บ่นครับ/////ให้กลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง...

สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวจีบันทุกคนนะครับ
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนก็แล้วกันนะครับ
เราชื่อ ออฟ นะครับ อายุ21ปี กำลังจะขึ้นปี 3
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัย(เอกชน)แห่งหนึ่ง

ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะเริ่มยังงัยดี
เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ออฟเครียดเกือบตลอดเวลา
สาเหตุหลักๆก็คือเราเรียนคณะที่เราไม่ชอบครับ
เพื่อความเข้าใจง่ายขออนุญาติแบ่งเป็นช่วงๆก็แล้วกันนะครับ

ช่วงประถม-มัธยม
เราเป็นคนค่อนข้างเก่งครับตอนประถมเป็นที่หนึ่งของโรงเรียน(บ้านนอก)
พอมัธยมก็เข้าไปเรียนในเมือง มอต้นก็อยู่ในระดับtop5ของโรงเรียน
มอปลายก็อยู่ในระดับ top 10 ของโรงเรียน
ดูจากรูปการแล้วไม่น่าจะมีปัญหาใช่มั้ยครับ เพราะเราก็เรียนค่อนข้างไม่มีปัญหา
คุณแม่เป็นพยาบาลครับ โรงเรียนสมัยประถมก็อยู่ติดกับโรงพยาบาลที่คุณแม่ทำงานอยู่
ก็เลยรู้จักแค่อาชีพที่เกี่ยวกับโรงพยาบาล ตอนเด็กๆอยากเป็นหมอครับ
คงเป็นความฝันของใครหลายๆคนเหมือนกัน

มหาวิทยาลัย1
เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วจะเฉียดหรือหวุดหวิดตลอดครับ
ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย(ขอนแก่น)รอบโควต้า ลงคณะสัตวแพทย์ไปครับ
เพราะว่าเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองคงเป็นหมอไม่ได้ เพราะไม่ได้เก่งขนาดนั้น
แต่ก็ไม่ติดครับ เพราะคะแนนวิชาคณิตศาสตร์เราไม่ผ่านเกณฑ์ อยู่ประมาณ4คะแนน
ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้วครับแต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเรียนสายนี้
จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ติด ก็เลยตัดสินใจว่าจะเรียนคณะวิทยาศาสตร์
เพราะว่าชอบวิชาชีววิทยา จริงๆวิชาที่ชอบที่สุดคือวิชาภาษาอังกฤษครับ
แต่ด้วยความที่อยากเรียนสายแพทย์ก็เลยเรียนสายวิทยาศาสตร์
จนในที่สุดก็ลงเอยที่คณะวิทยาศาสตร์ สาขาชีววิทยา(ที่เราชอบ)เพื่อรอซิ่ว
ตอนแรกอยากไปเรียนจุฬาครับ แต่พี่สาวเรียนอยู่ปีที่สี่กำลังจะจบต้องใช้ค่าใช้จ่าย
แม่ก็เลยให้เรียนใกล้ๆบ้านครับ จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย
พอไปเรียนถามว่าเรียนได้มั้ย ได้ครับแต่เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองไม่ชอบจริงๆ
คือ ด้วยความที่อยากเรียนในกรุงเทพมากกว่า(ตามประสาคนไม่เคยเข้ากรุง)
เรียนที่ขอนแก่นได้หนึ่งเทอมครับ ก็ดรอปมาเพื่อเรียนพิเศษรอสอบใหม่
ช่วงนี้เริ่มอยู่กับตัวเองมากขึ้น เริ่มรู้จักและรู้ใจตัวเองมากขึ้น
คือรู้แค่ว่าตัวเองไม่ชอบอยู้ในกรอบ ไม่ชอบการทำงานที่จำเจ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร
จนถึงเวลาที่ต้องสอบใหม่ ก็ยังลังเลอยู่แต่ก้ไม่กล้าคุยกับที่บ้าน
ที่บ้านก็บอกแค่ว่าทำงานราชการมั่นคงกว่า
ก็เลยลงคณะเภสัชกับคณะเทคนิคการแพทย์ไปครับ
จนสุดท้ายก็ติดคณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยเอกชน
ต้องยอมรับเลยนะครับว่า ไม่เคยรู้ข้อมูลของคณะนี้เลยว่าต้องทำงานอะไรเรียนเกี่ยวกับอะไร
รู้แค่ว่าตรวจเลือด ตรวจฉี่ ก็เลยเอาวะยังงัยก็แพทย์ๆเหมือนกันแหละ
ดีออกจะได้ไม่ต้องเรียนหนักเหมือนพวกแพทย์

มหาวิทยาลัยที่ 2
พอก้าวเข้ามาเรียนที่นี่ถึงได้ทราบครับว่าต้องเน้นหนักวิชาเคมี
ซึ่งเป็นวิชาที่เราเกลียดที่สุดในชีวิต แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
พอเริ่มขึ้นปีสูงๆก็เริ่มมีปัญหาครับ เนื่องจากเราไม่ชอบการที่ต้องอยู่ในกรอบ
และช่วงที่อยู่ที่นี่นี่เองก็ทำให้รู้จักตัวเองครับว่าเราชอบอะไร
คือ อยากเรียนเกี่ยวกับแฟชั่นแล้วก็เมคอัพมาก
เคยคุยกับที่บ้านตั้งแต่ตอนก่อนสอบครั้งที่สองแล้วแต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะเค้าบอกว่ามันไม่มั่นคง
แต่พอเราเริ่มแต่งหน้าเป็น เริ่มทำงานให้คณะ(แบบไม่เต็มใจ)
ก็ทำให้เราได้รู้ครับว่ามันคือพรสวรรค์ครับ ครั้งแรกที่แต่งหน้าให้เพื่อนมีแต่คนชมครับ
แต่ครั้งที่ทำให้เราแน่ใจในเทสของเรามากที่สุด คือเราแต่งหน้าให้น้องที่คณะประกวดนางสงกรานต์ครับ
แล้วน้องได้ตำแหน่งชนะเลิศมา ก็เลยทำให้ฝึกฝนฝีมือมากขึ้นๆ แต่ช่วงนั้นคือยังไม่ทิ้งเรื่องเรียนครับ
ก็มีโดดบ้างครับตามประสาแต่ก็ไม่ได้บ่อยอะไรมากมาย
เราก็เลยคุยกับที่บ้านว่าเนี่ยเรารู้สึกรักการทำงานด้านนี้มากเลยเพราะถึงแม้จะเหนื่อย
แต่มันก็ทำให้เรามีความสุขมากๆ
แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนคณะอีกหรอกครับเพราะซิ่วมาแล้วครั้งนึง
แต่เริ่มมีปัญหาก็เพราะว่าเริ่มขึ้นปีสูงเรียนหนักขึ้นยากขึ้น
และมีแต่วิชาที่เราไม่ชอบ บอกตรงๆครับว่าเครียดมากไม่อยากไปเรียนเลย
ก็เลยคุยกับที่บ้านครับก็ได้รับคำตอบมาว่า จบแล้วอยากเรียนอะไรก็เก็บเงินไปเรียนเอง
เราก็โอเคครับเรียนก็เรียน เราพยายามตั้งใจเรียนแล้ว
แต่สุดท้ายมันก็อดไม่ได้ที่จะคิด คือช่วงสอบเราเครียดมากครับยากก็ยาก
ไม่อยากเรียนก็ไม่อยากเรียน เครียดจนเป็นเครียดลงกระเพราะครับ


คือเป้าหมายของการตั้งกระทู้ในครั้งนี้ก็คืออยากจะให้เป็นอุทาหรณ์กับน้องๆหรือพ่อแม่
เพราะช่วงนี้น้องๆหลายคนกำลังมองหาที่เรียนอยู่
คือไม่อยากจะให้เรียนตามกระแสนิยม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ไม่ใช่คนที่มีหน้าที่การงานดี มีเงินเยอะ
แต่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็คือ คนที่มีความสุขในงานหรือสิ่งที่ทำอยู่
เราพลาดมาแล้วไม่อยากจะให้น้องๆพลาดเหมือนเรา
และสำหรับคนที่เป็นพ่อแม่นะครับ บางท่าน(เช่นพ่อแม่เรา)
อาจจะไม่ได้บังคับลูกโดยตรง แต่การที่คุณบอกเค้าเสมอว่า ไหนบอกตอนเด็กอยากเป็นอย่างนู้นอยากเป็นอย่างนี้
นั่นแหละครับคือการบังคับเค้าทางอ้อม เพราะตอนเด็กกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันครับ

ตอนนี้สิ่งที่ออฟจะทำได้ก็คือพยายามเรียนให้จบ
เพราะไม่สามารถจะไปเรียนที่อื่นได้อีกแล้ว เพราะซิ่วมาแล้วครั้งนึง
ถึงแม้ว่ามันจะแลกด้วยน้ำตาและความสุขของเราก็ตาม

Discussion (23)

อยากขอเมลล์เจ้าของกระทู้หน่อยค่ะ อยากคุยด้วยค่ะ เครียดจาซิ่วรอบสองเหมือนกัน
คุณ thae เราติดตามผลงานข้องคุณเต้อยู่บ่อยครั้งนะครับ ชอบและชื่นชมมาก เราอยากเก่งแบบนี้บ้างจัง แต่ด้วยคณะที่เราเรียนครับ เวลาไม่เอื้ออำนวยเลย เช้าเรียนตั้งแต่แปดโมง บ่ายเรียนแลปถึงเย็น ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปรับงาน เมื่อก่อนก็เคยไปช่วยแต่งให้ร้านที่รู้จักกันแถวๆมอครับ แต่ด้วยเราไม่ค่อยว่างด้วยอะไรด้วยก็เลยไม่ได้ไปแล้ว ก็มีบางทีที่เพื่อนไปแคสงาน(ส่วนมากจะเป็นพวกที่เราเคยแต่งให้ตอนงานคณะ) ก็มาให้เราแต่งบ้าง แต่ก็ไม่ได้รับเป็นกิจลักษณะขนาดนั้นครับ เพราะยังไม่เก่งและอีกอย่างช่วงนี้ไม่มีเวลาเลยจริงๆ ถ้าจำไม่ผิดคุณเต้เรียนที่ลาดกระบังรึเปล่าครับ อยากมีโอกาสไปเรียนรู้กับคุณเต้บัางจัง เราก็อยู่มหาลัยเอกชนแถวๆบางพลีครับ หวังว่าจะมีโอกาสได้คุยกันอีกนะครับ

คุณ nununaja ขอบคุณครับ เราก็ไม่แพ้กันครับ เทอมมี่กี้เข้าวิชาคณะเราก็ตกวิชาคณะครับ ซึ่งทำให้เราท้อมาก ดีที่เปิดซัมเมอร์ ไม่งั้นเราคงต้องเรียนห้าปีครับ แล้วตอนนี้เราก็ไม่มั่นใจว่าเราจะตกอีกรึเปล่า เราคิดว่าถ้าเราตกอีกหรือได้เรียนห้าปีเราคงไม่เรียนแล้วแหละครับ ท้อมากและสิ้นเปลืองมาก ค่าเทอมก็ไม่ใช่ถูกๆกู้ก็ไม่ได้ครับ

อยากแนะนำให้สู้ๆต่อไปค่ะ
ตอนนี้เรากำลังจะจบ(อยากจบ)แล้วค่ะ
เราเรียนสายวิทย์มาตั้งแต่ ม.ต้นยันมหาลัยเลยค่ะ 10 ปีแน่ะ
บอกตรงๆว่าไม่ได้ชอบและไม่ได้เก่งอะไรเลยนะคะ
ก่อนหน้านี้เคยมีความฝันค่ะ อยากเป็นนู่นนั่นนี่ ชอบแต่ละคณะเฮ้อ เข้าข่าย วท.บ.ทั้งนั้น
และแล้วก็เรียนๆคณะนี้ไปแหละ เป็นทางผ่าน วิทย์(วท.บ.)เหมือนกัน เดี๋ยวไปต่ออันที่ชอบเอา
แต่ก่อนคิดว่าไม่ชอบไม่เก่งวิชาวิทย์ เห้อกัดฟันเรียนๆมันไป เพื่อความฝัน
ที่ไหนได้วิชาฟิสิกส์เราลงมันไป4รอบ จนสุดท้ายเราก็ไม่เอา ไม่อ่าน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น
คิดดูโค้งสุดท้ายจะไม่จบอยู่แล้วยังไม่เอา แต่เค้าคงจะให้ผ่านๆไปละมั้งรอบนี้(สาธุ)
เราเพิ่งค้นพบว่าเราไม่ชอบก็ตอนไปฝึกงานปีที่แล้วน่ะ
บางครั้งเราก็ไม่ค่อยเข้าใจคนที่ซิ่วน่ะ เราคิดว่า ทนๆเรียนไปเหอะ แค่ปรญ.ใบเดียว
จบแล้วเดี๋ยวไปต่ออันที่ชอบใหม่ก็ได้ แต่บางคนก็มีเหตุผลและความคิดที่ต่างกันไปเนอะ
ไปว่าเค้าไม่ได้ บางทีเค้าคงทนเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบไม่ไหวก็ได้
ก็สู้ๆกันต่อไปเนอะ คิดในทางที่ดีว่าเรายังมีทุน ยังรู้สิ่งที่ชอบ
หลายคนจบมายังไม่รู้ว่าเลยอยากทำอะไร ชอบอะไร มีความสุขกับงานอะไร

ส่วนตัวเรียนศิลปกรรม ขึ้นปีสี่ละ แต่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
หลายคนบอกว่าทำงานเหนื่อยกว่าเรียนนะ ตอนเรียนเนี่ยะมีความสุขเที่ยวได้เฮฮาได้ ไม่จริงหรอก คนเราไม่เหมือนกัน

แต่บอกตรงๆว่าเต้ทำงานแล้วมีความสุขกว่าเรียนนะ อาจจะมองบวกหน่อยว่าสิ่งที่เต้เรียนมันก็พอจะปรับให้เข้ากับสิ่งที่เราทำได้
งานที่ทำระหว่างเรียน ทั้งเมคอัพ สไตลิส ถ่ายภาพ งานจ๊อบต่างๆที่ทำ เป็นคนทำทุกอย่างไม่เคยเลือกงาน ถือว่าเราได้ฝึกฝนตัวเองได้ลองอะไรใหม่ๆไปในตัว
ส่วนตัวไม่ใช่คนเก่งมาก แต่ทำได้หลายอย่าง แต่เราก็พัฒนาตัวเองตลอดเวลา บวกกับโอกาสดีๆที่เข้ามา

อย่างที่เรียนเนี่ยะ ทางบ้านเต้ก็ไม่ชอบ แถมเราเรียนๆไปแล้วก็รู้สึกไม่ได้ชอบมากมายเหมือนกัน(ซวยละ) แต่จะให้ด็อปก็ไม่ได้ เอ้นใหม่ก็กลัวไม่ติด โดนที่บ้านด่าอีกรอบแน่ๆ
ก็เลยพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า เรียนอะไรก็หาเลี้ยงตัวเองได้ทำเงินได้นะ เป็นคนไม่อยู่เฉยๆ จะทำนู่นนี่นั่นตลอดเวลา ปัจจุบันที่บ้านเลิกพูดเรื่องอนาคตแล้ว เพราะเราแสดงให้เห้นว่าเราโตเป้นผู้ใหญ่เกินกว่าที่เค้าจะมานั่งมองอนาคตให้เรา

อย่าไปซีเรียสครับ โอกาสดีๆมีให้คนเก่งๆและขยันขวนขวายอยู่แล้ว รู้ว่าชอบอะไรก็ไปให้สุดถึงจะดี อย่ามาครึ่งๆกลางๆ
สู้ๆนะ ไฟติ้ง!!