กลูต้าอันตราย/ปลอดภัยกันแน่เนี้ย
kiraii5อ่านกันดูนะคะยังไงกันแน่
กลูต้าไธโอน “ดีหรือไม่ดี” ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ
เอาอีกแล้วครับท่าน! สำหรับการจับและยึดใบประกอบการของคลินิกผิวหนังชื่อดังที่ใช้สาร กลูต้าไทโอน อวดอ้างสรรพคุณเพิ่มความขาวใสเหมือนดารา (ทำไมต้องเหมือนดาราด้วยก็ไม่รู้) จนต้องออกมาแถลงข่าวขอโทษ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าไม่ใช่ “ชัวร์” ก็ไม่สมควรมีโปรแกรมนี้
อันที่จริงสารกลูต้าไทโอนนี้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ในการขับสารพิษโลหะหนักออกจากร่างกาย โดยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดย ศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ได้แถลงกับผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 พ.ย. 50 ไว้ว่า
ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุสารกลูต้าไทโอนไม่ใช่สารพิษที่ประชาชนหลายคนเข้าใจตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ทั้งยังเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดของเสียหรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทโอน ควรจะทำการวิจัยให้จริงจัง
ศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงสารกลูตาไทโอน (glutathione) ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ดีกับสารตัวนี้ คนจำนวนมากเข้าใจพิษคิดว่าสารตัวนี้เป็นสารพิษ ซึ่งในความเป็นจริงสารกลูตาไทโอนสารแอนติออกซิเดนซ์ หรือสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายมนุษย์จะได้รับสารชนิดนี้จากการบริโภคอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผลไม้ประเภท อะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ
ทั้งนี้ สารกลูตาไทโอนนี้ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล โดยเฉพาะเมื่อร่างกายต้องรับสารอนุมูลอิสระเข้าไป สารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยปรับให้สภาพร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดข้อเสีย หรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ตั้งแต่สารปรอท ยาฆ่าแมลง หรือยาบางชนิดที่เราต้องกินเข้าไป และเหลือตกค้าง ตับจะทำหน้าที่ขับสารพิษออกมาโดยสารกลูต้าไทโอนมีบทบาทสำคัญ
ดังนั้น จึงอยากทำความเข้าใจว่า ยาที่มีส่วนส่วนประกอบของกลูตาไทโอนไม่ได้น่ากลัว ยาที่อยู่ในกลุ่มของยากินนั้นในต่างประเทศมีขายอยู่ตามร้านขายยาทั่วๆ ไป ในเมืองไทยสารกลูตาไทยโอนอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ แต่ยาที่อยู่ในรูปของการฉีด เพื่อรักษาฝ้านั้นในเมืองไทยยังไม่มีการวิจัย จึงอยากฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทยโอน ควรจะได้ทำการวิจัยให้จริงจัง
“ระดับกลูตาไทโอนของคนที่ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคทางสมอง อย่างพากินซัน โรคหัวใจบางชนิดหรือบางคนกินยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอลบ่อยๆ ความเครียด หรือคนที่ได้รับสารพิษบ่อยๆ ระดับกลูต้าไทโอนจะลดลง การกินยาที่มีสารประเภทกลูต้าไทโอนจะถูกซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยกว่าการฉีด ซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้ยาประเภทนี้นิยมฉีด
และที่สำคัญ ต้องฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ นอกจากฉีดเข้าเส้นแล้วยังสามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือใช้สูดดมได้อีกด้วยขึ้นอยู่กับโรคในแต่ละโรคว่าเหมาะกับการใช้ยาชนิดนี้ด้วยวิธีการไหน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยากลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาฝ้านั้น ยังถือว่าผิดกฎหมาย เพราะการนำเข้ายาประเภทนี้เข้ามายังไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย. และหากจะใช้ยาชนิดนี้เพื่อรักษาฝ้าควรจะนำเข้ามาให้ถูกกฎหมายและขึ้นทะเบียนยาให้ถูกต้องด้วย ถ้าต้องนำมาใช้ในการรักษาฝ้าควรจะมีการค้นคว้าวิจัย ซึ่งคนที่เป็นฝ้าจำนวนมากพอใจกับการรักษาด้วยยา กลูต้าไทโอน เนื่องจากกลูต้าไทโอนจะไปเปลี่ยนยูเมลานินซึ่งเป็นสีผิวที่คล้ำ ให้กลายเป็นฟีโอเมลานิน ซึ่งจะทำให้สีผิวจางหรือขาวขึ้น
ทั้งหมดนี้ทำให้เราทราบว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มักจะมีด้านลบและด้านบวก” ในตัวเองทั้งสิ้น การที่เรามาโหมโรงบรรยายสรรพคุณในด้านบวกจนโอเวอร์ กลายเป็นกระแสบ้าคลั่ง จนทำให้คน โดยเฉพาะ “แพทย์” ที่เห็น “เงิน” มากกว่า “จรรยาแพทย์” นำมาใช้ผิดวิธีหรือ ใช้ของไม่มีคุณภาพตามที่อวดอ้าง ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว
หมือนกับ Botox ที่ใช้ฉีดลดริ้วรอย ด้วยการทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง หรือเลเซอร์ต่างๆ ที่ใช้ในการปรับโครงสร้างผิว คุณๆควรจะศึกษาข้อดีข้อเสีย ให้ถ่องแท้ แล้วค่อยเลือกทรีตเม้นท์ที่ “เหมาะ” กับความต้องการของคุณ แล้วค่อยตัดสินว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี”
คิดให้ดีและถ้วนถี่ แล้วคุณก็จะเห็น ความต้องการที่ตรงจุด!!!
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : กองการแพทย์ทางเลือก
ขอบคุณhttp://www.thailadyboyz.net/webboard/viewtopic.php?t=27304
กลูต้าไธโอน “ดีหรือไม่ดี” ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ
เอาอีกแล้วครับท่าน! สำหรับการจับและยึดใบประกอบการของคลินิกผิวหนังชื่อดังที่ใช้สาร กลูต้าไทโอน อวดอ้างสรรพคุณเพิ่มความขาวใสเหมือนดารา (ทำไมต้องเหมือนดาราด้วยก็ไม่รู้) จนต้องออกมาแถลงข่าวขอโทษ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าไม่ใช่ “ชัวร์” ก็ไม่สมควรมีโปรแกรมนี้
อันที่จริงสารกลูต้าไทโอนนี้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ในการขับสารพิษโลหะหนักออกจากร่างกาย โดยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดย ศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ได้แถลงกับผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 30 พ.ย. 50 ไว้ว่า
ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระบุสารกลูต้าไทโอนไม่ใช่สารพิษที่ประชาชนหลายคนเข้าใจตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ทั้งยังเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดของเสียหรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทโอน ควรจะทำการวิจัยให้จริงจัง
ศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ผู้อำนวยการศูนย์ผิวหนังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวถึงสารกลูตาไทโอน (glutathione) ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ดีกับสารตัวนี้ คนจำนวนมากเข้าใจพิษคิดว่าสารตัวนี้เป็นสารพิษ ซึ่งในความเป็นจริงสารกลูตาไทโอนสารแอนติออกซิเดนซ์ หรือสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ร่างกายมนุษย์จะได้รับสารชนิดนี้จากการบริโภคอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผลไม้ประเภท อะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ
ทั้งนี้ สารกลูตาไทโอนนี้ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล โดยเฉพาะเมื่อร่างกายต้องรับสารอนุมูลอิสระเข้าไป สารต้านอนุมูลอิสระก็จะช่วยปรับให้สภาพร่างกายเกิดความสมดุล และยังเป็นตัวขจัดข้อเสีย หรือสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย ตั้งแต่สารปรอท ยาฆ่าแมลง หรือยาบางชนิดที่เราต้องกินเข้าไป และเหลือตกค้าง ตับจะทำหน้าที่ขับสารพิษออกมาโดยสารกลูต้าไทโอนมีบทบาทสำคัญ
ดังนั้น จึงอยากทำความเข้าใจว่า ยาที่มีส่วนส่วนประกอบของกลูตาไทโอนไม่ได้น่ากลัว ยาที่อยู่ในกลุ่มของยากินนั้นในต่างประเทศมีขายอยู่ตามร้านขายยาทั่วๆ ไป ในเมืองไทยสารกลูตาไทยโอนอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ แต่ยาที่อยู่ในรูปของการฉีด เพื่อรักษาฝ้านั้นในเมืองไทยยังไม่มีการวิจัย จึงอยากฝากถึงนักวิจัยที่ทำงานด้านยาหรือการรักษา หากต้องการใช้ยาประเภทกลูต้าไทยโอน ควรจะได้ทำการวิจัยให้จริงจัง
“ระดับกลูตาไทโอนของคนที่ป่วยด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคทางสมอง อย่างพากินซัน โรคหัวใจบางชนิดหรือบางคนกินยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอลบ่อยๆ ความเครียด หรือคนที่ได้รับสารพิษบ่อยๆ ระดับกลูต้าไทโอนจะลดลง การกินยาที่มีสารประเภทกลูต้าไทโอนจะถูกซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยกว่าการฉีด ซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้ยาประเภทนี้นิยมฉีด
และที่สำคัญ ต้องฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ นอกจากฉีดเข้าเส้นแล้วยังสามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือใช้สูดดมได้อีกด้วยขึ้นอยู่กับโรคในแต่ละโรคว่าเหมาะกับการใช้ยาชนิดนี้ด้วยวิธีการไหน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยากลูตาไทโอนที่ใช้ในการรักษาฝ้านั้น ยังถือว่าผิดกฎหมาย เพราะการนำเข้ายาประเภทนี้เข้ามายังไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย. และหากจะใช้ยาชนิดนี้เพื่อรักษาฝ้าควรจะนำเข้ามาให้ถูกกฎหมายและขึ้นทะเบียนยาให้ถูกต้องด้วย ถ้าต้องนำมาใช้ในการรักษาฝ้าควรจะมีการค้นคว้าวิจัย ซึ่งคนที่เป็นฝ้าจำนวนมากพอใจกับการรักษาด้วยยา กลูต้าไทโอน เนื่องจากกลูต้าไทโอนจะไปเปลี่ยนยูเมลานินซึ่งเป็นสีผิวที่คล้ำ ให้กลายเป็นฟีโอเมลานิน ซึ่งจะทำให้สีผิวจางหรือขาวขึ้น
ทั้งหมดนี้ทำให้เราทราบว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มักจะมีด้านลบและด้านบวก” ในตัวเองทั้งสิ้น การที่เรามาโหมโรงบรรยายสรรพคุณในด้านบวกจนโอเวอร์ กลายเป็นกระแสบ้าคลั่ง จนทำให้คน โดยเฉพาะ “แพทย์” ที่เห็น “เงิน” มากกว่า “จรรยาแพทย์” นำมาใช้ผิดวิธีหรือ ใช้ของไม่มีคุณภาพตามที่อวดอ้าง ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว
หมือนกับ Botox ที่ใช้ฉีดลดริ้วรอย ด้วยการทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง หรือเลเซอร์ต่างๆ ที่ใช้ในการปรับโครงสร้างผิว คุณๆควรจะศึกษาข้อดีข้อเสีย ให้ถ่องแท้ แล้วค่อยเลือกทรีตเม้นท์ที่ “เหมาะ” กับความต้องการของคุณ แล้วค่อยตัดสินว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี”
คิดให้ดีและถ้วนถี่ แล้วคุณก็จะเห็น ความต้องการที่ตรงจุด!!!
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : กองการแพทย์ทางเลือก
ขอบคุณhttp://www.thailadyboyz.net/webboard/viewtopic.php?t=27304
Discussion (5)
กิน+ฉีด ต่อไป หุหุ
มันเป็นของที่มีอยู่ในร่างกายเราจริงๆค่ะ
แต่มันไม่ได้ทำให้ขาวนะค่ะ มันช่วยอย่างอื่นก็จริง แต่ที่ขาวเป็นเพราะผลข้างเคียงของกลูต้าเท่านั้นเอง
เราว่า พอหยุดกินมันก็หกลับมาเหมือนเดิมอยู่ดีอ่ะค่ะ
ขอขาวอย่างถาวรด้วยวิธีอื่นดีกว่าค่ะ
แต่มันไม่ได้ทำให้ขาวนะค่ะ มันช่วยอย่างอื่นก็จริง แต่ที่ขาวเป็นเพราะผลข้างเคียงของกลูต้าเท่านั้นเอง
เราว่า พอหยุดกินมันก็หกลับมาเหมือนเดิมอยู่ดีอ่ะค่ะ
ขอขาวอย่างถาวรด้วยวิธีอื่นดีกว่าค่ะ
เอาไงดีค่ะสาวๆแต่ก็มีอีกกระแสบอกว่ากินแล้วจะแพ้แสงฯลฯเป็นยาอันตราย!!!
ของเราก็มีเภสัชกรแนะนำมาอย่างนี้เหมือนกัน
แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจกินเลย
อยากกินอยู่คะ
เพราะเภสัชเค้าบอกว่าหน้าจะเนียนและใสขึ้น
เรากินกลูต้ายี่ห้อกลูต้าเกรป
กินได้3อาทิตย์ขาวขึ้นจนทึ่งมาก ก็เลยกินต่อมาเรื่อยๆ
จะเข้าเดือนที่7แล้วค่ะ ก็ไม่มีผลข้างเคียงอะไรนะค่ะ
แถมยังทำให้เราพอใจมากด้วยซ้ำค่ะ