

Vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนระดับโลกจับมือกับ AIS ผู้นำเครือข่าย 5G ชั้นนำระดับภูมิภาคประกาศการวางจำหน่าย Vivo V20 Pro 5G สมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดใน AIS Shop ทุกสาขาหรือ AIS Online Store แล้ววันนี้ โดย Vivo V20 Pro 5G มาพร้อมนวัตกรรมในการถ่ายภาพเซลฟีสุดล้ำกับกล้องคู่หน้าความละเอียดสูง 44 MP พร้อมระบบ Eye Autofocus และดีไซน์หรูหราสุดเพรียวบางเป็นสมาร์ตโฟน 5G บางที่สุดในโลก พร้อมสัมผัสประสบการณ์ใช้งานไหลลื่นเต็มประสิทธิภาพงานบนเครือข่าย AIS 5G ในราคาเริ่มเพียง 7,989 บาท รับฟรี! ของแถม พรีเมียมลำโพงบลูทูธ มูลค่า 2,199 บาท*
โดยมีทัพดาราและนักร้อง ชิน-ชินวุฒิ อินทรคูสิน, เป๊กซ์ ปราชญ์ พงษ์ไชย หรือ เป๊กซ์ Zeal (ซีล),โฟล์ค-ฐิติพัฒน์ จันทร์แก้ว, เบนซ์ ณัฐพงศ์ ผาทอง และ ลีซอ-ธีรเทพ วิโนทัย นักเตะชื่อดังของไทย ตัวแทนไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มารอแกะกล่องรับสมาร์ตโฟน Vivo V20 Pro 5G ที่ AIS Flagship Store สาขาเซ็นทรัลเวิลด์
นอกจากนี้ เมื่อซื้อ สมาร์ตโฟน Vivo V20 Pro 5G ผ่าน AIS Shop หรือ AIS Online Store รับส่วนลดสูงสุดถึง 7,000 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจ 5G Hot Deal MAXX และชำระค่าบริการล่วงหน้าตามที่กำหนด รับสิทธิ์โทรฟรีไม่อั้น (ภายในเครือข่าย) และใช้ 5G ได้ความเร็วสูงสุด พร้อมสิทธิ์ AIS Serenade สิทธิ์ดู YouTube Premium แบบไม่สะดุดไม่มีโฆษณาคั่น สูงสุด 6 เดือน และสิทธิ์ใช้งาน AIS Play Family โดยไม่คิดค่าเน็ตนาน 6 เดือน* รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.ais.co.th/vivo-v20pro-5g/
#VivoV20Pro5G #V20Series5G #BetheFocus #AISxVivo #AIS5G
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ของแถมมีจำนวนจำกัด
ยูนิโคล่ แบรนด์เครื่องแต่งกายระดับโลกจากญี่ปุ่น เปิดตัวนิตยสาร LifeWear (ไลฟ์แวร์) หรือ LifeWear Magazine ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นนิตยสารแจกฟรีปีละ 2 ครั้งและมีการเปิดตัวฉบับแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2019 สำหรับฉบับล่าสุดของนิตยสาร LifeWear มาในคอนเซ็ปต์ “Our Tomorrow” ที่นำเสนอการค้นหาแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ผ่านเครื่องแต่งกายในช่วงเวลาแห่งความท้าทายเช่นทุกวันนี้ พร้อมทั้งมองไปยังอนาคตข้างหน้าที่ดีกว่าเดิม นิตยสาร LifeWear มาในรูปแบบ 2 ภาษาโดยมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษในเล่มเดียวกัน ผู้สนใจสามารถรับได้ฟรีที่ร้านยูนิโคล่ ทุกสาขาและผ่านออนไลน์สโตร์
มร. ทากาฮิโร่ คิโนชิตะ (Takahiro Kinoshita) ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของฟาสต์ รีเทลลิ่ง โกลบอลครีเอทีฟ แล็บ ในกรุงโตเกียว และบรรณาธิการนิตยสารไลฟ์แวร์ ระบุว่า “ก่อนอื่นผมขอถือโอกาสนี้ส่งกำลังใจให้กับผู้คนที่ได้รับผลกระทบในด้านต่างๆ จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และผมต้องขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการรังสรรค์คอนเทนต์เป็นพิเศษสำหรับนิตยสารฉบับนี้ที่ได้ร่วมกันเสาะหาแนวทางที่แฟชั่นจะสามารถช่วยกอบกู้สปิริตของผู้คนโดยการส่งมอบความสุขและสนับสนุนให้พวกเขาได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของนิตยสาร LifeWear ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปรัชญา LifeWear ซึ่งเป็นพันธกิจของยูนิโคล่ในการรังสรรค์เครื่องแต่งกายที่ สมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านจะได้เรียนรู้และค้นพบสิ่งที่สนใจจากนิตยสาร LifeWear ฉบับล่าสุดนี้”
สำหรับงานเปิดตัวนิตยสาร LifeWear ฉบับที่ 3 ในประเทศไทย ยูนิโคล่ได้เชิญตัวแทนจากหลากหลายวงการมาร่วมแบ่งปันมุมมองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจภายใต้หัวข้อ “Our Tomorrow” ได้แก่ คุณอุรัสยา เสปอร์บันด์ (ญาญ่า) นักแสดงหญิงแถวหน้าของเมืองไทย ม.ล. ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คุณกมลนาถ องค์วรรณดี นักออกแบบรุ่นใหม่สายแฟชั่นเพื่อความยั่งยืน คุณนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการและบรรณาธิการบริหารสำนักข่าวออนไลน์ รวมถึง คุณเขมจิรา เทศประทีป ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท ยูนิโคล่ (ประเทศไทย) ที่มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจุดประกายให้เกิดการตั้งคำถามว่าเราจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้โลกนี้น่าอยู่และยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง โดยภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการที่แสดงจุดยืนของยูนิโคล่ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีการนำคอนเทนต์เด่นๆ ในนิตยสารออกมาให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสและเปิดประสบการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกับการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ อาทิ หน้ากากผ้าแอริซึ่ม (AIRism Mask) และเสื้อยืด UT คอลเลคชั่นต่างๆ
ผู้สนใจสามารถรับนิตยสาร LifeWear ฉบับที่ 3 ได้ฟรีที่ร้านยูนิโคล่ทุกสาขาทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป และสามารถอ่านนิตยสาร LifeWear เวอร์ชั่นออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ โดยเวอร์ชั่นออนไลน์จะมีเนื้อหาสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพิ่มเติม ซึ่งจะมีเฉพาะในเวอร์ชั่นออนไลน์บนเว็บไซต์เท่านั้น
สามารถอ่านนิตยสาร LifeWear เวอร์ชั่นออนไลน์และชมวิดีโอแนะนำได้ที่: https://www.uniqlo.com/th/th/lifewear-magazine/
ชมวิดีโอแนะนำนิตยสาร https://www.youtube.com/watch?v=hX31y47z0Nk&feature=youtu.be
เนื้อหาที่เป็นไฮไลท์
● Hello, Jil
บทสัมภาษณ์ถาม-ตอบ 16 ข้อสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับดีไซเนอร์ชื่อดัง Jil Sander (จิล แซนเดอร์) ที่แสดง ความคิดเห็นส่วนตัวของเธอต่อคอลเลคชั่นในตำนาน +J ที่เตรียมปล่อยออกมาให้ได้ยลโฉมและเป็นเจ้าของกันในเร็วๆ นี้ และที่พิเศษสุดๆ กับเวอร์ชั่นออนไลน์ที่จะมีการรวบรวมคำถามนอกเหนือจากที่มีในเวอร์ชั่นนิตยสารอีกด้วย
● Hearing the Sounds of the City: บทสัมภาษณ์ Ryuichi Sakamoto (เรียวอิจิ ซากะโมโตะ)
ในบทสัมภาษณ์แบบเต็มอิ่มของนักดนตรีและศิลปินชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่นที่จะมาช่วยเราจินตนาการภาพในอนาคตของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
● Recycling Journey
เรื่องราวที่เผยให้เห็นถึงกระบวนการผลิตเบื้องหลังที่ยูนิโคล่และบริษัทพาร์ทเนอร์ Toray ผลิตเสื้อ DRY-EX ซึ่งรีไซเคิลมาจากดาวน์ขนเป็ดของยูนิโคล่และขวดพลาสติก
● Self Portraits from New York: บทสัมภาษณ์ Ryan McGinley (ไรอัน แม็คกินเลย์)
ช่างภาพชื่อดังแห่งมหานครนิวยอร์กได้ร่วมแบ่งปันผลงานสุดพิเศษจากคอลเลคชั่น UT ประจำฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว ปี 2020 พร้อมกับผลงานภาพถ่ายตัวเองที่กำลังสวมใส่ไอเทมในคอลเลคชั่นนี้ ทั้งยังได้พูดถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงวิธีการแสดงออกของผู้คนในนิวยอร์ก
ในวันนี้ Thankyou วิสาหกิจเพื่อสังคมในออสเตรเลียได้ประกาศเชิญชวน พี แอนด์ จี (P&G) และ ยูนิลีเวอร์ (Unilever) สองบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ระดับโลกและมีอิทธิพลมากที่สุด ให้มามีส่วนร่วมในการผลิตและกระจายสินค้าของ Thankyou ไปทั่วโลกเพื่อร่วมมือยุติภาวะความยากจนขั้นสุด ทาง Thankyou ได้เชิญชวนผู้คนทั่วโลกให้เข้ามามีส่วนร่วมและแสดงพลังอันเหนียวแน่นของกลุ่มคนมากมายที่เชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงผ่านแคมเปญที่ชื่อว่า No Small Plan เพื่อโน้มน้าวใจบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ให้สนับสนุนการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ Thankyou นำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายไปจนถึงของใช้สำหรับเด็ก โดยมีวัตถุประสงค์อันแน่วแน่ในการจัดหาเงินทุนให้กับโครงการที่เปลี่ยนแปลงชีวิตอีกมากมาย
Thankyou จัดตั้งขึ้นเพื่ออุดช่องว่างระหว่างประชากรกว่า 736 ล้านคน* ทั่วโลกที่ต้องประสบความยากจนข้นแค้น และเม็ดเงิน 63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ใช้จ่ายไปกับสินค้าอุปโภคบริโภคในแต่ละปี** โดย Thankyou จะนำผลตอบแทนทุกบาททุกสตางค์หลังจากหักต้นทุนทั้งหมดในการดำเนินการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคคุณภาพเยี่ยมให้แก่ผู้คนเพื่อการยุติภาวะยากจนขั้นรุนแรง โดย Thankyou หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถพลิกกระแสบริโภคนิยมได้ยั่งยืนตลอดไป
แดเนียล ฟลินน์ ผู้ก่อตั้ง Thankyou เมื่อปี 2551 ร่วมกับจัสทีน ฟลินน์ และจาร์ริด เบิร์นส์ กล่าวว่า “ขณะที่ผู้คนใช้จ่ายไปกับสินค้าอุปโภคบริโภคด้วยเงิน 63 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในแต่ละปี ก็ยังมีผู้คนอีก 736 ล้านคนที่ต้องจมปลักอยู่กับความยากจนสุดขีด เราเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจตามปกติมันไม่ปกติเลย แต่เรายังเชื่อมั่นว่าหากเราทุกคนร่วมมือกัน ทั้งผู้คนมากมายและบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของโลกทั้งสอง เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงความยากจนข้นแค้นนี้ได้ โดยการระดมเม็ดเงินที่ใช้จ่ายไปกับสินค้าดังกล่าวไปช่วยยุติภาวะยากจนขั้นรุนแรงนี้”
ปัจจุบัน Thankyou วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ใน 2 ประเทศที่เล็กที่สุดในโลกเท่านั้น ซึ่งก็คือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ แต่ด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้ตัวเลขความยากจนทั่วโลกเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น เจลล้างมือ ทางบริษัทจึงตระหนักว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการขยายธุรกิจ และต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วด้วย ทั้งนี้หาก พี แอนด์ จี และ ยูนิลีเวอร์ เลือกตอบรับคำเชิญของ Thankyou พวกเขาอาจพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ และกำหนดเส้นทางของเม็ดเงินผู้บริโภคหลายล้านดอลลาร์เพื่อยุติความยากจนขั้นรุนแรง
ในส่วนของการจูงใจให้ พี แอนด์ จี และ ยูนิลีเวอร์ ตอบรับคำเชิญว่า “I’m in” และร่วมงานกับ Thankyou เพื่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ Thankyou เชื่อว่าสองบริษัทยักษ์ใหญ่ควรได้รับรู้ถึงเสียงส่วนรวมที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่จากผู้คนทั่วโลกที่มารวมตัวเคลื่อนไหวเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน เพื่อยุติภาวะความยากจนขั้นสุด ซึ่งคุณสามารถสนับสนุนการเคลื่อนไหวครั้งนี้กับ Thankyou ได้ด้วยการแชร์วิดีโอนี้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียโดยทำตามขั้นตอนดังนี้
1. โพสต์รูปภาพหรือแชร์ข้อความของแคมเปญบนโซเชียลมีเดียว่า “I’m in, are you?”
2. แท็ก @proctergamble และ @unilever
3. ติดแฮชแท็ก #thankyoutotheworld
4. แชร์วิดีโอของ Thankyou ให้กระจายออกไปอย่างแพร่พลาย
Thankyou จะมีการจัดประชุมออนไลน์ (Virtual Meetings) กับทางพี แอนด์ จี และ ยูนิลีเวอร์ เมื่อแคมเปญสิ้นสุดลง และในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ Thankyou จะประกาศว่าบริษัทใดตกลงจะ “ร่วมด้วย” ผ่านหนึ่งในจอดิจิทัลบิลบอร์ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ไทม์สแควร์ ในมหานครนิวยอร์ก
แคมเปญของ Thankyou มีชื่อว่า “No Small Plan” เพราะการเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งประวัติศาสตร์โดยการปรับเส้นทางของเม็ดเงินผู้บริโภคหลายล้านดอลลาร์ไปสู่การยุติภาวะความยากจนขั้นสุดในช่วงชีวิตนี้ไม่ใช่แผนการเล็กๆ อย่างแน่นอน
รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC by MQDC) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) โดยบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ต่อยอดกลยุทธ์ ‘For All Well-Being’ เพื่อการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสรรพสิ่งอย่างยั่งยืน เปิดตัวหนังสือ Well - being Trend 2020-2021 เป็นครั้งแรก เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ และส่งเสริมให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดี (Well - being) ในประเทศไทยของเรา รวมถึงการนำไปใช้จริงเชิงพาณิชย์และการหาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน
“ปัจจุบันการสร้างความเป็นอยู่ที่ดี หรือ Well-being เป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาที่ถูกกล่าวถึงอยู่เสมอท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น จำนวนประชากร สังคม เศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวล้วนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีทั้งสิ้น ทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
หนังสือ Well - being Trend 2020-2021 จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างความรู้และนำเสนอความเป็นไปได้เรื่องความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคต โดยผ่านขั้นตอนการวิจัยอย่างเป็นระบบและนำเสนอองค์ความรู้ออกมาในรูปแบบของหนังสือ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับบุคคลทั่วไปหรือผู้ที่มีความสนใจ โดยใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลจากข่าวสาร และงานวิจัยในด้านความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ที่กำลังส่งผลต่อวิถีชีวิตและสร้างอิทธิพลระดับสากล เช่น การเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรจำนวนของกลุ่มผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจยุคดิจิทัล การพัฒนาเทคโนโลยี การระบาดของ COVID-19 ตลอดจนปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการลดลงของทรัพยากรทั่วโลก เพื่อแบ่งปันองค์ความรู้เหล่านี้ให้เกิดแรงผลักดันและโอกาสด้านอาชีพใหม่ๆ รวมถึงการลงทุนทำสิ่งใหม่ ต่างจากที่คุ้นเคยในอนาคต เพื่อการสร้างไอเดียและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลก ให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดี และอนาคตที่ยั่งยืน” รศ.ดร.สิงห์ กล่าว
หนังสือ Well-being Trend 2020-2021 มีเป้าหมายให้ผู้อ่านได้รับความรู้ แรงบันดาลใจ เกิดความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างโลกที่ดีขึ้น ขึ้น และรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยคำนึงถึงองค์ความรู้ด้าน Well-being ในทุกๆ ศาสตร์และทุกแขนง แบ่งออกเป็น 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1.เรื่อง“ดัชนีความอยู่ดีมีสุข และพัฒนาการแนวคิดของความอยู่ดีมีสุข 2.เรื่ององค์ประกอบของความอยู่ดีมีสุข 3 เรื่องเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ที่ส่งผลต่อทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลกและความเป็นอยู่ของคน อันส่งผลให้เกิดแม็คโครเทรนด์ (Macro Trend) ที่น่าสนใจ 4.เรื่องการถอดรหัสไมโครเทรนด์ (Micro Trends) ด้านความอยู่ดีมีสุข เช่น มาตรฐานการดำรงชีวิต ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การศึกษา ตลอดจนแนวโน้มการประกอบอาชีพในอนาคต
ผู้ที่สนใจ สามารถพบกับการเปิดตัวหนังสือ Well-being Trend Book 2020 - 2021 ครั้งแรก ได้ที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 25 ณ บูธ F05 สำนักพิมพ์ฟรีมายด์ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 11 ตุลาคม 2563 และสามารถสั่งซื้อได้อีก 4 ช่องทาง ดังนี้
1. RISC Line Official ID : risc_center และ RISC Facebook Messenger
2. ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC by MQDC) ชั้น 4 แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (เปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ 10.00-17.00 น.)
3. Whizdom Club ชั้น 4 True Digital Park บีทีเอสปุณณวิถี
4. Inspire Me ชั้น 1 ในโซน Iconluxe ศูนย์การค้าไอคอนสยาม
นิยามใหม่การใช้ชีวิตที่ได้มากกว่าคอนโดฯ เต็มที่กับที่สุดของไลฟ์สไตล์ไร้ขีดจำกัด
เปิดประสบการณ์แบบฉบับ XT แชร์พื้นที่ส่วนกลางได้ร่วมกันในทุก XT และ XT Club คอมมูนิตี้สุดฮิป
“XT Ekkamai” (เอ็กซ์ที เอกมัย) ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่แห่งแรกในไทยแบรนด์คอนโดฯนิยามใหม่สำหรับชาวมิลเลนเนียล (Millennials) โดยเฉพาะ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่สุดแอคทีฟที่ Work Hard/Play Hard กับคอนเซ็ปท์ ‘Extend Your Style’ จัดเต็มกับส่วนกลาง (Co-Sharing Space) ที่แชร์พื้นที่ร่วมกันได้ในทุกโครงการ XT ดื่มด่ำกับบรรยากาศ Sky Lounge แรงบันดาลใจจาก social club ในบูทีคโฮเทลระดับโลก ท่ามกลางพาโนรามิกวิวย่านเอกมัย-ทองหล่อ ผสานแรงบันดาลใจในทุกรายละเอียดการดีไซน์ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นใช้งาน ตลอดจนผลงานศิลปะแนว Abstract เติมเต็มการใช้ชีวิตอย่างมีรสนิยม และ ครั้งแรก! กับการเปิดตัว XT Privilege สิทธิพิเศษเฉพาะสำหรับลูกบ้าน XT Club ที่คัดสรรมาหมุนเวียนสับเปลี่ยนในทุกๆ 3 เดือน เริ่มต้นกับ Cassette Music Bar คอนเซ็ปท์บาร์สุดเก๋ย่านเอกมัย รังสรรค์ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ใครๆต้องมีอิจฉา
อู้ พหลโยธิน ประธานผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ภายใต้แนวคิด “Made for Life” รังสรรค์ XT Ekkamai ภายใต้คอนเซ็ปท์ที่แตกต่างอย่างโดดเด่นแฝงกลิ่นอายของ Boutique Hotel รายล้อมด้วยแรงบันดาลใจใหม่ๆ ใช้ชีวิตในทุกวันที่ไม่จำเจ พร้อมกับ 24 Hours Facilities กับบรรยากาศวิวใจกลางเอกมัยแบบ 360 องศา ตอบโจทย์เทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ชีวิตที่เลือกเองได้อย่างอิสระ (Personalized Experience is New Luxury) เช่น ออกกำลังกายแบบ Live Streaming จัดปาร์ตี้ Friday Night กับเพื่อนในบรรยากาศ Social Club หรือ ว่ายน้ำไปพร้อมกับดูหนังเรื่องโปรดใน Netflix นอกจากนี้ เรายังเฟ้นหาผลงานศิลปะแนว Abstract หรือการตกแต่ง wall art ที่สะท้อนความหมายหลากหลายในมุมมองของแต่ละคนมาตกแต่งในโครงการอย่างลงตัวสื่อถึงความมีอิสระในการใช้ชีวิตในแบบฉบับ XT ซึ่ง XT Ekkamai เป็นหนึ่งในโครงการที่นำเฟอร์นิเจอร์วินเทจจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาจัดดวางไว้ในโครงการระดับที่ไม่ใช่ลักซ์ชัวรี่ มารังสรรค์ให้พื้นที่ส่วนกลางเปี่ยมด้วยรสนิยมและมีชีวิตชีวา ด้วยการนำเฟอร์นิเจอร์ทั้งสไตล์วินเทจและโมเดิร์นมาจัดวางผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัวขับกับสีสันอันฉูดฉาดของพื้นที่”
สิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านแสนสิริ หรือ XT Club สัมผัสประสบการณ์ curated activities ที่ใครๆ ต้องอิจฉาโดย จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนในทุก 3 เดือน เริ่มตันกับ “XT EKKAMAI x THE CASSETTE MUSIC BAR” และ HIDDEN BAR HOPPING 5 ร้านดังย่านทองหล่อ ตลอดสิ้นปีนี้
● Lifestyle Deal ดีลสุดพิเศษ – Fast Track จองที่นั่งมุมพิเศษและดีที่สุดในร้านCassette ในทุก Friday Night
● Limited Edition Stuff – ลุ้นรับ XT Bar Hopping Passport พร้อมรับ Signature Drink จาก 5 ร้านดังอย่าง 008 Bar,Bar 335,Find the locker room, wasteland และ alonetogether
● XT Club Community / New Experience – มินิคอนเสิร์ตสำหรับลูกบ้าน XT พร้อมชมถ่ายทอดสดที่ Sansiri PLC และ The Cassette Music Bar Ekamai Facebook Page
XT EKKAMAI ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมแห่งแรกในไทย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่สุดแอคทีฟ
XT EKKAMAI ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 63 (ซอยเอกมัย) บนพื้นที่ขนาด 2 ไร่ สูง 38 ชั้น ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ECCENTRIC’ ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งฟังก์ชันและการออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่แบบ Work Hard, Play Hard กล้าแตกต่างอย่างมีรสนิยม ถ่ายทอดผ่านการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการสังสรรค์ไว้บนพื้นที่เดียวกัน ตั้งแต่ Co-Work & Play Space ชั้น 1 ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้ไม่ว่าจะนั่งทำงานสบาย ๆ หรือจะเปลี่ยนเป็นห้องเล่นปิงปอง เล่น Football Table กับกลุ่มเพื่อนได้เช่นกัน โดยลูกบ้านชาว XT Club สามารถเข้าใช้ได้ Co-Sharing Space ที่ชั้น 1 ของ XT ได้ทุกโครงการ, 24Hour Facilities กับ Sky Lounge พื้นที่ประชุมและสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ควบคู่กับการชมวิวเมืองผ่านกระจกโค้งแบบ Panorama Active Gym ออกกำลังกายสุดล้ำกับ VR Planking Machine อุปกรณ์ฟิตเนสสุดทันสมัยกับเครื่อง ICAROS ที่ใช้นวัตกรรม AI มาเป็นส่วนหนึ่งของการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ และ Virtual Exercise Room กับคลาสออกกำลังกายแบบไลฟ์สดกับเทรนเนอร์ หรือคลาสแบบออฟ์ไลน์ โดยร่วมกับ We Fitness สำหรับลูกบ้าน XT EKKAMAI โดยเฉพาะ รวมทั้งว่ายน้ำ หรือเอ็นจอยไปกับการดู Netflix กับกลุ่มเพื่อนที่ Outdoor Theatre ที่ Sky Lap Pool สระว่ายน้ำความยาวมาตรฐานโอลิมปิก 50 เมตร กับวิวเมือง 270 องศา
เอกมัยทำเลทองด้านการอยู่อาศัย-ปล่อยเช่า รายล้อมด้วยแหล่งทำงานและแหล่งไลฟ์สไตล์กลางเมือง
‘เอกมัย’ 1 ในย่าน Central Millennial District (CMD) ที่แสนสิริคัดสรรที่ดินแปลงเด็ดในสุดยอดทำเลมัดใจคนรุ่นใหม่ สะดวกทั้งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีเอกมัย เชื่อมต่อย่านธุรกิจและแหล่งงานในโซนสุขุมวิทและย่านเพชรบุรี ขณะเดียวกันยังสามารถเดินทางสู่แหล่งงานแห่งใหม่ในโซนบางนา และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและแหล่งไลฟ์สไตล์ของย่านเอกมัยและทองหล่ออีกมากมากย อาทิ โรงพยาบาลสุขุมวิท, โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงเรียนนานาชาติ เอกมัย, ศูนย์การค้า ดองกิ มอลล์ ทองหล่อ (Donki Mall Thonglor), ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย (Gateway Ekamai), ศูนย์การค้าเจ อเวนิว ทองหล่อ (J Avenue Thonglor) และแหล่งแฮงค์เอ้าท์นั่งชิลล์หลังเลิกงานอย่าง เวิ้งโบราณ เอกมัย, The Cassette Music Bar Ekamai และ Kiki Korean Bar (เอกมัย)
พิเศษส่งท้ายปี! XT EKKAMAI ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่แห่งแรกในไทยในราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท มาพร้อมกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ผ่อนแบบไม่เสียดอกเบี้ย เพียง 2,999 บาท นาน 24 เดือน และโบนัสให้ไปเต็ม ๆ สูงสุด 150,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ธันวาคมนี้ พร้อมรับประกันสุขภาพจากวิริยะประกันภัยเพื่อชีวิตดีดีของทุกคน กับสิทธิพิเศษความคุ้มครองสูงสุดถึง 770,000 บาท ที่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำเครือ BDMS
“XT EKKAMAI เป็นไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ของแสนสิริโครงการแรกในไทย ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการสร้างสรรค์แบรนด์ XT อย่างตั้งใจ จากการศึกษา Customer Insight ผ่านกระบวนการด้านดีไซน์ (Design Thinking Process) เพื่อพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ กับ 3 จุดเด่นให้ลูกบ้านค้นหาไลฟ์สไตล์ที่ใช่อย่างไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่ อิสระในการเลือกรูปแบบห้องได้ตามใจ พร้อมแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Space ในทุกโครงการ XT รวมทั้งการมอบสิทธิพิเศษเฉพาะ ‘XT Experience Privilege’ สำหรับลูกบ้าน XT อันเป็นจุดเด่นที่สร้างความแตกต่างของแบรนด์ที่โดดเด่นโดนใจลูกค้าและการส่งมอบการใช้ชีวิตดีดีของทุกคนแบบ Made for Life ในแบบฉบับของคนรุ่นใหม่” อู้ พหลโยธิน กล่าวสรุป
#Sansiri #XTEkkamai #ExtendYourStyle #MadeForLife
“PROGRESS” ก้าวไปข้างหน้าด้วยคุณค่าในแบบของตัวเอง
Keds (เคดส์) รองเท้าสนีกเกอร์ผู้หญิงจากอเมริกา ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1916 และเป็นแบรนด์แรกที่ใช้ชื่อเรียกว่า “Sneaker” (สนีกเกอร์) โดย Henry Nelson McKinney ตัวแทนของบริษัทโฆษณา N. W. Ayer & Son คำว่า Sneaker ถูกให้ความหมายว่าเป็นรองเท้าที่มีพื้นยางนุ่ม และไม่มีเสียง ทำให้ผู้สวมใส่สามารถ "แอบย่องหนี" ออกไปเที่ยวได้ รองเท้า Keds ได้ผลิตมาจากยางล้อรถ ในปี ค.ศ.1892 โดยบริษัท US Rubber Company จากนั้นเป็นเวลาหลายสิบปีที่ Keds ได้กลายเป็นรองเท้าคู่โปรดของนักแสดง ดารา เซเลบริตี้ นักกีฬา ตลอดจนแฟชั่นไอคอน ไม่ว่าจะเป็น ออเดรย์ เฮปเบิร์น, มาริลิน มอนโร, แจ็กเกอลีน เคนเนดี โอนาสซิ และโยโกะ โอโนะเป็นต้น
อาจพูดได้ว่า “Keds คือแม่ทุกสถาบันของ Sneakers” นั่นเอง…
ในปี 1916 ยุคที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และผู้หญิงยังถูกกดขี่ให้อยู่ในกรอบจารีตประเพณี Keds ไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์รองเท้าสำหรับผู้หญิง แต่เป็นแบรนด์ที่ริเริ่มผลักดัน และสนับสนุนให้ผู้หญิงมีสิทธิเสรีภาพ กล้าที่จะออกจากกรอบและขนบแบบเดิมๆ โดยเริ่มจากการทำหนังสือออกมาในชื่อว่า “Hand-Book for Girls” ซึ่งเนื้อหาภายในเล่มเป็นการให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กสาววัยรุ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปฏิรูปแนวคิดเกี่ยวกับผู้หญิงในยุคนั้นเลยทีเดียว ในปี 2020 Keds อยากตอกย้ำความเป็นแบรนด์ที่ยังคงสนับสนุนให้ผู้หญิงมีคุณค่าในแบบของตัวเอง จึงได้นำแคมเปญ “Hand-Book for Girls” มาปัดฝุ่นใหม่โดยการปรับเป็น “Hand-Book for Women” เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้หญิงทุกเพศทุกวัย และเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยจึงจัดทำในรูปแบบดิจิตอล และกำหนดแนวทางการนำเสนอเนื้อหาใหม่ เป็นการนำเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของผู้หญิงทั่วทุกมุมโลก พวกเธอไม่ใช่คนดัง หรือไอดอลสวยหรู แต่มีอัตลักษณ์ ความเชื่อมั่น และประสบความสำเร็จบนเส้นทางในแบบของตัวเอง พร้อมรวบรวมภาพรองเท้า Keds ประจำซีซั่นที่ปรากฎในเรื่องราวของผู้หญิงแต่ละคนควบคู่ไปอีกด้วย
แคมเปญ “Hand-Book for Women” มีการเปลี่ยนธีมประจำซีซั่นที่แตกต่างกันออกไป โดย Autumn/Winter 2020 นี้ Keds ใช้ชื่อธีมว่า “Progress” โดยทางแบรนด์ได้คัดเลือกผู้หญิง 13 คน จาก 5 ประเทศ มาถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเธอผ่านบทสัมภาษณ์และภาพถ่ายยามสวมใส่รองเท้า Keds คู่โปรดเพื่อสะท้อนสไตล์ที่เป็นตัวเอง โดย 1 ใน 13 คนนั้นมีชื่อของสาวไทยอย่าง “โรส- พวงสร้อย อักษรสว่าง” ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง นคร-สวรรค์ (Nakorn-Sawan) ร่วมอยู่ด้วย โรสเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ ควบคู่กับการเป็นนักเขียนบท และกำลังมีชื่อเสียงในแวดวงภาพยนตร์ไทยในขณะนี้
โรส-พวงสร้อย อักษรสวรรค์ เป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่สามารถยืนอยู่ในแวดวงผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยถูกจำกัดไว้ให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น โรสเริ่มกรุยทางสู่วงการแผ่นฟิล์มด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ให้เจ้าพ่อสายอินดี้อย่าง เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ในภาพยนตร์เรื่อง “36” ก่อนตัดสินใจบินไปศึกษาต่อด้านภาพยนตร์ที่ประเทศเยอรมนี โดยระหว่างนั้นเธอได้แสดงทักษะการเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ ด้วยการเขียนพ็อกเก็ตบุ๊ค “My Best Friend is Me” และได้นำการสื่อสารระหว่างแม่กับตัวเธอตลอดเวลา 4 ปีที่อยู่ต่างแดน มาเป็นแรงบันดาลใจในการกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกชื่อว่า “นคร-สวรรค์” และได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ (Busan international Film Festival 2018) ทำให้ชื่อของโรส -พวงสร้อย อักษรสวรรค์ ขึ้นแท่นผู้กำกับฯ หญิงไทย ที่มีฝีมือโดดเด่น และน่าจับตามอง ล่าสุดโรสได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “One For The Road” ที่เป็น การร่วมมือระหว่าง บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ และ หว่อง กาไว เจ้าพ่อหนังอาร์ตระดับฮอลลีวู้ด ซึ่งเรื่องราวของโรสนี้ได้ถูกหยิบยกมาเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงมี “PROGRESS” ในแบบของตัวเอง
“สิ่งที่เราอยากแนะนำผู้กำกับภาพยนตร์หญิงรุ่นใหม่ทุกคน คือการเล่าเรื่องราวในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ สิ่งที่ตัวเองรู้สึกจริงใจกับมัน ถ้าคุณรู้สึกเชื่อในเรื่องรักๆ ก็ทำเลย อย่าให้ความคิดของคนอื่นมารั้งให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ เชื่อในเส้นทางและเรื่องราวของตัวเอง พยายามมองหาโอกาสแล้วลงมือทำ อีกอย่างคือ การมีแค่ไอเดียอย่างเดียวไม่พอ เราต้องหาทางที่จะแชร์เรื่องราวของเราด้วย เช่น เทศกาลหนังต่างๆ เพื่อให้คนอื่นได้เห็นผลงานของเราด้วย”
“อย่าให้ความคิดของคนอื่นมารั้งให้เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ เชื่อในเส้นทางและเรื่องราวของตัวเอง พยายามมองหาโอกาสแล้วลงมือทำ” (คำโปรย)
ลาซาด้า ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของไทย สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการอีคอมเมิร์ซ จับมือนิตยสารแอล ประเทศไทย (ELLE Thailand) สร้างมิติใหม่ให้อุตสาหกรรมแฟชั่น จัดงาน ‘ELLE Digital Fashion Week 2020 Powered by Lazada’ ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ Virtual Runway เต็มรูปแบบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Front Row at Home ถ่ายทอดสดในรูปแบบไลฟ์สตรีมมิ่งผ่าน LazLive ฟีเจอร์ไลฟ์สตรีมบนแอพพลิเคชั่นของลาซาด้า ตอกย้ำกลยุทธ์ ‘Shoppertainment’ พร้อมคอนเซ็ปต์ ‘See Now Buy Now’ ที่ลูกค้าสามารถชมและช้อปสินค้าผ่านสมาร์ทโฟนไปในคราวเดียวกัน อย่าพลาดในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับนวัตกรรมที่พลิกโฉมวงการแฟชั่น 2 – 4 ตุลาคม นี้เท่านั้น
ธนิดา ซุยวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ลาซาด้ามุ่งมั่นสนับสนุนวงการแฟชั่นไทยและต่อยอดความสำเร็จของ Lazada Thai Designer Club ด้วยการสานต่อความร่วมมือใหม่ๆ อยู่เสมอ และเป็นอีกครั้งที่ลาซาด้าจับมือกับสมาคมแฟชั่นดีไซเนอร์กรุงเทพฯ (Bangkok Fashion Society) หรือ BFS ร่วมเปิดตัวคอลเลกชัน Autumn / Winter จาก 7 แบรนด์ดีไซเนอร์ชั้นนำของไทยที่วางจำหน่ายออนไลน์เอ็กซ์คลูซีฟที่เดียวในลาซาด้า ได้แก่ ASV, ISSUE, Kloset , Milin, PAINKILLER, T AND T และ Vickteerut นำเสนอแฟชั่นโชว์ในรูปแบบของ Virtual Runway ผ่าน LazLive พร้อมฟีเจอร์ ‘See Now Buy Now’ ให้ผู้ชมสามารถซื้อสินค้าได้ทันทีระหว่างที่ชมโชว์ ตอกย้ำกลยุทธ์ Shoppertainment ที่แข็งแกร่งของลาซาด้า ELLE Digital Fashion Week 2020 Powered by Lazada จึงถือเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่สนับสนุนให้แบรนด์ไทยเติบโตไปอีกขั้นบนแพลตฟอร์มของลาซาด้า ด้วยการต่อยอดทำสิ่งใหม่ๆ ให้ทั้งลูกค้าและแบรนด์ได้รับประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีที่สุดร่วมกัน”
ภูมิจิต พลางกูร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย จำกัด เผยว่า “นิตยสารแอลมุ่งมั่นสนับสนุนอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมาโดยตลอด แอล แฟชั่นวีคจึงเป็นเวทีให้ดีไซเนอร์ไทยได้แสดงศักยภาพและโชว์ผลงานสร้างสรรค์ยิ่งใหญ่เทียบเท่าระดับสากล ในปีนี้ ELLE Digital Fashion Week 2020 Powered by Lazada นำเสนอในรูปแบบ Virtual Runway เต็มรูปแบบ สร้างสรรค์แฟชั่นโชว์รูปแบบใหม่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยไปอีกขั้นด้วย”
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่พลิกโฉมวงการแฟชั่นไทยครั้งยิ่งใหญ่กับ ELLE Digital Fashion Week 2020 Powered by Lazada ผ่าน LazLive ฟีเจอร์ไลฟ์สตรีมบนแอพพลิเคชั่นของลาซาด้า พร้อมเก็บคูปองส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 1,800 บาท และติดตามโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมายได้ระหว่างไลฟ์ ตั้งแต่ 2-4 ตุลาคม 2563 เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป
ติดตามรายละเอียดแคมเปญ เพียงค้นหาคำว่า ELLE Fashion Week บนช่อง 'ค้นหา' ในแอป Lazada หรือคลิก https://bit.ly/3c1dS7G
#EDFW2020 #EDFW2020ByLazada #FrontRowAtHome #LazadaThaiDesignerClub
บริษัท Casio Computer Co., Ltd. เปิดตัวนาฬิกา G-SHOCK รุ่นใหม่ล่าสุด “MTG-B2000” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนาฬิกาซีรีส์ MT-G ที่ขึ้นชื่อเรื่องงานประกอบ ด้วยการผสมผสานคุณสมบัติชั้นยอดของโลหะและเรซินเข้าด้วยกัน โดย MTG-B2000 มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ นั่นคือ โครงสร้างแบบ Dual Core Guard ที่ขับเน้นความสวยงามพร้อมให้สัมผัสของโลหะ โดยยังคงตัวเรือนขนาดกลางเอาไว้
นาฬิกา MTG-B2000 ใช้โครงสร้างใหม่ Dual Core Guard ที่เหนือกว่าโครงสร้างเดิมอย่าง Metal Core Guard แบบที่ใช้ในนาฬิกา MT-G รุ่นก่อน ๆ โดยตัวเรือนทำจากเรซินเสริมความแข็งแกร่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงทนทาน โครงสร้าง Dual Structure ประกอบด้วยตัวเรือนคาร์บอนซึ่งทำหน้าที่ผสานตัวเรือนด้านหน้าและด้านหลังเข้าด้วยกันอย่างแนบสนิท ล้อมทับด้วยกรอบโลหะ เสริมลุคนาฬิกาโลหะเรียบหรูเมื่อมองจากด้านบนและด้านข้าง โครงสร้างใหม่นี้ช่วยเผยให้เห็นผิวของโลหะมากขึ้น โดยยังคงตัวเรือนขนาดกลางและน้ำหนักเบาน่าสวมใส่เหมือนรุ่น MTG-B1000 ที่เปิดตัวเมื่อปี 2018 นอกจากนี้ MTG-B2000 ยังมีฟีเจอร์ Triple G Resist ที่ป้องกันแรงกระแทกจากการตกหล่น แรงเหวี่ยง และแรงสั่นสะเทือน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับนาฬิกา
นาฬิการุ่น MTG-B2000BD และ MTG-B2000D มาพร้อมสายแบบใหม่ที่มีส่วนผสมของเรซินมากขึ้น ประกอบเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะ และมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนราว 15%* ส่วนรุ่น MTG-B2000B มาพร้อมสายซอฟต์ยูรีเทนสวมใส่กระชับรับกับข้อมือ ทั้งยังขับเน้นภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของนาฬิกาด้วย * MTG-B1000D (เปิดตัวปี 2018)
นาฬิการุ่นใหม่เหล่านี้เป็นรุ่นแรกในซีรีส์ MT-G ที่ใช้มอเตอร์แบบ Dual Coil สามตัวเพื่อควบคุมเข็มนาฬิกา มาพร้อมคุณสมบัติในการรับสัญญาณคลื่นวิทยุเพื่อปรับเทียบเวลา ทั้งยังปรับเวลาได้อัตโนมัติเมื่อจับคู่กับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนั้นยังสามารถปรับเวลาอัตโนมัติเมื่อเดินทางข้ามโซนเวลา โดยผู้สวมใส่ไม่จำเป็นต้องตั้งเวลาเอง คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ MTG-B2000 เป็นนาฬิกาป้องกันแรงสั่นสะเทือนในอุดมคติและตอบสนองการใช้งานทางธุรกิจได้อย่างลงตัว
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ G-SHOCK: https://world.g-shock.com/
แฟลชไดรฟ์สำหรับนักสะสมเพื่อแทนความหมายของแรงบันดาลใจจากกีฬา
Kingston Technology ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ USB รุ่นพิเศษจำนวนจำกัดที่ได้แรงบันดาลใจจากแบดมินตันอันเป็นกีฬายอดนิยมในหมู่ชาวไทย เพื่อใช้เก็บบันทึกความทรงจำดีๆ ในรูปลักษณ์ไม่ซ้ำใคร โดยแฟลชไดรฟ์รุ่นพิเศษนี้จัดทำเพื่อเป็นของสะสมสำหรับผู้หลงใหลในกีฬาลูกขนไก่ และเพื่อฉลองความสำเร็จของวงการแบดมินตันไทยบนสนามแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเอเชียนเกมส์ และ BWF World Championships ที่มีนักกีฬาชาวไทยเคยคว้าเหรียญรางวัลต่างๆ มาแล้วเป็นจำนวนมาก
รูปทรงแฟลชไดรฟ์รุ่นพิเศษนี้ได้แรงบันดาลใจจากลูกขนไก่ พร้อมการออกแบบงดงามอย่างลงตัว ด้วยดีไซน์มินิมอลของลวดลายขนไก่ที่นุ่มนวล เผยถึงความประณีตและการใส่ใจในคุณภาพรายละเอียดของ Kingston พร้อมพวงกุญแจทำจากยางรูป Kingston Rex สีแดงสดอันเป็นมาสคอตของแบรนด์ เพื่อช่วยให้พกพาแฟลชไดรฟ์ไว้กับตัวได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะใส่พวงกุญแจหรือห้อยกับกระเป๋า แฟลชไดรฟ์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีพร้อมใช้งานหลากหลายด้วยความจุ 64GB1 และประสิทธิภาพของ USB 3.2 เจนเนอเรชั่นที่ 12 ไม่ว่าจะสะสมไว้เองหรือมอบเป็นของขวัญแก่คนรักกีฬาแบดมินตันก็รับรองว่าจะสามารถใช้เก็บบันทึกความทรงจำได้ในทุกที่ทุกเวลา
นายเควิน วู รองประธานฝ่านการขาย การตลาด และพัฒนาธุรกิจ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Kingston กล่าวว่า “กีฬาแบดมินตันนับว่ามีความผูกพันกับคนไทยอย่างยาวนาน และมีนักกีฬาชาวไทยที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกมาแล้วมากมาย โดย Kingston เป็นแบรนด์ชั้นนำด้านการบันทึกและถ่ายทอดความทรงจำที่ดีของผู้คน เราจึงบรรจงสร้างแฟลชไดรฟ์รุ่นพิเศษนี้ขึ้นแทนความหมายของผู้รักในกีฬาแบดมินตันทุกคน และร่วมส่งต่อแรงบันดาลใจจากการเล่นกีฬาผ่านเทคโนโลยีอุปกรณ์เก็บบันทึกของ Kingston โดยแฟลชไดรฟ์รุ่นพิเศษจำนวนจำกัดนี้จะช่วยให้ผู้คนได้สร้างความทรงจำดีๆ ที่มีความหมายและเก็บบันทึกความหลงใหลในการเล่นกีฬา”
เป็นเจ้าของแฟลชไดรฟ์ USB แบดมินตันรุ่นพิเศษนี้ได้ผ่านทางร้านค้าตัวแทนจำหน่ายหรือร้านออนไลน์ของ Kingston ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนเป็นต้นไป ราคาวางจำหน่าย 650 บาท พร้อมการรับประกันระยะเวลา 5 ปี และการสนับสนุนทางเทคนิคจาก Kingston ผู้นำด้านความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยีหน่วยความจำมาอย่างยาวนาน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://kings.tn/BadmintonUSBDrive
สามารถติดตาม Kingston ได้ที่: Facebook: https://www.facebook.com/kingstonthailand/ YouTube: http://www.youtube.com/user/KingstonAPAC
เผมโฉมบรรดารองเท้ารุ่นใหม่จากครอบครัว Birkenstock (เบอร์เคนสต๊อก) ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ทั้งรองเท้าสำหรับสายผจญภัย, สายท่องเที่ยว ไปจนถึงสายแฟชั่น แต่ไม่ว่าจะเป็นสายไหน เบอร์เคนสต๊อกยังคงใส่เอกลักษณ์ของแบรนด์คือ Footbed พื้นรองเท้าด้านในที่มีรูปร่างทางกายวิภาคพร้อมองค์ประกอบรองรับพิเศษ การออกแบบที่ได้รับการวิเคราะห์และรังสรรค์อย่างถี่ถ้วน แม้ว่าจะเป็นรายละเอียดที่เล็กที่สุด พร้อมเลียนแบบรอยเท้าตามธรรมชาติบนพื้นทรายช่วยให้เท้าของคุณรู้สึกสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นได้แม้จะยืนอยู่อย่างชั่วโมงก็ตาม เทคโนโลยีนี้ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้สวมใส่ดียิ่งขึ้น
รองเท้ารุ่นใหม่มีด้วยกัน 7 รุ่น ได้แก่ รุ่น Kyoto, Tema, Arizona Blossom White, Arizona Black White Pop, Adventure Tatacoa, Suede Arizona Suede และ EVA Barbados
● Kyoto (ราคาคู่ละ 5,290 บาท)
รองเท้ารุ่นพิเศษที่แฟนๆ เบอร์เคนสต๊อกต่างตั้งตารอคอยอย่างรุ่น Kyoto ที่นำรองเท้ารุ่นยอดนิยมอย่าง Zurich (ซูริค) มาออกแบบให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น มาพร้อมขอเกี่ยวที่ใช้งานได้หลากหลายและสายรัดที่แนบสนิทไปกับตัวรองเท้า รวมไปถึงยังใช้หนังกลับชนิดนิ่มมาเป็นวัสดุในการทำตัวรองเท้าและพื้นรองเท้าด้านในด้วย ในส่วนของพื้นรองเท้ายังคงเป็น Footbed อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ มีให้เลือกด้วยกัน 2 เฉดสี ได้แก่สี Ultra-Blue และสี Sand
● Arizona Blossom White (ราคาคู่ละ 3,690 บาท)
เพิ่มความสดใสให้กับสาวๆ ที่ชื่นชมรองเท้าลายพิมพ์และสไตล์เฟมินิลด้วยรุ่น Arizona Blossom White โดยการนำรองเท้ารุ่นยอดนิยมของแบรนด์อย่าง Arizona มาแต่งแต้มลายพิมพ์ดอกซากุระสีชมพูแซมใบสีเขียว (ออกแบบด้วยการร่างมือ) ลงบนพื้น Birko - Flor สีขาว เข้ากันได้ดีกับหัวเข็มขัดสายรัดสีเดียวกัน อีกทั้งบริเวณพื้นรองเท้าด้านในบุด้วยหนังกลับชนิดนิ่ม ช่วยให้การสวมใส่นุ่มสบายมากยิ่งขึ้น
● Arizona Black White Pop (ราคาคู่ละ 3,690 บาท)
เอาใจสายแฟฯ ผู้รักงานดีไซน์และความสบายยามสวมใส่ ด้วยรองเท้ารุ่น Arizona Black White Pop ที่นำรุ่นยอดนิยมตลอดกาลอย่างรุ่น Arizona มาเพิ่มดีไซน์ให้ดูโดดเด่นสะดุดตาและทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยลายพิมพ์โพก้าดอทพร้อมหัวเข็มขัดสายรัดสีเหลืองสดใสที่ตัดกับพื้นรองเท้าสีน้ำเงิน สามารถเรียกได้ว่าเป็นรองเท้าเบอร์เคนสต๊อกที่ทั้งใส่สบายและมีความฟั้งกี้ในคู่เดียวกัน มีให้เลือก 2 เฉดสี ได้แก่ พื้นสีดำลายจุดขาว และพื้นสีขาวลายจุดดำ
● Tema (ราคาคู่ละ 4,290 บาท)
น้องใหม่ล่าสุดที่จะมาทำให้การพักร้อนของคุณดูมินิมอลและเคลื่อนไหวได้คล่องตัว กับรองเท้ารุ่น Next Gen Tema ที่มาพร้อมพื้นรองเท้าด้านในที่ผลิตจากไมโครไฟเบอร์และนำมาบุลงบน footbed ไม้ค็อกที่รองพื้นด้วยไมโครไฟเบอร์อีกหนึ่งชั้น จึงการันตีได้ถึงความใส่สบาย อีกทั้งบริเวณสายคาดด้านหน้ายังสามารถปรับขนาดได้ตามรูปเท้าของผู้สวมใส่ได้ด้วย มีให้เลือกด้วยกัน 3 เฉดสี ได้แก่ สี Rose, Desert Sage และ Ultra-Blue
● Adventure Tatacoa (ราคาคู่ละ 6,490 บาท)
เอาใจสายแฟชั่นกันไปแล้ว รุ่นนี้เราขอตอบโจทย์คนรักการท่องเที่ยวแนวแอดเวนเจอร์กันบ้าง ด้วยรองเท้ารุ่น Adventure Tatacoa ที่ออกแบบพื้นรองเท้าชั้นนอกด้วยเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน (TPU) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ยึดเกาะเทรลได้ดีขึ้น ใช้วิธีการผลิตแบบฉีดตรงไม่ติดกาวช่วยให้การปกป้องและอายุการใช้งานที่ยืนยาวมากขึ้น พื้นรองเท้าชั้นนอกยืดหยุ่นกว่าพื้นรองเท้าชั้นนอกของรุ่น Classic Birkenstock EVA อีกทั้งการม้วนตัวของรองเท้ายังเป็นแบบไดนามิก ออกแบบให้บริเวณส้นรองเท้าและสปริงช่วงปลายเท้าทนต่อการเสียดสีได้สูงขึ้น ช่วง Footbed ทำจากไมโครไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติดูดซับและขจัดความชื้นได้ดีช่วยให้ฝ่าเท้าแห้งไม่อับชื้น ช่วงตะขอกับสายรัดรองเท้าทั้งบริเวณหน้าเท้าและส้นเท้ามีความพอเหมาะ สามารถปรับระดับได้อย่างรวดเร็ว รองเท้ารุ่นนี้การันตีได้ว่าสามารถปรับให้พอดีกับเท้าของผู้หญิงที่แคบมากได้
● Suede Arizona Suede (ราคาคู่ละ 4,290 บาท)
รองเท้ารุ่นพิเศษที่นำหนังกลับชนิดนุ่มประสานเข้ากับพื้นรองเท้าหนังกลับบน footbed อันเป็นเอกลักษณ์ของเบอร์เคนสต๊อก ทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีพื้นรองเท้าที่นุ่มสบายมากขึ้นกว่า Arizona รุ่นปกติ มาพร้อมโทนสีหวาน 3 เฉดสี ได้แก่ สี light blue, light rose และ Ochre
● EVA Barbados (ราคาคู่ละ 1,590 บาท)
Barbados (บาร์บาโดส) รองเท้าน้องใหม่จากตระกูล EVA ที่ออกแบบมาสำหรับรับหน้าร้อนหรือไปท่องเที่ยวริมชายทะเล รุ่นบาร์บาโดสนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้ใส่สายสปอร์ตและแอคทีฟ ซึ่งกำลังมองหารูปลักษณ์ที่สวมใส่ง่ายและน้ำหนักเบา จุดเด่นอยู่ตรงสายคาดรองเท้าพิมพ์ลวดลายหกเหลี่ยมและโลโก้ Birkenstock ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเสื้อผ้ากีฬา มีให้เลือกถึง 5 เฉดสี ได้แก่ สีขาว, ดำ, Navy, Zinnia และ Beetroot Purple
คลิกเข้าไปช้อปฯ รองเท้ารุ่นล่าสุดได้แล้วที่เว็ปไซต์ www.ikonthailand.com
เว็บไซต์นี้มีการเก็บ Cookies เพื่อปรับปรุงการให้บริการ จิ้มดู นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม