเองไม่ได้ และปวดแผลจนไม่สามารถเดินไปไหนได้ เพราะแผลใหญ่และต้องล้างแผลทุกวัน น้องซึ่งเรียนอยู่ก็ไม่สามารถมาดูแลพ่อ
ได้ สุดท้ายฉันจึงเป็นคนดูแลเอง
แม่ตัดสินใจบอกพ่อว่าพ่อเป็นมะเร็งตอนที่ขาพ่อเริ่มจะมีเนื้อขึ้นมาและไม่ปวดแผลมาก พ่อไม่แสดงความหวาดกลัว และอีกเช่นกัน พ่อพูดกับฉันว่า "พ่อต้องหาย" และฉันก็เชื่อแบบนั้น
แม่พาพ่อไปหาหมอสมหมายชื่อดังที่รักษามะเร็งมาแล้วหลายคน พ่อกับแม่ไปรอคิวนานมาก แต่เมื่อถึงคิวของพ่อ หมอกลับบอกว่า "เก็บยาไว้รักษาคนอื่นเถอะ" แม่พาพ่อออกมา แต่คราวนี้แม่เป็นฝ่ายที่ไม่ยอมแพ้
แม่พูดว่า"ฉันจะพาแกไปรักษาที่อื่น" และแม่ก็ทำแบบนั้นจริงๆ และตอนนั้นแม่ให้ฉันไปหางานโดยบอกว่า พ่อเริ่มดีขึ้นแล้ว และตอนนี้เท่ากับภาระที่บ้านมีมากขึ้นและฉันต้องทำงาน
แล้วแม่ฉันเฝ้าเที่ยวเสาะหา สมุนไพรชาวบ้านเพื่อมารักษาพ่อ ในที่สุดเราก็ได้มาหลายขนานมาก ตอนนั้นเอง ป้าแดงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อก็มาช่วยเดินเรื่องรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันเต็มที่ ทำให้การรักษาของพ่อมีทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ
และสิ่งมหัศจรรย์ในปีนั้นคือ วันรับปริญญาฉันเป็นวันเกิดของพ่อพอดี มันเหมือนของขวัญของพ่อจริงๆ
เมื่อก.พ.ที่ผ่านมา หมอตรวจครั้งสุดท้ายหลังพ่อฉีดสีที่ร.พ.แห่งหนึ่งที่กรุงเทพ หมอบอกว่าพ่อไม่มีเชื่อมะเร็งแล้ว
พ่อโทรมาดีใจบอกฉันว่าเค้าจะอยู่จนวันที่ฉันแต่งงานและมีหลาน แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
พ่อเข้าร.พ.อีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ฉันไป พ่อมักจะหายและออกโรงพยาบาลเสมอแม้ว่าในทุกครั้งพี่พยาบาลจะมาบอกว่าพ่อฉันจะตายและให้ฉันทำใจแต่ฉันไม่เคยทำใจและฉันก็บอกพ่อแบบนั้น"หนูไม่มีวันทำใจหรอก เพราะพ่อจะไม่ตาย พ่อเชื่อหนู"
จนกระทั่งครั้งสุดท้าย.....
พ่อเข้าร.พ.วันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา คราวนี้ พ่อดูโทรมมากและมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด มันไม่เหมือนครั้งก่อน ฉันขับรถจากที่ทำงานเพื่อเคลียร์งานตอนสามทุ่มไปถึงโรงพยาบาลตอน ห้าทุ่มครึ่ง พ่อลืมตาแต่หายใจเหนื่อยหอบ
แม่บอกว่าพ่อกินเต้าหู้ยี้(ยาหม้อห้ามกินของหมักดอง) มันทำให้พ่อทรุด และตอนนี้พ่อกินอะไร ถ่ายอะไรไม่ได้เลย
ฉันเหนื่อยและง่วงมาก แต่ก็ได้คุยกับพ่ออยู่เพียงไม่กี่ประโยคคือ "พ่อหนูมาแล้วนะ"
พ่อตอบฉันว่า"พ่อไม่ไหวแล้ว เอาหน้ากาก(ออกซิเจน)ออกเถอะ"
ฉันส่ายหัวและแกะมือพ่อออกจากหน้ากาก เพราะพ่อพยายามจะดึงมันออก ฉันบอกว่า"พ่อ เราสู้กันมาขนาดนี้แล้วนะ พ่ออย่ายอมแพ้นะ"
พ่อฉันลุกขึ้นพยายามจะขับถ่าย แต่พ่ออ่อนแรงเกินไป เหมือนเค้าฮึดสู้เพื่อฉัน เพราะฉันบอกแบบนั้น...
ฉันนอนค้างที่ระเบียงร.พ.ก่อนตอนเช้าจะกลับไปบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อแต่....
พ่อเสียหลังจากฉันไปได้ไม่ถึง 10 นาที
แม่พยายามจะโทรให้ฉันและน้องกลับมาร.พ.เพื่อดูใจพ่อ แต่แม่โทรหาใครไม่ติด โทรติดตอนที่พ่อจากไปแล้ว.....
ทุกวันนี้ ฉันเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้ เฝ้าถามตัวเองว่าทำไมฉันถึงไม่บอกให้พ่อหลับให้สบาย ไม่ให้พ่อกลัวการจากไป...
แต่ตัวฉันเองเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะยอมรับการจากไปของพ่อ.....
ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ฉันบอกได้เลยว่า ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่เสียใจ ฉันไม่ได้ทำวันสุดท้ายของพ่อให้ดีที่สุด แล้วก็จริงกับที่ว่า
"ไม่ใช่ที่เราเห็นค่าในวันที่เค้าจากไป แต่เราไม่คิดว่าเค้าจะจากไปต่างหาก"
สุดท้ายนี้ฉันขอให้คุณรักและทำทุกๆวันให้ดีที่สุด อย่าให้คำที่ว่า"ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา"มาทิ่มแทงใจคุณเหมือนฉัน
(แด่คุณพ่อที่ฉันรักเสมอและจะรักตลอดไป)
ป.ล. ถ้าพิมพ์ผิดต้องขออภัยเพราะตอนพิมพ์ก็ร้องไห้ด้วยน่ะค่ะ
Discussion (10)
ขอบคุณทุกท่านค่ะ อย่าลืมรักพ่อให้มากๆนะคะ^^
เป็นกำลังใจให้นะคะ..
อ่านแล้วน้ำตาไหลเลยค่ะ จขกท.สู้ๆนะคะ
ยังไงจขกท.ก็ได้แสดงความรักพ่อออกไปอย่างดีที่สุดแล้วนะคะ
อ่านไปคิดถึงเรื่องของตัวเองไปด้วยเลยค่ะ เราเสียแม่ไป เหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้ เหมือนกันเลย เพียงแต่เป็นแม่เราเท่านั้น ทุกวันนี่้เราก็ยังคิดถึงแม่อยู่นะ แต่ทำใจได้แล้วค่ะ คิดถึงแม่ ให้แม่เป็นแรงบันดาลใจให้
เราอายุแค่16 เท่านั้นเอง เกือบ2ปีก่อนตอนที่แม่จากไปเราก็เสียใจมากเลยค่ะ แต่ก็ไม่ร้องไห้ อดทน เข้มแข็ง ไม่อยากให้แม่ห่วง ตอนนี้แม่เราก็ไปสบายแล้วค่ะ บางทีคนที่เค้าทรมานอยู่บนโลกโหดร้ายแบบนี้ เค้าทรมานเกินกว่าจะมีความสุขค่ะ เราก็ต้องยอมเสียสละ ให้เค้าจากไปมีความสุข เราเองคิดว่าให้แม่ไปเสียดีกว่า ที่จะรั้งไว้ให้แม่ทรมานอ่ะค่ะ เราทำใจไม่ได้จริงๆ ไม่อยากให้แม่ต้องเจ็บปวด จขกทก็คงจะเหมือนเรา สู้ๆนะคะ
เก็บท่านไว้ในใจ เป็นแรงบันดาล เป็นแรงผลักดัน เวลาเราทำอะไรพลาดไปก็นึกถึงท่าน เวลาเราทำอะไรผิดไป เราจะคิดถึงแม่เราเสมอ เราจะมองเห็นทางออก เพราะเรามีแม่เป็นฮีโร่เสมอค่ะ สู้ๆนะคะ
เป็นกำลังใจให้ สัจธรรมของโลก ร่างกาย เมื่อมี สักวันก็ต้องไม่มี มันเป็นกฎของทุกอย่างค่ะ
อย่าเศร้าไปเลยนะ เข้มแข็งเข้าไว้ค่ะ :PP