

วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีเหตุผลมากมายที่ผู้ใช้งานในปัจจุบันเลือกที่จะยอมเปลี่ยนจากอุปกรณ์เครื่องเก่าที่ไม่ตอบโจทย์ แล้วอัปเกรดมาเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีโดนๆ ให้ก้าวทันกับเทรนด์โลกที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ วันนี้ Vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำระดับโลก จะพาไปส่อง 5 เหตุผลสำคัญ ว่าทำไมคุณถึงจะต้องบอกลาสมาร์ตโฟนเครื่องเก่า และเตรียมเป็นเจ้าของนวัตกรรมใหม่ๆ ในงบประมาณที่ไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท!
1. ยุคแห่งการสร้างสรรค์คอนเทนต์
ในยุคที่ผู้คนเชื่อมต่อกันผ่านสังคมออนไลน์มากขึ้น มีการสร้างสรรค์คอนเทนต์แปลกใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้น อุปกรณ์สมาร์ตโฟนของเราต้องพร้อมสร้างสรรค์และรับชมทุกเทรนด์คอนเทนต์ที่กำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัย ทั้ง กล้องหน้า กล้องหลัง หน้าจอ แบตเตอรี่ การเชื่อมต่อสัญญาณ และฟีเจอร์อื่นๆ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คอนเทนต์บนโลกออนไลน์ของเราโดดเด่นไม่แพ้ใคร
2. เตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคการเชื่อมต่อ 5G แบบเต็มตัว
บอกลาการเชื่อมต่อแบบเดิมๆ เตรียมพร้อมเข้าสู่ยุค 5G อย่างเต็มรูปแบบ กับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่รองรับทุกความถี่ในประเทศไทย ทั้ง 4G และ 5G ไม่ว่าจะอัปโหลด หรือดาวน์โหลด รับรองว่าผู้ใช้งานจะไม่พลาดทุกการติดต่อ พร้อมอัปเดตข้อมูลข่าวสาร คอนเทนต์ และเรื่องราวจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในมือได้อย่างง่ายดายในความเร็วระดับวินาที จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นี่คือยุคของสมาร์ตโฟน 5G อย่างแท้จริง
3. สนุกได้ทั้งวัน หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่
แม้จะอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์สุดล้ำ แต่หากสมาร์ตโฟนไม่มีความจุแบตเตอรี่ที่มากพอ ผู้ใช้งานอาจจะไม่ได้รับประสบการณ์เทคโนโลยีสุดล้ำอย่างเต็มที่ ดังนั้น สมาร์ตโฟนยุคใหม่จึงจำเป็นต้องมีความจุแบตเตอรี่มากเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวันโดยที่ไม่ต้องพกพาแบตเตอรี่สำรองหรือสายชาร์จให้หนักกระเป๋าอีกต่อไป
4. ใช้งานได้อย่างมั่นใจ ไม่อายใคร กับดีไซน์ที่โดดเด่น
นอกจากเรื่องเทคโนโลยีและฟีเจอร์ที่ล้ำหน้าแล้ว เรื่องการดีไซน์และออกแบบสมาร์ตโฟนถือเป็นปัจจัยหลักๆ ที่ผู้ใช้งานนำมาประกอบการตัดสินใจซื้อสมาร์ตโฟนใหม่สักเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอความละเอียดสูงขนาดใหญ่เต็มตา ให้ภาพคมชัด ตัวเครื่องบาง น้ำหนักเบา ผลิตจากวัสดุพรีเมียม เหมาะกับการพกพาติดตัวไปทุกที่ ตลอดจนสีสันของตัวเครื่องที่โดดเด่นบ่งบอกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว รวมทั้งการจัดวางเลย์เอาต์ของกล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่ช่วยให้สัดส่วนของตัวเครื่องดูสวยงามทุกการสัมผัส
5. สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำของเทคโนโลยี ในราคาสบายกระเป๋า
เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสมาร์ตโฟนระดับแฟล็กชิปเสมอไป Vivo Y72 5G อัดแน่นด้วยสุดยอดฟีเจอร์ระดับพรีเมียม ให้ผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่มได้สัมผัสประสบการณ์นวัตกรรมชั้นนำอย่างเต็มประสิทธิภาพ คุ้มค่า คุ้มราคา จัดเต็มมาครบทุกฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบันทั้งตัวซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก
Vivo Y72 5G มาพร้อมกับเทคโนโลยีรองรับการเชื่อมต่อ 5G พร้อมแนวคิด ‘5G เข้าถึงทุกที่ ทุกเวลา’ เพื่อมอบประสบการณ์สุดลื่นไหลในทุกสถานการณ์ เก็บทุกภาพความประทับใจด้วยกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพได้คมชัดทุกท่วงท่า เลนส์มุมกว้างพิเศษ Super Wide-Angle (120 องศา) ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เก็บภาพได้กว้างสะใจทุกองศา และเลนส์ Super Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สร้างสรรค์สิ่งเล็กๆ รอบตัวให้มีชีวิตชีวามากขึ้น พร้อมรองรับฟีเจอร์ Super Night Mode, Super Night Selfie,โหมดกันสั่น EIS และ Eye Autofocus นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ RAM 8 GB และ ROM 128 GB พร้อมทำงานด้วยชิปประมวลผล MediaTek Dimensity 700 รุ่นล่าสุด เต็มที่กับทุกกิจกรรมตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ 5,000 มิลลิแอมป์ พร้อมรองรับการชาร์จเร็ว 18W มีให้เลือกสองสี ได้แก่ Graphite Black และ Dream Glow สวยโดดเด่น เปล่งประกายหลากหลายมิติ Vivo Y72 5G เปิดให้เป็นเจ้าของอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ที่ราคา 9,999 บาท ณ Vivo Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดอื่นๆ และโปรโมชันพิเศษเพิ่มเติมได้ที่https://www.vivo.com/th
เมื่ออดีตมาบรรจบกับปัจจุบันในปี 2021... ถึงเวลาแล้วที่ Captain Cook นาฬิการุ่นเอกของ Rado จะเปิดตัวในวัสดุชั้นเลิศที่ผู้เชี่ยวชาญวัสดุให้การยอมรับ นั่นคือ ไฮเทคเซรามิก (High-Tech Ceramic)
ในปีค.ศ.2021 ถือเป็นปีแห่งความหวังและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในโอกาสนี้เอง Rado อยากให้คุณได้สัมผัสกับนาฬิกาเรือนพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา Rado ได้วิจัยและพัฒนานาฬิการุ่น Captain Cook High-Tech Ceramic โดยยังคงให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์และรูปแบบดั้งเดิมของ Rado Captain Cook อยู่เช่นเคย
การพัฒนาต่อยอดจากคอลเล็กชั่น Captain Cook ในครั้งนี้มีการนำไฮเทคเซรามิกซึ่งถือเป็น DNA ที่แท้จริงของ Rado มาใช้ นอกจากนี้ Rado ยังประสบความสำเร็จในการนำนวัตกรรมไฮเทคเซรามิกมาหล่อเป็นตัวเรือนแบบชิ้นเดียว อีกทั้งคุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วนและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ส่วนภายในมาพร้อมกลไกระดับพรีเมี่ยมของแบรนด์ นั่นคือ คาลิเบอร์ (Calibre) R734 และขดลวดขนาดเล็ก NivachronTM Hairspring ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรม อันยอดเยี่ยมของ Rado เพราะ NivachronTM มีคุณสมบัติช่วยปกป้องนาฬิกาจากสนามแม่เหล็กรอบๆ ตัวในชีวิตประจำวันของเราได้อีกด้วย
สำหรับ Captain Cook ในตัวเรือนเซรามิก ได้นำมาเผยโฉมครั้งแรกในปีนี้ ในขนาด 43 มม. มีทั้งหมด 4 โมเดลด้วยกัน เริ่มจากโมเดลแรก ตัวเรือนและสายนาฬิกาทำจากไฮเทคเซรามิกสีดำ กรอบหน้าปัดแบบหมุนได้เป็นสแตนเลสชนิดที่มีความแข็งแรงคงทน ตัวอินเสิร์ตของนาฬิกาใช้ไฮเทคเซรามิกสีดำเช่นกัน โมเดลที่สองใช้ตัวเรือนและหน้าปัดเหมือนโมเดลแรก แต่สายนาฬิกาเป็นยาง สำหรับคนที่อยากใส่นาฬิกาแมตช์กับลุคสบายๆ ไม่ทางการมากนัก ส่วนโมเดลที่สาม ตัวเรือนและสายทำจากไฮเทคเซรามิกสีดำ กรอบหน้าปัดแบบหมุนได้เคลือบ PVD สีโรสโกลด์ดูมีระดับตัวอินเสิร์ตใช้ไฮเทคเซรามิกสีดำ สำหรับโมเดลรุ่นสุดท้าย โดดเด่นด้วยตัวเรือนกับสายนาฬิกาที่เป็นพลาสม่าไฮเทคเซรามิกสีดำ กรอบหน้าปัดเป็นสแตนเลสชนิดแข็งแรงเป็นพิเศษ อินเสิร์ตนาฬิกาใช้ไฮเทคเซรามิกสีน้ำเงิน
Rado Captain Cook High-Tech Ceramic ไม่ได้มีเพียงความสวยงามและหรูหราเท่านั้น แต่รูปโฉมที่ดีนี้มาพร้อมประสิทธิภาพเหนือระดับ ด้วยกลไก Calibre R734 มีพลังงานสำรองให้สูงถึง 80 ชั่วโมง กันน้ำได้ในระดับ 30 บาร์ (300 เมตร) เมื่อมองลึกลงไปถึงพื้นหลังของหน้าปัดและตัวเรือนที่เป็นคริสตัลแซฟไฟล์สีดำ จะได้เห็นกลไกการทำงานข้างใน การขยับของฟันเฟืองต่างๆ โดยที่ขณะเดียวกันกลับไม่รบกวนสายตาในการดูเวลาบนหน้าปัดแต่อย่างใด เพราะทั้งสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนกรอบหน้าปัด เข็มนาฬิกา และลูกศรขนาดใหญ่บนเข็มนาฬิกาประจำรุ่น Captain Cook นั้นแต่งแต้มด้วยพรายน้ำ SuperLumiNova® สีขาวพิเศษ ทำให้เรามองเห็นได้อย่างชัดเจนในที่มืดตัวหน้าปัดที่สวยสะดุดตานี้ยังมีสัญลักษณ์สำคัญของ Rado นั่นคือสมอเรือหมุนได้ อยู่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้เกราะป้องกันอย่างคริสตัลแซฟไฟร์
Captain Cook Ceramic รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีทั้งกลไกและวัสดุชั้นเลิศระดับมาสเตอร์พีซนี้ รอให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว เพื่ออิ่มเอมไปกับความสบายและน้ำหนักที่เบาเหลือเชื่อ สำหรับนาทีนี้ Captain Cook High-Tech Ceramic คือ DNA ของ Rado อย่างแท้จริง
ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางในห้วงเวลาแสนพิเศษของ Rado อีกครั้ง
พบกับ Captain Cook Ceramic รุ่นใหม่ล่าสุด ได้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ช่องทางออนไลน์ Shopee และ Lazada หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่Line Official: @Radothailand หรือ โทร. 02-610-0200
เบอร์ทอลลี่® แบรนด์น้ำมันมะกอกอันดับหนึ่งของโลกเปิดตัวซีรี่ส์ภาพประกอบชุดใหม่เพื่อแนะนำเคล็ดลับการทำอาหารสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโด เพื่อเดินหน้าสานสัมพันธ์กับผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเคล็ดลับการทำอาหารพร้อมภาพประกอบชุดนี้เล่าถึงวิถีชีวิตทั่วไปของคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ในคอนโด ผ่านวิธีการเล่าเรื่องแบบมีอารมณ์ขัน พร้อมบอกต่อเคล็ดลับในการทำอาหารในคอนโดแบบง่ายๆ แต่ปฏิบัติตามได้จริง
เบอร์ทอลลี่ได้ร่วมมือกับ Reenp นักวาดภาพประกอบไทยรุ่นใหม่ ที่มาช่วยรังสรรค์เนื้อหาที่เข้าใจง่าย ผ่านภาพประกอบทั้งหมด 8 ชุด ที่เล่าถึงวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน ดำเนินเรื่องโดยตัวละครหลักเป็นหญิงสาวซึ่งอาศัยอยู่ในคอนโดแห่งหนึ่ง ภาพประกอบชุดนี้ช่วยแนะนำเคล็ดลับสนุกๆ ตั้งแต่การวางแผนและเตรียมวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ตลอดถึงสนับสนุนให้ผู้คนใส่ใจกับการทำอาหารเพื่อสร้างสรรค์ช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านพื้นที่
“จากความสำเร็จในประเทศไทยกว่า 30 ปี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์เบอร์ทอลลี่และผู้บริโภคชาวไทยนั้นมีความเด่นชัดมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยคนไทยหันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็เลือกใช้เวลาไปกับการทำอาหารและรับประทานอาหารที่บ้าน โดยเห็นได้ชัดจากการที่กลุ่มคนรุ่นใหม่นั้นเริ่มมองหาอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ก็ยังคงตั้งใจดูแลคนรอบข้าง รวมถึงคนในครอบครัว เบอร์ทอลลี่จึงได้เปิดตัวซีรี่ส์เคล็ดลับทำอาหารสำหรับผู้ที่อยู่ในคอนโดเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้” นาย โฮเซ่ มาเรีย เซกราโด ฮิเมเนส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดต่างประเทศ ของดีโอเลโอ กล่าว
“ขณะที่ผู้บริโภคชาวไทยต่างให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่เน้นเรื่องสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น เราทราบดีว่าความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ของเบอร์ทอลลี่จะช่วยให้เราสามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และหวังว่าจะช่วยให้คนไทยสามารถยกระดับมื้ออาหารในทุกๆ วัน ด้วยน้ำมันมะกอกที่เปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ โดยไม่ต้องกังวลว่าครัวจะมีข้อจำกัดด้านขนาดพื้นที่
ภาพประกอบแนะนำเคล็ดลับในการทำอาหารชุดนี้ได้ต่อยอดมาจากคลิปวิดีโอสั้นล่าสุดจากเบอร์ทอลลี่ที่ถ่ายทำขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยโดยเฉพาะ และนำแสดงโดยคนไทย โดยวิดีโอโฆษณาชิ้นนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวความประทับใจภายในครอบครัว และตอกย้ำถึงความอเนกประสงค์และความหลากหลายในการนำมาประกอบอาหารของน้ำมันมะกอกเบอร์ทอลลี่กับเมนูอาหารไทย พร้อมทั้งนำเสนอคุณค่าทางโภชนาการและสุขภาพ
“คนไทยนั้นมีความเข้าใจและให้ความสำคัญกับความสุขในการทำอาหารและช่วงเวลาการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้คือคุณค่าที่แบรนด์เบอร์ทอลลี่เองก็เชื่อมั่นเช่นกัน ในช่วงเวลาที่ผู้คนต่างเลือกใช้เวลาอยู่ที่บ้านกันมากขึ้น และเลือกทำอาหารร่วมกับครอบครัวและคนที่พวกเขารักนั้น เบอร์ทอลลี่เชื่อว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการแบ่งปันเรื่องราวที่น่าประทับใจ” นายโฮเซ่ กล่าวเพิ่มเติม
น้ำมันมะกอกเบอร์ทอลลี่วางจำหน่ายในประเทศไทยและมีหลายสูตรให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น สูตร Extra Light สูตรธรรมดาฝาสีส้ม สูตร Extra Virgin และสูตร Extra Virgin แบบออร์แกนิค ที่เหมาะสำหรับเมนูอาหารไทยทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีแบบทอด ผัด รับประทานกับสลัด หมัก ย่าง หรือแม้กระทั่งกับเมนูอบ โดยสามารถช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
ผู้ที่สนใจสามารถดูเคล็ดลับการทำอาหารฉบับชาวคอนโด พร้อมภาพประกอบได้ทางเพจ Bertolli Thailand https://www.facebook.com/BertolliTH/
ซัมเมอร์นี้เรามา Stay in style กันแบบมีสไตล์ไปกับรองเท้าเบอร์เคนสต๊อก (Birkenstock) รองเท้าลำลองใส่สบายสไตล์มินิมอลที่ไม่ว่าจะแต่งตัวแนวไหนก็เอาอยู่ ไม่ว่าจะแต่งตัวออกไปปลูกต้นไม้หน้าบ้าน เดินไปซื้อกาแฟแถวบ้านจิบเก๋ๆ หรือจะนั่งชิลอยู่บริเวณที่พัก ก็สามารถหยิบรองเท้าของเบอร์เคนสต๊อกมาแมทช์ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นรุ่นยอดนิยมตลอดกาลอย่าง รุ่นมาดริด (Madrid) กิเซ่ (Gizeh) แอริโซนา (Arizona) แล ริโอ (Rio) พูดไปอาจไม่เห็นภาพ เราขอหยิบสไตล์ของเหล่าคนดังบนโลกโซเชียลมาให้ได้ชมกันว่าเขาและเธอจะแมทช์ลุคที่ชอบกับรองเท้าเบอร์เคนสต๊อกอย่างไรบ้าง
● โบว์- เมลดา สุศรี เลือกหยิบรองเท้าเบอร์เคนสต็อกรุ่น Arizona NL Snake Brown มาแมทช์กับโทเทิลลุคเดนิม ให้ลุคที่สบายๆ เข้ากับบรรยากาศช่วงหน้าร้อนนี้
● สองนักแสดงหนุ่มสองสไตล์อย่าง บูม-จิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต และกร- กรณรัสย์ องค์สรานนท์ เลือกรองเท้าเบอร์เคนสต๊อกรุ่น Arizona Birko-Flor โดยคุณบูมเลือกเป็น Arizona สีดำแมทช์โปโลสีแดงสดและกางเกงขาสั้นสีเบจ ส่วนคุณกรเลือกเป็นคู่สีขาวแมทช์กับเสื้อยืดขาวพิมพ์ลายและกางเกงขายาวลายริ้ว นับเป็นสองสไตล์เรียบง่ายที่สามารถใส่ได้ทุกวัน
● แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ มาพร้อมสองลุคสองสไตล์ โดยลุคแรกได้เลือกหยิบรองเท้ารุ่น Rio Birko-Flor White แมทช์กับชุดลายพิมพ์สีสันสดใสและหมวกแก๊ปสีขาว ให้อารมณ์สบายๆ รับหน้าร้อน ส่วนลุคที่สองจับคู่รองเท้ารุ่น Madrid Big Buckle Birko-Flor Graceful Pearl White กับชุดเดรสลูกไม้สีขาวสวยหวานสไตล์เฟมินิล
● แตน- สาธิตา นันทศรีรัตน์ แฟชั่นบล็อกเกอร์จากเพจ Wear to Work Style หยิบรองเท้าเบอร์เคนสต็อกรุ่น Madrid Birko-Flor White มาแมทช์ถึง 2 ลุค 2 สไตล์ โดยลุคแรกเป็นกึ่งทางการ เน้นเป็นสีเอิร์ธโทนคู่กับกระเป๋าสานใบใหญ่ดูสบายตา เข้ากับบรรยากาศช่วงหน้าร้อนสุดๆ
● ไอซ์-อธิชนัน ศรีเสวก เลือกหยิบรองเท้ารุ่น Arizona EVA White ที่มีน้ำหนักเบา แมทช์กับเสื้อแท้งค์ท็อปเดนิมกับกางเกงขายาวสีเบจ เสริมด้วยแว่นกันแดดฉาบปรอทดีไซน์เก๋ เหมาะสำหรับใส่ไปชิลริมทะเลสุดๆ
● ปิดท้ายด้วย หทัยรัตน์ เจริญชัยชนะ (โอ๋ ฟูตอง) กับลุคสบายๆ ในวันพักผ่อน เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีน้ำเงินแมทช์กับกางเกงชิโนสีเขียวขี้ม้าและรองเท้าเบอร์เคนสต๊อกรุ่น Boston NL Dark Brown
เลือกแมทช์ชุดที่ชอบในสไตล์ของคุณกับรองเท้าเบอร์เคนสต๊อกคู่ที่ใช่ที่เว็ปไซต์ www.ikonthailand.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE Official : bit.ly/birkenstockth (BirkenstockTH) และร้าน Birkenstock ทุกสาขา
OPPO แบรนด์ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนไทย ทุ่มงบขึ้นบิลบอร์ดสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมบุกตลาดไฮเอนด์ด้วยสมาร์ทโฟน แฟล็กชิพรุ่นล่าสุดอย่าง OPPO Find X3 Pro 5G สมาร์ทโฟนแฟล็กชิพที่สุดแห่งพันล้านสี ที่ไม่ได้การันตีแค่จากกระแสตอบรับจากสื่อมวลชนทั่วโลกตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวเท่านั้น แต่ยังได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนไทยและลูกค้าชาวไทยอย่างล้นหลามถึงสุดยอดนวัตกรรมและดีไซน์ที่สวยงามแบบไร้รอยต่อแห่งอนาคต กวาดยอดขายในการวางจำหน่ายวันแรกเพิ่มขึ้นถึง 259% เมื่อเปรียบเทียบกับ OPPO Find X2 Pro 5G ในการจำหน่ายวันแรก
โดยสมาร์ทโฟนแฟล็กชิพ OPPO Find X3 Pro 5G ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนแฟล็กชิพยอดนิยมที่สุดรุ่นหนึ่งที่บุกตลาด ไฮเอนด์ในไทยได้เป็นอย่างดี มาจากการผสมผสานอันลงตัวระหว่างสุดยอดนวัตกรรมและงานดีไซน์ระดับแฟล็กชิพ อย่าง เทคโนโลยีสุดล้ำ 10-bit Full-path Colour Engine ระบบการประมวลสีตั้งแต่การถ่ายภาพไปจนถึงการแสดงผลมอบประสบการณ์สีที่นุ่มนวลและสมจริงได้มากถึงหนึ่งพันล้านสีครั้งแรกของโลก พร้อมกล้องหลักคู่ 1 พันล้านสีบนความละเอียด 50MP และเซ็นเซอร์ Sony IMX766 บนกล้อง Wide-angle และ Ultra-wide-angle ทำให้สามารถจับภาพนิ่งและวิดีโอในสีสันพันล้านสีได้หลากหลายมุมมอง ส่วนดีไซน์ตัวเครื่องได้รับแรงบันดาลใจจากอวกาศ มอบความพรีเมียมไร้รอยต่อ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4,500mAh และระบบชาร์จไว 65W SuperVOOC 2.0 สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 40% ได้ในเวลาเพียง 10 นาที รวมถึงขุมพลังระดับแฟล็กชิพที่แท้จริงอย่าง Qualcomm Snapdragon 888 ที่รองรับ 5G เพื่อการสื่อสารแห่งอนาคต มาในราคา 33,990 บาทโดยมีให้เลือก 2 สี คือ สี Gloss Black และสี Blue
นอกเหนือจากนี้ OPPO ยังพร้อมเสริมพอร์ตสินค้าด้าน IoT ในไทยให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ด้วย OPPO Enco X หูฟังไร้สายระดับแฟล็กชิพของระบบแอนดรอยด์ที่สร้างสรรค์ร่วมกับ Dynaudio แบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำระดับโลก เพื่อมอบประสบการณ์เสียงที่ดีที่สุด ในราคา 5,999 บาท และนอกจากหูฟังไร้สายแล้ว OPPO ยังมีสินค้า Smart wearable ตอบโจทย์ทุกไลฟสไตล์ด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น OPPO Watch สมาร์ทวอร์ชรุ่นแรกจาก OPPO ในราคาเริ่มต้นเพียง 5,999 บาท และ OPPO Band สมาร์ทแบนด์ที่โดดเด่นในด้านการวัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2 Monitoring) ที่มาในราคาเพียง 1,199 บาทเท่านั้น
โดยใครที่สนใจ สามารถสัมผัส OPPO Find X3 Pro 5G สมาร์ทโฟนแฟล็กชิพที่สุดแห่งพันล้านสี และ สินค้า IoT ไม่ว่าจะเป็น OPPO Enco X, OPPO Watch Series และ OPPO Band ได้แล้ววันนี้ ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่https://www.facebook.com/oppothai/
ก้าวสู่ฤดูร้อนของปีอย่างเป็นทางการ Keds (เคดส์) ได้สร้างสรรค์สนีกเกอร์หลากสไตล์ออกมา เพื่อตอบโจทย์แก่ผู้หญิงที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป และได้นำวัสดุใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ผ้าฝ้ายออร์แกนิก (Organic Cotton) มาใช้ในการผลิตสนีกเกอร์ โดยผ้าฝ้ายออร์แกนิกเป็นวัสดุที่ปราศจากยาฆ่าแมลงและมีส่วนช่วยให้ดินและแหล่งน้ำต่างๆ สะอาดยิ่งขึ้น นับได้ว่าผ้าฝ้ายออร์แกนิกเป็นวัสดุที่ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นสำหรับโลกใบนี้ นอกจากนี้การใช้ผ้าฝ้ายออร์แกนิกยังช่วยให้เหล่าชาวไร่รวมทั้งบรรดาคนงานในโรงงานสามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีอันเป็นอันตรายได้อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถซักทำความสะอาดได้โดยหน้าร้อนนี้เราขอนำเสนอรองเท้า 7 แบบ 7 สไตล์ จากคอลเลคชั่นล่าสุด มาให้ได้เลือกใส่รับหน้าร้อนในสไตล์ของตัวเองกัน
● Double Decker Organic Cotton Print (ราคา 2,250 บาท)
อีกหนึ่งรองเท้ารุ่นยอดนิยมของเคดส์ที่กลับมาต้อนรับหน้าร้อนนี้ ด้วยโทนสีเหลืองและลายพิมพ์ดอกไม้สีขาวสดใสเหมาะสำหรับแมทช์กับคอสตูมได้หลากสไตล์ นอกจากนี้รองเท้าสลิปออนรุ่นนี้ยังมีความพิเศษตรงการนำผ้าฝ้ายออร์แกนิกซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและให้สัมผัสที่นุ่มสบายยิ่งขึ้นมาใช้เป็นวัสดุหลักในการผลิต
● Ladies Print Organic Cotton (ราคา 2,250 บาท)
เคดส์จับมือกับ ทิฟฟานีย์ โฮ (Tiffany Ho) นักออกแบบเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับชาวฮ่องกง ออกแบบลายพิมพ์ “Ladies Print” บนรองเท้ารุ่นยอดนิยมอย่าง Champion ที่ผลิตจากผ้าฝ้ายออร์แกนิกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและนุ่มเป็นพิเศษ โดยออกแบบขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่วันสตรีสากล ทิฟฟานีย์ต้องการส่งต่อความภาคภูมิใจในการเป็นผู้หญิงว่า“ อย่าจำกัดตัวเอง คุณแข็งแกร่งกว่าที่คุณคิด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ อายุ หรือรูปร่างแบบไหนก็ตาม”
● Crew Kick Alto Leather Cream-Leopard (ราคา 2,650 บาท)
นี่เป็นการโคจรมาพบกันระหว่างรองเท้ากีฬาและรองเท้าลำลองสุดพิเศษ โดยการนำเทรนด์ชั้งค์กี้ (Chunky) มาผสมผสานเข้าด้วยกัน จนได้ผลลัพธ์เป็นสนีกเกอร์สไตล์เรโทรที่ให้ทั้งความรู้สึกมาดมั่นและแฟชั่นในคราวเดียวกัน โดยพื้นรองเท้าผลิตจากยางคุณภาพเยี่ยมที่มีความหนาทว่าน้ำหนักเบา พร้อมเสริมลิ่มเล็กน้อยบริเวณส้นเท้าเพื่อสามารถวางเท้าในมุมที่สบายที่สุดได้ง่ายยิ่งขึ้น
● Champion TRX Marble (ราคา 2,450 บาท)
อีกหนึ่งรองเท้าที่ได้รับความนิยมจากทั้งแฟนของแบรนด์และสาวๆ ผู้ชื่นชอบสนีกเกอร์ ด้วยการปรับดีไซน์จากรุ่นคลาสสิกอย่าง Champion ให้โมเดิร์นขึ้นด้วยการเพิ่มลูกเล่นความหนา และรอยหยักเล็กน้อยที่พื้นรองเท้า ทนทานต่อการกระแทก มาพร้อมกับนวัตกรรม Dream Foam ที่แผ่นด้านในรองเท้า นุ่ม และระบายอากาศได้ดี มาพร้อมเพิ่มความสดใสการแต่งแต้มลวดลายมาร์เปิลสีหวานลงบนบริเวณขอบของพื้นรองเท้า
● Triple Up Marble (ราคา 3,250 บาท)
สำหรับสาวร่างเล็กไซส์มินิที่ชื่นชอบสนีกเกอร์พื้นหนา ร้อนนี้เราไม่อยากให้คุณพลาดเป็นเจ้าของรุ่น Triple Up Marble นอกจากความนุ่มสบายและช่วยเสริมบุคลิกให้ดูสูงเพรียวแล้ว บริเวณพื้นรองเท้าและขอบรองเท้าที่มีความหนาเป็นพิเศษยังถูกแต่งแต้มด้วยโทนสีพลาสเทลสดใสเป็นลวดลายมาร์เปิลอีกด้วย
● Triple Kick Amp Leather White (ราคา 2,850 บาท)
สนีกเกอร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรองเท้าออกกำลังกาย ตัวรองเท้าผลิตจากหนังคุณภาพดี และพื้นรองเท้าผลิตจากยางที่มีความหนา 1 นิ้ว สามารถรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี เพิ่มความพิเศษด้วยการเสริมขอบยางบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของรองเท้า พร้อมใส่กราฟฟิกโลโก้ลายเวฟที่เคยใช้บนชุดกีฬาในปี 1970 ทำให้สนีกเกอร์รุ่นนี้ดูมีความสนุกสนานและหรูหราในคราวเดียวกัน สามารถแมทช์กับเสื้อผ้าได้หลากสไตล์
● Trio Eco Sandal Sage (ราคา 2,250 บาท)
ขอแนะนำรองเท้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดของแบรนด์ รองเท้าแตะรุ่น Trio โดยใช้ยางรีไซเคิล 20 เปอร์เซนต์ สำหรับการผลิตพื้นรองเท้าชั้นนอก และสายรัดทำจากสายรัดโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล สามารถปรับระดับให้กระชับกับรูปเท้าได้ พร้อมซับในบุด้วยผ้า Tencel (lyocell) ซึ่งเป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่ไม่ได้ผลิตจากโพลิเมอร์สังเคราะห์ร้อยเปอร์เซนต์ แต่ผลิตจากเซลลูโลสที่ได้จากไม้ เหมาะสำหรับใส่เดินเล่นในวันสบายๆ
แวะไปเลือกช้อปรองเท้าสำหรับร้อนนี้ได้แล้วที่ www.keds.co.th ทาง LINE :@KedsThailand หรือคลิกได้เลยที่ http://bit.ly/KedsLine หรือที่ร้าน Keds, เคานท์เตอร์ Keds และร้าน Ikon ทุกสาขา ติดตามข่าวสารจาก Keds Thailand ได้ที่ Facebook และ Instagram : @KedsThailand
Under Armour ยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะสนับสนุนสาวๆ ที่รักการออกกำลังกายทั่วโลกให้บรรลุทุกเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการมีสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น หรือการเอาชนะขีดจำกัดทางร่างกายและจิตใจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาอันท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลก Under Armour ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะเป็นแรงผลักดันให้แก่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา หรือเป็นคนธรรมดาที่ไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหาสิ่งที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ชีวิต ให้ก้าวผ่านทุกอุปสรรคและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนรอบข้าง
Under Armour เล็งเห็นความสำคัญของการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายที่มีส่วนช่วยให้ผู้หญิงพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ และเพิ่มความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ ในชีวิต จากผลการสำรวจของ Under Armour พบว่า ประมาณร้อยละ 96 ของผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในองค์กรหรือบริษัทเคยเป็นนักกีฬามาก่อน จึงสามารถกล่าวได้ว่ากีฬาช่วยเสริมสร้างรากฐานแห่งความมั่นใจให้กับผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริง
Under Armour จึงไม่หยุดคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบโดยเฉพาะเพื่อผู้หญิง ที่จะเป็นส่วนสนับสนุนให้ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงสามารถเล่นกีฬาและออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ Under Armour เชื่อว่าเสื้อผ้าส่งผลต่อผู้สวมใส่ ทั้งวิธีคิด ความมั่นใจ ทัศนคติ และศักยภาพในตัว Under Armour จึงนำเสนอสปอรต์บราและเลกกิ้งในคอลเลกชัน Spring/Summer 2021 ใหม่ล่าสุด ที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ ด้วยนวัตกรรมผ้าที่ล้ำสมัย รองรับและกระชับทุกสรีระของผู้หญิง สร้างความมั่นใจยิ่งขึ้นให้กับสาวๆ ที่มีไลฟ์สไตล์แบบแอคทีฟ ช่วยให้การเล่นกีฬาและออกกำลังกายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันผู้หญิงสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และท้าทายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
● ARMOUR MID CROSSBACK Bra ที่เก็บทรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ สวมใส่ง่าย มาพร้อมกับรองรับหน้าอกขณะเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น
● UA Infinity Bra สร้างด้วยนวัตกรรมผ้าของ Under Armour ที่ลํ้าหน้าที่สุด ทำให้บรานี้มีนํ้าหนักเบา ไร้รอยต่อ และแห้งเร็วที่สุดในบรรดาสปอร์ตบราของ Under Armour ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
● UA Rush Bra บราดีไซน์มินิมอล ที่สามารถปรับความกระชับได้ดียิ่งขึ้น
● UA No-slip Waistband เลกกิ้งที่มาพร้อมลายปริ้นท์ซิลิโคนสองชั้นตรงช่วงเอว เพื่อเพิ่มการยึดเกาะและขจัดปัญหาขอบกางเกงม้วนตัวระหว่างออกกำลังกาย แต่ยังคงความสบายทุกครั้งที่สวมใส่
นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อสรีระของผู้หญิงโดยเฉพาะแล้ว Under Armour ยังได้ออก Women Better Book ดิจิตัล พ็อกเก็ตบุ๊กที่รวบรวมการสร้างแรงบันดาลใจให้สาวๆ บรรลุเป้าหมายด้วยกายและใจที่แข็งแกร่ง พร้อมพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นตัวเองในแบบที่ดียิ่งขึ้น
Under Armour ยังได้จัดกิจกรรม UA Run Crew Women Session สำหรับสาวๆ ที่สนใจได้ร่วมวิ่งออกกำลังกายในบรรยากาศเมืองเก่าเลียบคลองโอ่งอ่างของกรุงเทพมหานคร ในวันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 เวลา 6.00 – 8.00 น. โดยมีทีม UA Run Crew คอยให้คำปรึกษาและแนะนำเทคนิคการวิ่ง โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมได้โดยการลงทะเบียนที่ร้าน Under Armour Brand House ทุกสาขา เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงใดๆ ก็ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป (จำกัดจำนวนผู้ร่วมงาน 50 ท่าน)
สามารถติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Under Armour และโปรโมชั่นพิเศษก่อนใครได้ที่ช่องทางต่อไปนี้
- เว็บไซต์ www.underarmour.co.th
- Line Official Account @underarmourth
- ร้านค้าทางการของ Under Armour บน Lazada
- ร้านค้าทางการของ Under Armour บน Shopee
ด้วยความมุ่งมั่นของแบรนด์ที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ระยะยาว Clé de Peau Beauté จึงขอบริจาคเงินส่วนหนึ่งที่ได้รับจากยอดขายผลิตภัณฑ์ดาวเด่นของแบรนด์อย่าง The Serum จากทั่วโลก เพื่อสนับสนุนการศึกษาของเด็กผู้หญิงตามเป้าหมายที่จะสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม
Clé de Peau Beauté แบรนด์สกินแคร์และเครื่องสำอางหรู ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรระยะยาวอย่าง UNICEF เป็นปีที่สอง โดยความร่วมมือในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการเข้าถึงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) แก่เด็กผู้หญิง รวมถึงการฝึกอบรมและทักษะที่เกี่ยวข้องในอนาคต ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกพลังความสามารถของเด็ก ๆ ผ่านองค์ความรู้ โดยทางแบรนด์จะบริจาคเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากยอดขาย The Serum ทั่วโลกเพื่อสนับสนุนโครงการของ UNICEF ที่มุ่งเน้นการศึกษาและการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเด็กผู้หญิงในบังกลาเทศ คีร์กีซสถาน และไนเจอร์ รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ โครงการครั้งนี้จะเปิดฉากขึ้นในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนสำหรับร้านค้า ส่วนกิจกรรมบนช่องทางออนไลน์จะเริ่มขึ้นในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงวันที่ 31 ธันวาคม
โลกของเรามีเด็กหญิงอยู่ราว 600 ล้านคน แต่เด็กสาวหลายต่อหลายคนโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา กลับขาดโอกาสทางการศึกษาที่สำคัญ รวมถึงโอกาสในการฝึกฝนทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะด้านสะเต็มศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในโลกปัจจุบัน เนื่องจากงานกว่า 90% ทั่วโลกจะต้องมีบางส่วนที่ทำผ่านระบบดิจิทัล หากเด็กสาวเหล่านี้ไม่สามารถใช้งานเครื่องมือดิจิทัลได้ ก็จะขาดโอกาสที่จะได้รับการจ้างงาน และเผชิญกับอุปสรรคในการแข่งขันบนโลกแห่งการทำงานในศตวรรษที่ 21[1]
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและการศึกษาของเด็กหญิงหลายล้านคนทั่วโลก อีกทั้งยังเน้นย้ำให้เห็นถีงความเร่งด่วนในการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัล หลังจากที่ชีวิตของเราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีกันมากขึ้น ในขณะที่โลกของเราได้ปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาให้เข้ากับวิถีปกติใหม่ Clé de Peau Beauté จึงได้ร่วมมือกับ UNICEF พัฒนาต้นแบบการฝึกทักษะให้กับเด็กหญิงและหญิงสาว เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ทั้งในภาวะวิกฤตและโลกอนาคต
ทางแบรนด์ได้นำยอดขาย The Serum ในปีที่ผ่านมา เข้าระดมทุนให้กับ UNICEF ซึ่งได้ช่วยผลักดันโครงการริเริ่มหลายโครงการทั่วโลก อันเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กผู้หญิงสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและค้นพบความสามารถในตัวเอง
● บังกลาเทศ: พลิกโฉมการศึกษาเพื่อเด็กผู้หญิง
- Clé de Peau Beauté สนับสนุนโครงการของ UNICEF ในบังกลาเทศ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในระบบการศึกษา พร้อมลดอุปสรรคทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเพศ และลดความรุนแรงทางเพศ
- ด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลบังกลาเทศ UNICEF ได้เดินหน้าจัดทำกรอบหลักสูตรแห่งชาติที่บูรณาการความเสมอภาคทางเพศ และสนับสนุนการพัฒนาทักษะที่นำไปต่อยอดการทำงานในอนาคตได้
- นอกจากนี้ UNICEF ยังได้จัดทำโครงการการศึกษาทางเลือกในบังกลาเทศ เพื่อเด็กหญิงผู้ด้อยโอกาส 100 คน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะและโอกาสในการสร้างงาน ซึ่งเด็กหญิงกว่า 95% ที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้มีโอกาสเข้าทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้องแล้ว
● คีร์กีซสถาน: สร้างทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้กับเด็กผู้หญิง
- Clé de Peau Beauté สนับสนุนโครงการ STEM4Girls ของ UNICEF ในคีร์กีซสถาน เพื่อผลักดันให้เด็กผู้หญิงได้ศึกษาทางวิชาชีพ และทำงานในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) และอื่น ๆ
- เด็กผู้หญิง 110 คนได้เข้ารับการอบรม เพื่อเป็นแบบอย่างและเป็นเพื่อนเรียนให้กับเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่าในชุมชนของตนเอง โดยผู้ฝึกสอนนั้นได้จัดการเรียนการสอนออนไลน์ พร้อมแบ่งปันความรู้และทักษะให้กับเด็ก ๆ ในชุมชน ซึ่งจะเข้าถึงเด็กผู้หญิงได้มากกว่าเดิม และผลักดันให้เด็ก ๆ เข้ามามีบทบาทสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในอนาคต
● ไนเจอร์: สนับสนุนความสำเร็จให้เด็กผู้หญิง
- Clé de Peau Beauté สนับสนุนโครงการของ UNICEF ในไนเจอร์ ซึ่งมุ่งสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับเด็กหญิง ด้วยการช่วยให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสพัฒนาความสามารถและฝึกฝนทักษะของตัวเอง
- ความร่วมมือครั้งนี้เปิดโอกาสให้เด็กสาว 120 คนได้เข้าร่วมการฝึกอบรมพัฒนาทักษะและคลาสเรียนอ่านเขียน และได้เริ่มผลักดันเด็กหญิง 200 คนเข้าร่วมโครงการพี่รหัส
Carla Haddad Mardini ผู้อำนวยการด้านการระดมทุนภาคเอกชนและพันธมิตรของ UNICEF กล่าวว่า "เด็กผู้หญิงทุกคนสมควรที่จะได้เติบโตบนโลกที่เต็มไปด้วยโอกาสใหม่ ๆ และใช้ชีวิตได้ตามความปรารถนา อย่างไรก็ตาม มีเด็กผู้หญิงอีกหลายล้านคนที่ขาดโอกาสเหล่านี้ พวกเธอไม่สามารถไปโรงเรียนได้ หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงแหล่งความรู้ต่าง ๆ ทำให้ขาดโอกาสในการได้รับความเสมอภาคในสังคม ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เน้นย้ำให้เราเห็นถึงความเร่งด่วนในการสนับสนุนความเสมอภาค และการหยิบยื่นความช่วยเหลือไปยังเด็กผู้หญิงเพื่อเปลี่ยนชีวิตของพวกเธอและชุมชน ด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรของเราอย่าง Clé de Peau Beauté ทาง UNICEF จึงได้ลงทุนในโครงการเสริมสร้างทักษะด้านสะเต็มศึกษา เทคโนโลยีดิจิทัล และการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม UNICEF สนับสนุนทุกความพยายามที่ช่วยสร้างหลักประกันให้เด็กผู้หญิงมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ พร้อมทรัพยากรที่ถูกต้องและมีโอกาสมากมาย ในวันข้างหน้า เด็กสาวราว 600 ล้านคนทั่วโลกจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหญิงรุ่นใหม่กลุ่มใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา"
Yukari Suzuki ประธานเจ้าหน้าที่แบรนด์แห่ง Clé de Peau Beauté กล่าวว่า "Clé de Peau Beauté เชื่อว่า กุญแจสำคัญที่จะสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมนั้น คือการปลดล็อกพลังของเด็กผู้หญิงผ่านสะเต็มศึกษา ซึ่งเป็นภารกิจที่ใครหรือแบรนด์ใดไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง ฉะนั้น ผู้ที่ซื้อ The Serum ทุกท่านจึงมีส่วนช่วยผลักดันให้โครงการความร่วมมือกับ UNICEF สำเร็จลุล่วง และถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ณ ช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญวิกฤต เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ผ่าน UNICEF โดยความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นช่องทางที่จะสร้างอิทธิพลที่สำคัญและมีความหมายยิ่ง สำหรับโครงการปีที่สองนี้ เราขอเชิญชวนทุกท่านให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปิดทางให้เด็กผู้หญิงทั่วโลกสามารถเข้าถึงการศึกษา ประสบความสำเร็จในชีวิต และได้รับโอกาสในการจ้างงาน"
Clé de Peau Beauté หวังที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้เด็กผู้หญิงผ่านการศึกษา ซึ่งเป็นขั้นแรกที่จะปลดล็อกพลังความสามารถและความชาญฉลาดที่ซ่อนอยู่ภายใน
ตลอดโครงการนี้ ทุกยอดซื้อ The Serum หลังหักค่าใช้จ่ายจะมอบให้กับ UNICEF เพื่อสนับสนุนการศึกษาและเสริมความแข็งแกร่งให้กับเด็กผู้หญิงทั่วโลก Clé de Peau Beauté ขอเชิญชวนให้ผู้หญิงทุกคนร่วมเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็ก ๆ ผ่านแคมเปญดี ๆ นี้ไปด้วยกัน ในช่วงเวลาที่เด็กทั่วโลกต้องการแรงสนับสนุนมากกว่าที่เคย ด้วยความร่วมมือนี้ เด็ก ๆ จะเปล่งประกายและสร้างอนาคตที่สดใสกว่าเดิมได้
ปีเตอร์ ฟิลิปส์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ และภาพลักษณ์ประจำแผนก DIOR MAKE-UP ออกแบบลุคการแต่งหน้า ซึ่งอาศัยความคมชัดของการลงอายไลเนอร์ใต้ตาเพื่อทวีความโดดเด่นให้แก่ดวงตาของบรรดานางแบบในการแสดงคอลเลคชัน DIOR ประจำฤดูใบไม้ร่วง 2021 จากมาเรีย กราเซีย ชิอูริ ซึ่งจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ LONG MUSEUM WEST BUND ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
● ดวงตา
ปีเตอร์ ฟิลิปส์อธิบายว่า: “ผมเน้นความโดดเด่นของลุคการแต่งหน้าด้วยการเร่งความคมชัดของอายไลเนอร์ เริ่มจากการใช้สีเบจใน 5 COULEURS COUTURE 649 NUDE DRESS เติมความสว่าง ละมุนละไมให้เปลือกตา จากนั้นจึงใช้ DIORSHOW ON STAGE LINER 091 MATTE BLACK ลากเส้นดำอย่างหนาตามความยาวตลอดแนวขอบตาล่าง ซึ่งนอกจากจะวาดหางตาให้แหลมเรียวเลยออกมาแล้ว ยังกรีดเส้นเลยเข้ามาทางหัวตาด้วยเช่นกัน พร้อมกับเติม DIORSHOW 24H STYLO 091 MATTE BLACK ลงในเส้นน้ำตา หรือขอบตาใน ก่อนตกแต่งโครงคิ้วตามรูปทรงธรรมชาติล้อมกรอบดวงตาเป็นอันดับสุดท้ายด้วยการใช้ DIORSHOW BROW STYLER”
● ผิว
ปีเตอร์ ฟิลิปส์กล่าวว่า “ผิวสวยสมบูรณ์แบบ ต้องแสงเป็นประกายผุดผาด เกิดจากการเตรียมผิวด้วยกิจวัตรการดูแลผิวจาก CAPTURE TOTALE ซึ่งรวมถึง CAPTURE TOTALE SUPER POTENT EYE SERUM ใหม่ที่ผมลูบไล้ให้ทั่วผิวรอบดวงตา จากนั้น ผมใช้ไพรเมอร์ DIOR FOREVER SKIN VEIL SPF 20 เพื่อช่วยลดเลือนสภาพปรากฏของบรรดาริ้วรอยข้อบกพร่อง ก่อนลง DIOR FOREVER บางๆ ให้ผิวดูแม็ต นวลเนียน เป็นการปกปิด และเติมประกายกระจ่างใสให้ผิวไปพร้อมกัน สำหรับจุดบกพร่องต่างๆ ที่ยังตกค้าง ผมใช้ DIOR FOREVER SKIN CORRECT หนึ่งหยดแตะแต้ม แล้วไล้ให้กลมกลืน แล้วจึงปัดแป้งฝุ่น DIORSKIN MINERAL NUDE MATTE บางๆ และใช้ DIOR FOREVER PERFECT FIX ตรึงเมคอัพเป็นอันดับสุดท้าย”
● ริมฝีปาก
“เผยความงามตามธรรมชาติของริมฝีปากอย่างเต็มที่ด้วยการใช้ ROUGE DIOR SATIN BALM 000
DIORNATURAL มอบความชุ่มชื้น และถ้าจำเป็นต้องเพิ่มสีสัน ผมใช้ ROUGE DIOR 434 SATIN PROMENADE เติมลงไปบางๆ”
● เล็บ
“แต่งเล็บให้ดูเป็นธรรมชาติด้วย DIOR VERNIS 108 MUGUET”
@DIORMAKEUP
@PETERPHILIPSMAKEUP
คอลเลคชัน DIOR ประจำฤดูใบไม้ร่วง 2021
ออกแบบ และสร้างสรรค์ลุคการแต่งหน้าสำหรับแฟชัน DIOR โดยปีเตอร์ ฟิลิปส์
ช่างภาพ: YI TUO FOR CHRISTIAN DIOR PARFUMS
บริษัท บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามชั้นนำ เปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ภายใต้แบรนด์นอตี้ (NOUGHTY) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ต้อนรับซัมเมอร์ด้วย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วยดูแลเส้นผมสำหรับสาวๆ โดยเฉพาะ โดยกว่า 97% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีส่วนประกอบจากธรรมชาติ ปราศจากส่วนผสมที่มาจากสัตว์ พาราเบน ปิโตรเคมี ซัลเฟต และซิลิโคน มอบสัมผัสอันนุ่มนวลและมีกลิ่นหอม นอกจากนี้ ยังมีความอ่อนโยนที่สามารถใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว ประกอบด้วย กลุ่ม นอตี้ ทู เดอะ เรสคิว (NOUGHTY To The Rescue) เปลี่ยนผมแห้ง ผมชี้ฟู ผมเสีย ให้แลดูสุขภาพดีอีกครั้ง เติมความชุ่มชื่นผมขาดน้ำให้กลับมานุ่มจรดปลาย ครบทั้งแชมพู คอนดิชันเนอร์ แฮร์เซรั่ม และทรีทเม้น นอตี้ เวฟ ฮัลโหล (NOUGHTY Wave Hello) แชมพูและคอนดิชันเนอร์ให้สาวๆ บอกลาวันที่เคยมีสภาพเส้นผมไม่ได้ดั่งใจ เปลี่ยนเป็นเส้นผมที่ชุ่มชื้น นุ่มสลวย พร้อมลอนสวยธรรมชาติ และ นอตี้ ทัฟ คุ้กกี้ (NOUGHTY Tough Cookie) แชมพูและคอนดิชันเนอร์ ช่วยลดปัญหาผมเปราะขาดง่าย บำรุงเส้นผมที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
เปิดประสบการณ์ใหม่สำหรับสาวผมลอนซึ่งต้องการการบำรุงมากกว่าเส้นผมชนิดอื่น พร้อมบอกลาปัญหาผมชี้ฟูพันกัน เปราะบางและขาดง่าย ด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม นอตี้ ทู เดอะ เรสคิว (NOUGHTY To The Rescue) ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาผมเสีย มาครบทั้งแชมพู คอนดิชันเนอร์ เซรัม และทรีทเมนต์ เปลี่ยนผมแห้ง ผมชี้ฟู ผมเสีย ให้แลดูสุขภาพดี ฟื้นฟูความชุ่มชื้นให้เส้นผมกลับมาแข็งแรง ทำให้ผมมีวอลลุ่ม ดูเงางามอย่างมีมิติ
ผลิตภัณฑ์ นอตี้ ทู เดอะ เรสคิว (NOUGHTY To The Rescue) ประกอบด้วย
1. To The Rescue Shampoo Booster Hydration (ทู เดอะ เรสคิว แชมพู บูสเตอร์ ไฮเดรชัน) ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 295 บาท ผสานสารสกัดจากเมล็ดทานตะวัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้เส้นผม พร้อมสารสกัดจากสวีทอัลมอนด์ เติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผมนุ่มสลวย และยังมีสารลดแรงตึงผิวจากมะพร้าว SLMI (Sodium Lauryl Methyl Isethionate) ปราศจากซัลเฟต ช่วยฟื้นฟูผมแห้ง ผมชี้ฟู ผมเสีย ให้กลับมานุ่มจรดปลายแข็งแรงอีกครั้ง
2. To The Rescue Conditioner Booster Hydration (ทู เดอะ เรสคิว คอนดิชันเนอร์ บูสเตอร์ ไฮเดรชัน) ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 295 บาท บำรุงสุขภาพผมด้วยสารสกัดจากเมล็ดทานตะวัน สารสกัดจากสวีทอัลมอนด์ และเชีย บัทเทอร์ ดูแลเส้นผมให้มีสัมผัสนุ่มลื่น ประสานส่วนผสมจากน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันมะกอก กำจัดปัญหาผมพันกัน กักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความเงางามแก่เส้นผม
3. To The Rescue Intense Moisture treatment (ทู เดอะ เรสคิว อินเทนซ์ มอนส์เจอร์ ทรีทเม้นต์) ขนาด 300 มิลลิลิตร ราคา 350 บาท ทรีทเมนท์บำรุงเส้นผมเข้มข้น ฟื้นฟูผมแห้งเสียและผมอ่อนแอจากกระบวนการเคมี เปลี่ยนผมแห้งเสียให้กลับมาแข็งแรงด้วยสารสกัดจากแบล็คโอ๊ตส์ (Black Oats) ปรับสภาพเส้นผมให้ชุ่มชื้นเงางามสารสกัดจากเมล็ดทานตะวัน คืนความชุ่มชื้นให้เส้นผม สารสกัด เชีย บัทเทอร์ และน้ำมันมะพร้าว ที่ช่วยบำรุงและซ่อมแซมผมเสียอย่างล้ำลึก ให้ผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
4. To The Rescue Anti Fizz Serum (ทู เดอะ เรสคิว แอนตี้ ฟลิสซ์ เซรั่ม) ขนาด 75 มิลลิลิตร ราคา 350 บาท ปรับสภาพเส้นผมให้มีชีวิตชีวาด้วยสารสกัดจากสวีทอัลมอนด์และสารสกัดจากน้ำมันอาร์แกน ลดปัญหาผมชี้ฟู เพิ่มความยืดหยุ่นให้เส้นผม เติมสารอาหารบำรุงผมด้วยสารสกัดจากลำข้าวสาลี ลดปัญหาผมพันกันและผมแตกปลาย ปราศจากพาราเบน ซิลิโคน ปิโตรเคมี และซัลเฟต ปกป้องผม และเปลี่ยนผมแห้งเสียให้กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง กู้ชีพผมแห้งให้กลับมานุ่มจรดปลาย
● นอตี้ เวฟ ฮัลโหล (NOUGHTY Wave Hello) บอกลาวันลอนผมไม่ได้ดั่งใจ ด้วยสารสกัดจากน้ำมันอะโวคาโด ช่วยให้ลอนผมเด้งเอาอยู่ ผมลอนนุ่ม แลดูชุ่มชื้น สุขภาพดี เพิ่มความหอมสดชื่นด้วยกลิ่นโอเชียน เฟรช (Ocean Fresh) ที่พร้อมทำให้คุณรู้สึกเหมือนทุกวันเป็นวันหยุด ประกอบด้วย
- Wave Hello Shampoo (เวฟ ฮัลโหล แชมพู) ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 295 บาท เติมอาหารบำรุงเส้นผมด้วยสารสกัดจากน้ำมันอะโวคาโด และพืชที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ คืนความชุ่มชื้นให้เส้นผม ให้เกล็ดผมนุ่มน่าสัมผัส ผสานส่วนผสมจากสาหร่ายคลอเรลลา เสริมกำลังให้เส้นผมแข็งแรงไม่เปราะขาดง่าย พร้อมกรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อเส้นผม ฟื้นฟูเส้นผมด้วย SLMI (Sodium Lauryl Methyl Isethionate) สารลดแรงตึงผิวที่ได้จากมะพร้าว
- Wave Hello Conditioner (เวฟ ฮัลโหล คอนดิชันเนอร์) ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 295 บาท ผสมสารสกัดจากน้ำมันอะโวคาโด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน ช่วยล็อคความชุ่มชื้น บำรุงรักษาให้เส้นผมแข็งแรง สารสกัดจากสาหร่ายทะเลเคลป์ เปี่ยมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม สาหร่ายคลอเรลลา บำรุงเส้นผม เสริมกำลังให้เส้นผม และกรดอะมิโน พร้อมวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อเส้นผม ช่วยให้ลอนผมเด้งเอาอยู่ผมลอนนุ่ม แลดูชุ่มชื้น สุขภาพดี บอกลาวันลอนผมไม่ได้ดั่งใจ
● นอตี้ ทัฟ คุ้กกี้ (NOUGHTY Tough Cookie) เน้นการปกป้องเส้นผมจากมลภาวะในอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นควันพิษ หลอมรวมส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติ เปี่ยมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ว่าจะเป็นบิลเบอร์รี ซีบัคธอร์น และคลาวด์เบอร์รี่ และส่วนผสมที่สกัดจากรำข้าวสาลี จึงช่วยคืนความชุ่มชื้น ยืดอายุเส้นผม และเสริมสุขภาพของเส้นผมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
- Tough Cookie Shampoo (ทัฟ คุ้กกี้ แชมพู) ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 295 บาท อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ด้วยสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ซีบัคทอร์น คลาวด์เบอร์รี่ ช่วยปกป้องและบำรุงผมด้วยเทคโนโลยีต่อต้านมลพิษ ผสานสารสกัดจากธัญพืช ช่วยปกป้องเส้นผมจากสภาวะมลพิษฟื้นฟูผมเสียช่วยให้ผมแลดูเงางาม แข็งแรงขึ้น
- Tough Cookie Conditioner (ทัฟ คุ้กกี้ คอนดิชันเนอร์) ขนาด 250 มิลลิลิตร ราคา 295 บาท ปกป้องเส้นผมจากมลภาวะสารสกัดจากธัญพืช ช่วยลดปัญหาผมเปราะขาดง่าย ฟื้นฟูผมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
สัมผัสมิติใหม่ของผลิตภัณฑ์นอตี้บำรุงเส้นผมได้แล้ววันนี้ ณ ร้านบู๊ทส์ ทุกสาขาทั่วประเทศ ร้านค้าออนไลน์ Lazmall บนลาซาด้า, ShopeeMall บน Shopee, Boots Mobile Application และติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางFacebook.com/bootsthailand และ th.boots.com
noughtyhaircare.com | @sogooditsnoughty | #NOUGHTYTH #BootsThailand
เว็บไซต์นี้มีการเก็บ Cookies เพื่อปรับปรุงการให้บริการ จิ้มดู นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม