เปรียบเทียบความเหมือนที่แตกต่าง Britney Spears และ Jocelyn แห่ง The Idol

29 14


ฉายไป 2 ตอนแรกก็เกิดเสียงวิจารณ์ในแง่ลบในโลกออนไลน์

 The Idol น่าดึงดูดความสนใจจากสังคมจนสมหวัง Sam Levinson  ผู้จัดและผู้กำกับที่คาดหวังว่าจะใช้ความอื้อฉาวปั้นให้ TV series เรื่องนี้กลายมาเป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดประจำ summer      แม้กระแสตอบรับจากโลกออนไลน์อาจจะไม่ได้พร่างพรูไปด้วยเสียงชื่นชมไปซะหมด   ด้วยวิธีการนำเสนอความโป๊เปลิอยและเนื้อหารุนแรงที่ทำให้นักวิจารณ์รวมถึงชาวเน็ทสับหนักๆว่า   มันคือผลงานที่ย่ำแย่ผิดฟอร์มคุณภาพของ HBO    ทั้งๆที่มีผู้ร้างและโพรดิวเซอร์คนเดียวกันกับ Euphoria   ซีีรีส์ที่ตีแผ่ด้านมืดของชีวิตวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จทั้งแง่เรตติ้งและยังคว้าหลากหลายรางวัลใหญ่หลายเวที  ผลักดันให้  Zendaya พิสูจน์ความสามารถในฐานะนางเอกชั้นนำ  

ในขณะที่   HBO  ประกาศว่า  The Idol คือรายการ TV ที่จะปลุกปั่นกระแสและสร้างความตื่นเต้นมากที่สุดเรื่องหนึ่งของ network   แต่กลับถูกจิกกัดเจ็บแสบว่าเหมือนกับ 50 Shades of Tesfaye      หรือจะเป็นนักวิจารณ์จาก Forbes.com ที่กรีดนิ่มๆว่า แม้จะใช้ความฉาวเป็นจุดขาย  แต่กลับเปิดตัวได้น่าเบื่อผิดความคาดหมาย และยังมี GQ ที่ฟาดหนักแบบไม่เกรงใจว่า    การนำเสนอภาพ sex  ที่เข้าข่ายวิตถารของพระเอกนางเอกนั้นเป็น  sex scene ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ผลงานบันเทิง รวมถึงเสียงจาก Twitter ที่เห็นพ้องต้องกันว่า  series นี้มันไม่ดึงดูดตามที่คาดหวังนัก

  
แม้ตัวเลขจากการออนแอร์ The Idol สัปดาห์แรกแซง viewership เปิดตัวของ Euphoria และ White  Lotus  ไปได้หลายแสน  แต่ตอนล่าสุด ผู้เข้าชมหลายคนกลับเลือกไม่ดูต่อจนยอดตกไปไม่น้อย   จนทำให้หลายฝ่ายจับตามองถึงทิศทางความนิยมว่าอาจจะค่อยๆแผ่วลงไป  รวมถึงคนที่ทำนายไว้แล้วว่า นี่จะไม่ใช่ผลงานที่ประสบความสำเร็จจนเป็นหน้าเป็นตาให้กับ HBO    ตัวผู้ร่วมสร้าง series คือ Abel Tefaye (The Weeknd) ก็ต้องอธิบายถึงที่มาของ sex scene และเนื้อหาสุดอื้อฉาวว่า   เขารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะจะมีกลุ่มคนที่ไม่ปลื้ม เพราะไม่ได้สร้างผลงานนี้ขึ้นมาเพื่อให้ใครๆเข้าถึงได้กันไปหมด  พวกเค้าไม่ได้เป็นนักการเมืองที่ต้องสร้างภาพ    แต่ถึงกระนั้น การคว้าบทพระเอกควบกับการสร้างและเขียนบทซีรีส์ก็ทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากโลกออนไลน์   ถึงขนาดมีผู้ให้คำแนะนำว่า ให้เขายึดมั่นกับการทำดนตรีไว้จะดีกว่า เพราะมองว่าฝีมือการแสดงของเขาไม่เข้าขั้นที่จะดึงดูดผู้ชมได้ใน  scale ใหญ่เพียงนี้

แต่หนึ่งในเหตุผลที่ชาวเน็ทสนอกสนใจ The Idol มาตั้งแต่ก่อน premiere ก็คือความเชื่อมโยงของชีวิต 'Jocelyn' pop idol ที่พยายามหวนคืนสู่วงการหลังจากประสบกับวิกฤติครั้งใหญ่ และ 'Britney Spears' superstar ในชีวิตจริง ตัวละครนักร้องสาวสวยใน series มีผมบลอนด์ มีสไตล์การแต่งกายวาบหวิว และยังเข้าวงการมาตั้งแต่อายุน้อยๆจนเคยถูกมองว่าเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ จากความเหมือนเพียงไม่กี่อย่าง ก็ทำให้เกิดข่าวลือขึ้นมาแล้วว่า นี่คือผลงานที่สร้างขึ้นจากการนำชีวิตจริงของ Britney มาเป็นต้นแบบ



นักสร้างรายการทั้งสองนัดพบ Britney


ที่ผ่านมา เคยมีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า Brit อาจจะเป็นที่ปรึกษาในการสร้าง series แบบลับๆ เพราะในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น นอกจากความเคลื่อนไหวใน social media เธอเก็บตัวไม่ได้พบปะกับเพื่อนร่วมวงการ หรือออกงานสังคมมากนัก แม้ว่าสารคดี Framing Britney Spears จะทำให้เกิดกระแสเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเธอ แต่ทางเจ้าตัวไม่ได้แสดงท่าทียินดีที่สื่อนำเรื่องราวในอดีตมาขยี้ เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น เมื่อใครๆเชื่อถือข้อมูลจากสารคดีนี้ แทนที่จะให้ความสำคัญเรื่องคำให้การของเธอเพื่อต่อสู้กับการปลดปล่อยตัวเองจาก conservatorship ปฏิกิริยาด้านลบของเธอทำให้หลายคนมองว่า Britney ไม่ต้องการให้คนนอกนำเสนอเรื่องราวชีวิตของเธอเพื่อสร้างกระแสในสังคม  หากเธอต้องการจะเปิดเผยแบบหมดเปลือกเมื่อไร ก็ปรารถนาให้แฟนๆรอฟังจากปากเธอเอง


แต่ภาพของ Sam Levinson  และ  The Weeknd  ที่ร่วมกันทำหน้าที่  show creator นัดพบกับ superstar สาวท่ามกลางบรรยากาศที่สดใสก็ทำให้แฟนๆอดคิดไม่ได้ว่า   Brit อาจจจะตอบรับข้อเสนอบางอย่างของทั้งสองเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมกับ project นี้   เธอกำลังแชร์ประสบการณ์ที่ต้องเอาตัวรอดจากวงการบันเทิงสุด toxic อยู่รึเปล่านะ?

ภาพลักษณ์ superstar ที่มีเรื่อง sexual objectification  เป็นจุดขายสำคัญ

ภาพของ Jocelyn ที่นุ่งน้อยห่มน้อยซ้อมเต้นกับเหล่า backup dancers ด้วยท่าทางร้อนฉ่านั้นทำให้อดนึกถึงภาพของ  Brit ใน  I'm a Slave 4 U  ไม่ได้  (หรือแม้แต่เสียงหายใจหอบเหมือนกับผ่านการกิจกรรมบางอย่างที่ปรากฏในเพลง)    ถึงแม้ว่า  Brit จะไม่ได้เป็น pop idol เพียงผู้เดียวซึ่งโดดเด่นในเรื่อง choreography ร่วมประสานกับ backup dancers สื่อความหมายเรื่องทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง  แต่เมื่อได้เห็นฉากที่ Jocelyn มาในชุด crop top และกางเกงเอวต่ำโชว์สาย thong ราวกับเธอหลุดมาจากยุค 2000s  ก็ยิ่งเห็นภาพ Brit ซ้อนทับขึ้นมา


ภาพเปิดตัวของ Jocelyn ที่พร้อมจะเปลือยหน้าอกหน้าใจถ่ายแบบ ทำให้หวนคิดไปถึงตอนที่ ฺ Britney โด่งดังในระดับสร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังเป็นสาววัย 16 สาวหน้าหวานผมบลอนด์ที่ครวญเพลง Baby One More Time ซึ่งมีเนื้อหาเป็นนัยๆกลายเป็นเพลงฮิตระบาดไปทั่วโลก ความสำเร็จใหญ่โตมมโหฬารตั้งแต่เดบิวท์ได้เปิดทางให้ต้นสังกัดใช้ภาพลักษณ์ "สาวใสบริสุทธิ์ที่แสน sexy" มาเป็นจุดขายสำคัญ

Brit ต้องพร่ำบอกออกสื่อว่า เธอมีความศรัทธาเหลือล้น และพยายามรักษาพรหมจารีไว้ เพราะต้องการจะรอจนกว่าวันแต่งงาน ส่งผลให้เรื่องความบริสุทธิ์ของเธอกลายเป็นประเด็นใหญ่โตตามหน้าสื่อ ถึงขั้นที่มีเศรษฐีมายื่นข้อเสนอใช้เงินซื้อประสบการณืทางเพศครั้งแรกของเธอ! แต่เมื่อ idol วัย 17 ตัดสินใจขึ้นปก Rolling Stone ในลุค "หนูเป็นสาวแล้ว" ด้วยการนอนกอดตุ๊กตา Teletubby บนเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวใส่เพียงบราสีดำและกางเกงที่เหมือนกับชั้นใน แม้จะสวมเสื้อเชิ้ต ก็แบะกว้างให้เห็นสัดส่วนอวบอิ่ม   ภาพนี้ได้ก่อให้เกิดกระแสโต้เถียงถึงการใช้เด็กสาววัยทีนมาเป็นวัตถุทางเพศ และยังมีองค์กรศาสนาที่ออกโรงโจมตี Brit และต้นสังกัดอย่างหนัก

ผ่านไปอีกไม่กี่ปี เมื่อเธอบรรลุนิติภาวะ และใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่เต็มตัว  ภาพที่เธอสลัดผ้าเปลือยอกถ่ายปกนิตยสารนั้นก็ไม่ใช่เรื่องช็อคสายตาผู้คนอีกต่อไป   ที่จริงแล้วเธอถูกมองว่าเป็น sex symbol แห่งยุคมาตั้งแต่ก่อนจะถึงวัยที่จะดื่มเหล้าได้ตามกฎหมายซะอีก   

ตัว Jocelyn ที่เป็น idol  ยุคใหม่นั้นดูมั่นใจในตัวเอง  และพร้อมที่จะเปิดเผยให้ผู้คนได้ชื่นชมไปกับเรือนร่างสวยงาม    หากดูเผินๆ เธอไม่หวาดหวั่นหากจะถูกมองว่าใช้ nuidty มาสร้างกระแส    แต่เมื่อได้ยินผู้บริหารค่ายพูดถึงเธอราวกับเป็นชิ้นเนื้อราคาแพงที่ใช้ล่อใจผู้คน และใช้เรื่องปัญหาทางจิตใจของเธอมา boost  กระแสให้ยิ่งเปรี้ยงปัง โดยไม่สนว่าอาจจะมีผลลัพธ์ในด้านลบตามมา ก็พิสูจน์ถึงการตลาดสุด toxic ได้ชัดเจน

  ปัญหา mental illness

หากย้อนไปในปี 2007  หลังจากที่ Brit  ยื่นขอหย่าจากอีตสามี dancer   กระแสตอบรับจากแฟนๆรวทถึงสื่อนั้นเต็มไปด้วยพลังงานด้านบวก   หลายคนเชื่อว่า  การตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับชายผู้นี้คือสิ่งที่ฉุดรั้งเธอจากสิ่งดีๆที่เธอคู่ควร   เพราะไม่เพียงเธอจะต้องสูญเสียเงินทองปรนเปรอสามี   ภาพลักษณ์เจ้าหญิงเพลง pop ก็ตกต่ำลง  บรรดาแทบลอยด์ต่างล้อเลียนว่า เธอดูไร้รสนิยมราวกับ white trash   ห่างจากภาพลักษณ์ superstar ที่โลกตกหลุมรัก   ช่วงปลายปี 2006 ที่เธอประกาสแยกทางกับสามีใหม่ๆ    Britที่มาในลุคสวยหมดจดดูมั่นใจในตัวเอง จนใครๆต่างก็เชื่อว่า เธอจะหวนสู่วงการอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน

แต่สิ่งที่ตามมานั้นเลวร้ายเรียกได้ว่าเป็นเรื่องช็อคที่สุดในวงการบันเทิง   ส่งผลให้เธอสูญเสียทั้งสิทธิการเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองและแม้แต่สิทธิในการใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ เพราะถูกตัดสินให้ต้องมีผู้พิทักษ์เข้ามาร่วมตัดสินใจ หรือ conservatorship  ที่เธอเปิดเผยว่า เหมือนตกอยู่ในฝันร้ายยาวนาน
 ปีต่อมาหลังจากขอหย่า อาการเจ็บป่วยทางใจของ Brit นั้นดูจะย่ำแย่ลงไปมาก  ในขณะนั้น คนภายนอกยังไม่รับรู้ถึงอาการ Bipolar ที่นำให้เธอก้าวสู่ความมืดมนในชีวิต  แต่ในขณะที่เธอดูเหมือนกำลังจะแตกสลาย   Brit ก็ตัดสินใจเข็นอัลบั้มเพลงใหม่ออกมา   แต่ภาพที่เธอดูว่างเปล่า และโศกเศร้าจนยากจะเข้าถึงนั้นทำให้โลกออนไลน์ต่างโจษจันว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Britney?   อย่าพูดถึงทัวร์คอนเสิร์ต แม้แต่การโพรโมทผลงานก็ยังดูยากเย็นเกินไป


จากเดิมที่ถูก paparzzi ติดตามทุกความเคลื่อนไหวเพื่อนำไปเป็นหัวข้อข่าวบันเทิง  ช่างภาพเหล่านี้หันมาจับช็อทที่น่าอาย หรือดึงดูดให้คนเข้ามาเหยียบย่ำซ้ำเติมมากที่สุด   ทุกครั้งที่ Brit  เดินออกจากบ้าน  กองทัพช่างภาพที่กระหายหิวเหล่านี้จะรบกวน ยั่วยุ และทำทุกทางเพื่อจะได้ภาพเด็ด   คงพูดได้ว่า คนพวกนี้กำลังคาดหวังให้เธอทำพลาด   เมื่อส่งงานเพลงให้ออกมา    ภาพการแสดงและ MV ของ Brit นั้นกลายเป็นแหล่งรวมเสียงหัวเราะเยาะ     แม้แฟนๆจะแสดงความเป็นห่วงอย่างแท้จริง  แต่มันก็ไม่อาจจะเติมเต็มจิตใจที่โดดเดี่ยวและเจ็บปวดของเธอได้

สำหรับ Jocelyn เนื้อเรื่องได้บ่งบอกว่า เธอเริ่มมีอาการหนักตอนที่แม่เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายและเสียชีวิตไป เธอไม่สามารถรับมือกับอาการป่วยทางใจได้ไหวจนเกิดภาวะ mental breakdown ต้นสังกัดจึงต้องสนับสนุนให้เธอเข้ารับการบำบัดรักษาอยู่หลายเดือนจนเริ่มดีขึ้น แต่แรงกดดันจากความเสียหายหลักล้านที่ต้องยกเลิกทัวร์ รวมถึงข่าวอื้อฉาวจากภาพหลุด


แต่ดูเหมือนว่า แม้ Jocelyn จะมุ่งมั่นกลับมาเพื่อสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จอีกครั้ง แต่บาดแผลในใจก็ยังบีบคั้นให้ Jocelyn อาการกำเริบขึ้นมาระหว่างการถ่ายทำ MV คนในกองถ่ายต่างเห็นว่า ร่างกายเธอบาดเจ็บ และสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก แต่ก็มีเพียงคำถามว่า ไหวมั้ย? ทำต่อไปได้มั้ย? เพราะทุกอย่างมีต้นทุนราคาแพง หากจะยกเลิกก็หมายถึงความเสี่ยงที่จะล้มเหลว


ฉากเหล่านี้ทำให้เรานึกถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ Gimme me more ที่ Britney ไม่ได้ดูเหมือนกับศิลปินที่พร้อมจะกลับมาทำงานดนตรี ภาพที่เธอเหม่อลอย และแสดงสีหน้าที่เจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องที่แฟนๆยังรู้สึกใจหายมาถึงตอนนี้ โดยเฉพาะในภายหลังที่พวกเราได้รับรู้ว่า Brit ถูกกดดันให้ทำสัญญาแสดงใน Vegas และทำงานเพลงทั้งๆที่เธอต้องการเบรค ก็ทำให้รู้สึกหดหู่ใจว่า เธอถูกกดดันให้ทำงานหนักต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่สภาพจิตใจอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่คนรอบข้างหวังจากเธอคือผลประโยชน์ทั้งนั้น??

เมื่อย้อนกลับไป แฟนบางคนได้ยกย่อง Brit ที่อยู่ในระหว่างที่ต้องฟันฝ่ากับ mental breakdown ในปี 2007 แต่ก็ส่งผลงานดนตรีออกมาสำเร็จ เธอโกนหัวตัวเองจนกลายเป็นข่าวใหญ่โตตอนต้นปี และยังถูกปล่อยภาพช็อคสายตาชาวโลกออกมาอีกหลายครั้ง ซึ่งแม้ว่า อัลบั้ม Blackout จะไม่ได้ลงเอยด้วยการออกทัวร์หรือโพรโมทในปีเดียวกัน แต่ก็ขายดีในระดับ platinum เมื่อเธอรักษาตัวจนดีขึ้น ก็ได้ใช้หลายเพลงจากอัลบั้มนี้ขึ้นแสดง ส่วนในอัลบั้มต่อมา ไม่ว่าจะเป็น performance บนเวทีหรือ MV นั้นก็กลับเข้าฟอร์มเดิม

 ฟังดูแล้วสอดคล้องกับ ความทุ่มเทของ Jocelyn เพื่อจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในวงการดนตรีหลังจากต้องดิ่งลงไปกับมรสุมชีวิตที่หนักหนาสาหัส   ในขณะที่อาการเจ็บป่วยทางจิตใจของเธอยังส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิต  แต่ก็ไม่ยอมทิ้งความฝัน
ภาพการแสดง VMAs ปี2007 ที่ถูกเปรียบว่าเป็นตราบาปของ  Britney นั้นถูกโจมตียับเยินว่า  ดูแข็งทื่อชวนอึดอัดราวกับเธอหมดลาย performer ที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานดึงดูดใจไปแล้ว     เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากโลกออนไลน์เต็มไปด้วยการล้อเลียนและ body shaming  ทั้งๆที่พวกเราไม่รู้เลยว่า เบื้องหลัง เธอต้องผจญกับเรื่องราวหนักหนาสาหัสเพียงใด   แม้แต่พิธีกรก็ยิงมุกตลกแดกดันไปถึงลูกชายตัวน้อยของเธอแบบไม่หวั่นจะถูก cancel   สื่อต่างๆก็ร่วมใส่ไฟว่า  มันเป็นการแสดงแย่จนชวนเวทนา  หรือจะเป็นพิธีกรดังหลายคนที่ขยี้หนักว่า  เธอไม่สนแล้วว่าตัวเองจะดูตกต่ำแค่ไหน   เธอดูเหมือนกับนักเต้นเปลื้องผ้าที่ไร้ทักษะ   และยังฟันธงว่า เธออับอายกับการแสดงบนเวทีจนไม่กล้าสู้หน้าคน และเลิกโพรโมทผลงาน    

ไม่น่าแปลกใจนักที่หลังจากกระแส  Free Britney  และสารคดี  Framing Britney ได้เบิกเนตรให้คนในสังคมได้ประจักษ์ว่า  โลกออนไลน์ทำร้ายเธอและมันได้ส่งผลรุนแรงกับเธอมากเพียงใด  หลายคนจึงได้ออกมาขอโทษที่พูดถึงเธอในด้านย่ำแย่ในอดีต


ชายที่เข้ามา gaslight

นักฉวยผลประโยชน์มักจะสอดส่ายสายตาเสาะหาจังหวะที่ใครสักคนเกิดความรู้สึกเปราะบางเพื่อเข้ามาปั่นหัวจนเลือกเดินทางผิด   แม้แต่ superstar ที่ต้องทุ่มเททำงานมาตั้งแต่อายุน้อยและรับมือกับผู้คนมาแล้วสารพัดก็อาจจะถูกหลอกใช้

แท้จริงแล้ว  คนดังที่สร้างชื่อเสียงมาตั้งแต่วัยเยาว์นั้นมักจะถูกมองในภาพของคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย จากภาระความรับผิดชอบที่น่าจะช่วยให้เกิดวุฒิภาวะ   แต่หากมองอีกด้าน  คนดังเหล่านั้นแทบไม่ได้ชีวิตวัยรุ่นแบบปกติ   จากที่เป็นเด็กวัยในก็ข้ามขั้นมาทำทุกอย่างเหมือนกับผู้ใหญ่   แม้จะดูเหมือนว่า พวกเค้ามีประสบการณ์มากจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำ และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากการเดินทางไปหลายประเทศ  แต่หากคนรอบข้างไม่ได้ชี้นำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม  คอยเอาอกเอาใจไม่เลือกสถานการณ์  ก็เสี่ยงที่เกิด mindset ที่บิดเบี้ยว   เห็นผิดเป็นถูก หรือมองเจตนาของผู้ไม่หวังดีไม่ออก
Sam Lutfi  เคยก้าวเข้ามาในชีวิตของ Britney ในช่วงที่เธอถูกมองว่ากำลังหลงทิศหลงทาง    ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยทางใจและประสบการณ์ที่ถูกแทงข้างหลังจากคนใกล้ตัวทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อใจใครอีกต่อไป  แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอกลับเปิดรับผู้ชายคนนี้ให้เข้ามาใกล้ชิด ทั้งทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวและเป็นเพื่อนที่เธอให้ความเชื่อถือ  พวกเค้าดูตัวติดกันไปทุกหนทุกแห่ง  ในขณะนั้น  ครอบครัวของเธอพยายามสุดฤทธิ์เพื่อดึง Britney ออกจากความสัมพันธ์ที่ดูแปลกประหลาดนี้  พวกเค้ากล่าวหาว่า Sam บงการจิตใจให้เธอเลือกทางผิด  ทั้งชักชวนให้เล่นยา ถีงขนาดวางยาเธอให้เธอควบคุมสติไม่อยู่  และยังกีดกันไม่ให้คนใกล้ชิดไม่ให้พบหน้าเธอ   และในที่สุด Britney ก็รับรู้ว่า เธอไม่ควรปล่อยให้ชายคนนี้มามีอิทธิพลควบคุมจิตใจเธออีกต่อไป  เมื่อเธอพยายามตีจาก   และขอคำสั่งศาลห้ามไม่ให้เขาติดต่อและเข้าใกล้  เขากลับฟ้องร้องเธอในข้อหาหมิ่นประมาท และอ้างว่า เธอติดค้างเงินที่รับปากว่าจะมอยให้เป็นค่าตอบแทนการทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัว      ฺ Brit ดูจะเข็ดขยาดจนขอคำสั่งศาลห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้เธอ ซึ่งยังมีผลต่อเนื่องจนกระทั่งปัจจุบัน


อย่างไรก็ตาม แฟนๆของ Brit เชื่อว่า ชีวิตของเธอไม่ต่างจากหนีเสือปะจระเข้ เพราะถึงเธอสลัดคนที่เข้ามาหลอกใช้ออกไปจากชีวิตได้หนึ่งคน ชีวิตเธอก็ต้องถูกบีบคั้นอยู่ภายใต้นรกที่เรียกว่า conservatorship ที่พ่อและผู้ดูแลบงการไม่ให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีอิสระมานานหลายปี เพิ่งจะเป็นปลดปล่อยตัวเองเป็นไทได้ก็เมื่อสองก่อนนี่เอง



ในขณะที่บางคนเชื่อว่า  ชายที่ทำให้จิตใจนักร้องสาวผู้โด่งดังต้องยอมจำนนและกระโจนเข้าหาเขาราวกับลูกกวางติดแม่จะต้องมีเสน่ห์ลุ่มลึก หรือมีออร่าหล่ออันตรายแบบ  Christian Grey  แต่เมื่อย้อนสำรวจ dating history ของ  Britney    หนึ่งในชายที่เธอเคยคบหาออกหน้าออกตาคือ Adnan Ghalib    paparazzi ที่เคยติดตามเธอหลังจากยื่นขอหย่าจาก Kevin Federline   หลังจากพบกันอย่างบังเอิญในปั๊มน้ำมัน พวกเค้าก็สานต่อความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่วูบวาบแบบบแค่เล่นๆคั่นเวลา  แต่เดทกันข้ามปี  ตอนที่มีการเปิดเผยความสัมพันธ์ออกมา แฟนๆของ Brit ช็อคกันไปถ้วนหน้า  เพราะเขาคือคนที่สร้างรายได้จากการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของเธอมาก่อน  และไม่ได้มีลุคที่น่าไว้วางใจ  จนถูกกล่าวหาว่า  ฉวยโอกาสสูบเลือดสูบเนื้อในตอนที่ Britอยู่ในภาวะเปราะบางระหว่างที่เผชิญหน้ากับปัญหารุมเร้า    ตอนที่เลิกรากัน  paparazzi  ด้วยกันได้เล่าให้สื่อฟังว่า  Brit ที่หมดหวังที่จะเชื่อใจคนรอบตัว ก็รู้สึกถูกหักหลังไปมากกว่าเดิม เมื่อเธอพบว่า แฟนหนุ่มหาเงินด้วยการนัดแนะกับ paparazzi คนอื่นให้มาดักถ่ายรูปพวกเค้า    แม้แต่อดีตผู้ช่วยส่วนตัวของ Brit ก็ยังไม่เชื่อว่า เขามีเจตนาบริสุทธิ์ หลังจากที่เห็นเขาเกาะติด Britney มา 8 เดือน และค่อยๆหาช่องทางเข้าหาเธอ มันทำให้เธอรู้สึกขนลุกและอยากให้เขาออกไปจากชีวิต Brit ซะ    ดูคล้ายกับเนื้อหาของ The Idol ที่คนใกล้ตัวของ Jocelyn ดูไม่เห็นด้วยที่เธอจะสร้างความสัมพันธ์แนบชิดกับชายที่ดูไม่น่าไว้ใจ

แม้ Sam Lutfi และ Adnan Ghalib จะไม่ได้ตั้งตัวเป็น guru จนมีผู้ติดตามเชื่อฟังคำสอนเหมือนกับ Tedros แห่ง The Idol แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่ superstar จะเปิดใจรับให้คนที่แทบไม่รู้จักกันให้เข้ามาใกล้ชิด และมอบความเชื่อถือมากกว่าคนที่ทำงานอยู่รอบข้างซะอีก




เรื่องราวของ Sam Lutfi  ฟังดูคล้ายคลึงกับเนื้อหาสำคัญของ  The Idol    เมื่อ Jocelyn ดูจะหลงเสน่ห์ในตัว  Tedros  ชายลึกลับที่บังเอิญพบกันในคลับอย่างถอนตัวไม่ขึ้น  ผู้ช่วยส่วนตัวของเธอแสดงออกชัดเจนว่า   ไม่เห็นด้วยกับการสานสัมพันธ์กับคนๆนี้แม้แต่น้อย  จากคำวิจารณ์ว่า เขาดูเป็นพวกหื่นกาม  ไม่น่าไว้ใจ ชวนอี๋แหวะ   แต่กลายเป็นว่า  Jocelyn ดูจะเชื่อฟังคำแนะนำของเขาแบบไม่สนตรรกะ    เธอชอบที่เขาดูหื่นและอันตราย  แม้จะไม่ไว้ใจ แต่ก็อดจะเข้าไปเล่นกับไฟไม่ได้   (ดูเหมือนว่า ตัวละครนี้จะเข้าทางผู้กำกับ Sam Levinson  ที่เคยปั้นตัวละคร  Nate เป็นนัก gaslight ตัวฉกาจ)

ความสัมพันธ์ชวนให้ค้างคาใจของ self-help guru และ superstar นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ช่วงที่ Justin Bieber ต้องทุกข์ทรมานจากปัญหาความเจ็บป่วยทางจิตใจ และอาการติดยาเสพติด เขาหันไปพึ่งพาองค์กรโบสถ์ Hillsong เพื่อช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจที่บอบช้ำ เขาสนิทกับ Carl Lentz ศิษยาภิบาลที่สร้างชื่อโด่งดังจนได้กระทบไหล่คนดัง Justin เชื่อถือในคำแนะนำของ Carl มาก และตัดสินใจเข้าสู่ 'deฺtox program' เพื่อเลิกเหล้ายาเสพติดโดยไม่พึ่งพาการบำบัด พวกเค้าดูเหนียวแน่นกันจน Justin ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านบาทหลวงผู้นี้ระยะหนึ่ง และให้เครดิตว่า เขาพลิกชีวิตให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยได้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากบาทหลวงคนดัง

 แต่ในเวลาต่อมา  Hillsong สร้างความฮือฮาด้วยการขับ Carl จากองค์กรด้วยข้อหาการกระทำที่แสดงถึงความล้มเหลวทางศีลธรรมจากการนอกใจภรรยา     เป็นเหตุให้ Justin ตัดความสัมพันธ์กับที่ปรึกษาคนนี้และ Hillsong  ไปโดยปริยาย  (หากเป็นสาวกต่อไป ภาพลักษณ์ย่อมเสียหายไปกันใหญ่   เพราะตัว Hillsong ก็ถูกครหาว่าเป็นลัทธิฉาวโฉ่จนมีสารคดีตีแผ่ออกมาแล้ว)
บทบาทของ Tedros ผู้นำลัทธิยุคใหม่ที่มีวิธีสร้างแรงบันดาลใจให้กับสาวกในรูปแบบทรมานของ  The Weeknd ถูกวิจารณ์ว่า ไม่มีแรงดึงดูด หรือน่าเชื่อถือว่า เขาจะมีอิทธิพลที่จะครอบงำจิตใจ  คอยปั่นหัวยุยงคนดังได้     ส่วนตัวนักแสดงนั้นชี้ว่า     ภาพของ Tedros เกิดจากความจงใจให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกอึดอัด ขยะแขยง และขายหน้าแทนตัวละคร  เพราะแม้แต่ตัวเองก็แทบไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าจะทำให้นักร้องชื่อดังหลงเสน่ห์ได้ เพราะเขาเป็นพวกขี้แพ้ดีๆนี่เอง  แต่กลับได้เข้ามาใกล้ชิดกันในคฤหาสน์งามของเธอ และนี่คือโอกาสสำคัญที่เข้าถึงเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต  

The Weeknd บรรยายที่มาที่ไปของบุคลิกตัวละครว่า

"เขามันชั่วร้าย เป็นพวกต่อต้านสังคม จะต้องทำให้ดูดีขึ้นมาทำไมล่ะ? ตัวเขาไม่มีด้านที่ดูลึกลับหนือชวนสะกดใจแต่อย่างใด และเราจงใจถ่ายทอดมันออกมาผ่านลุคของเขา ทั้งเสื้อผ้าและทรงผม เจ้าคนนี้มันมันไอ้เห่ย แค่เห็นก็บอกได้เลยว่าเขาใส่ใจรูปลักษณ์ตัวเองแค่ไหน เขาเชื่อว่าตัวเองดูดีเต็มที่แล้ว"

"แต่พอเขาอยู่คนเดียว มันก็ปรากฏโมเมนท์แปลกๆขึ้นมา เขาคอยซักซ้อมท่องจำ คิดคำนวณ และเขาจำเป็นต้องทำมัน เพราะไม่งั้นแล้วเขาก็ไร้ท่า เขาเป็นพวกน่าสมเพช ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับคนที่ทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย"


แล้วคุณล่ะ สัมผัสถึงกลิ่นอายของ  Britney ใน The Idol  บ้างรึเปล่า


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE