คำเคลมคนดัง จริงแน่หรือแค่ราคาคุย?

37 17

การประกาศเคลมเป็นเจ้าของเครดิตความสำเร็จในด้านต่างๆจะไม่กลายเป็นดราม่า หากมันมาพร้อมกับหลักฐานให้ผู้ฟังตรวจสอบกันได้ชัดๆ แต่ในบางครั้ง คำเคลมด้วยความมั่นใจของคนดังกลับดึงดูดเสียงวิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความหมั่นไส้จากสังคมออนไลน์ หนำยังเจอเรื่องตอกหน้าด้วย fact - check แบบให้เห็นกันไปเลยว่าห่างไกลจากความจริงแค่ไหน

คำเคลมคนดังคนไหนที่ฟันธงได้ว่าเป็นของจริง   และเคลมแบบใดจึงถูกกระแสตีกลับว่าเป็นคำพูดอวดอ้าง   มาติดตามกันได้เลยค่ะ!



Paris Hilton  'เป็นคนบุกเบิกเทรนด์ถ่าย selfie จนโด่งดัง และเป็นเซเลบคนแรกที่หาเงินได้เพียบจากการ party' 

เธอผู้นี้ได้รับคำยกยอว่าเป็น Original Influencer จากยุค 2000s สมัยที่พวกเรายังงมอยู่ใน MySpace และคำว่า Influencer ก็ยังไม่ถูกบัญญัติมาใช้กันเกลื่อนกลาดเหมือนทุกวันนี้ซะด้วยซ้ำ หลายครั้งหลายคราที่ Paris ได้ประกาศถึงความเป็นตัวแม่ที่บุกเบิกเส้นทางให้กับ Influencer รุ่นหลัง แม้แต่ Kim Kardashian ก็ยังยกเครดิตให้ Paris ว่าเป็นต้นแบบที่ช่วยให้เธอประสบความสำเร็จมหาศาลในปัจจุบัน

แต่จริงมากน้อยแค่ไหนที่ Paris  เป็นต้นแบบของวัฒนธรรมการถ่าย  selfie?
เธอเล่าถึงความคลั่งไคล้ในการถ่าย selfie ไว้ว่า

"ฉันคงถ่าย selfie ด้วยเพจเจอร์ไปแล้ว ถ้ามันมีกล้องติดอยู่กับเครื่องอะนะ ฉันคิดว่าตัวเองถ่าย selfie มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ถ่ายด้วยกล้องใช้แล้วทิ้งน่ะ"

 Paris  มั่นใจว่าเป็นเธอนี่แหละที่ทำให้เทรนด์การถ่าย selfie กลายมาเป็นปรากฏการณ์ยาวนานมาถึงทุกวันนี้      ซึ่งที่ผ่านมา เราจะได้เห็นภาพของ Paris โพสสุดจิกเพื่อถ่าย selfie ในอีเวนท์ต่างๆมาตั้งแต่ไหนแต่ไร    วันเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปอาจจะทำให้พวกเราหลงลืมโมเมนท์ที่จับเอากล้อง digital  มาถ่าย selfie แบบต้องหามุมแบบสุ่มเอา   หรือจะเป็นยุคของโทรศัพท์แบบพับได้ที่ให้คุณภาพความคมชัดของภาพค่อนข้างต่ำ    การติดตาม selfie ของ Paris ก็ชี้ถึงวิวัฒนาการของ gadget ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาไปด้วย!

เมื่อเธอได้ทวีทแบบ throw back เพื่อบอกชาวโลกว่า เธอและ Britney เป็นคนต้นคิด selfie ทั้งสื่อและชาวเน็ทต่างยกข้อมูลมาเบรคเธอยกใหญ่ พวกเค้าพยายาม fact - check ว่า ตั้งแต่มนุษย์ได้คิดค้นกล้องถ่ายรูปขึ้นมา ก็มีคนหันกล้องถ่ายรูปตัวเองมาเป็นร้อยปีแล้ว อย่างไรก็ตาม เรากลับมองว่า Paris ไม่ได้มั่นขนาดที่จะอ้างเครดิตว่าเป็นผู้ถ่าย selfie เป็นคนแรกของโลก เพียงแต่เธอเชื่อว่าตัวเองเป็นคนทำให้เทรนด์นี้ฮิตติดกระแส จากอิทธิพลความโด่งดังในอดีตที่ใครๆคอยติดตามเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในยุคที่ไม่มี Instagram และ platform ดังอื่นๆ เธอคนนี้นี่เองที่ถ่าย selfie โชว์สื่อรัวๆ จนเจ้าตัวกล้าประกาศว่าเป็น trensetter ที่ทำให้คนอื่นหันมาปลาบปลื้มการถ่าย selfie เช่นเดียวกัน



กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะถ่าย selfie มาเนิ่นนานก่อน Paris จะเกิด แต่ถ้าถามว่า ใครกันที่ทำให้เทรนด์นี้ดังขึ้นมา? มันก็เป็นเรื่องที่น่าคิด

 แล้วคุณล่ะ ? คิดว่า  Paris คือต้นแบบเทรนด์ถ่าย selfie หรือเปล่า?

นอกจาก selfie Paris ยังเคลมว่า เธอคือคนดังคนแรกที่ได้รับเชิญไป party แบบสนุกสุดเหวี่ยงและยังได้รับค่าตัวสูงลิบลิ่ว ในช่วง peak หากไนท์คลับต้องการตัวเธอไป party ก็ต้องทุ่มจ่ายด้วยเงินเลขเจ็ดหลัก ซึ่งเธอยืนยันว่า ได้รับข้อเสนอให้ไปร่วมอีเวนท์แบบมีค่าตัวมาตั้งแต่ยังเป็นสาว 16 และค่าตัวก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นผู้จัดงานจากต่างแดนก็ดูเหมือนจะทุ่มเต็มที่ให้เธอไปเต้นแซ่บๆในงานแต่ไม่กี่ชั่วโมง

"นับจากจุดนั้น ก็ George Maloof (นักธุรกิจ) ก็โทรติดต่อฉันเพื่อยื่นข้อเสนอว่า Paris ผมกำลังจะเปิดโรงแรมใน Las Vegasและผมจะส่งเครื่องบินส่วนตัวไปรับคุณถึงที่ ผมอยากให้คุณใส่เดรสราคาเป็นล้านมา ชุดนี้จะประดับด้วยชิปเล่นการพนันมูลค่าเป็นล้าน และผมจะจ่ายค่าตัวอย่างงามให้กับคุณเพื่อมาร่วมงาน"

"ตอนนั้นฉันยังอายุไม่ถึง21 ซะด้วยซ้ำ (วัยที่ดื่มเหล้าได้อย่างถูกกฎหมาย) แต่เขาไม่รู้เรื่องนี้ เขาคิดว่าฉันอายุถึงเกณฑ์แล้ว จึงบอกกับฉันว่า ส่งใบขับขี่มายืนยันด้วย ฉันก็เลยใช้พิมพ์ดีดแก้ไขเอกสารให้ดูเหหมือนว่าฉันอายุ 21 แล้ว ตอนนั้นฉันยัง 20 อยู่เลย พอส่งแฟกซ์ไป เขาก็ส่งเครื่องบินมารับฉันจริงๆ และหลังจากที่ฉันไปร่วมงานนั้น ทุกคลับใน Las Vegas ก็โทรหาฉัน พวกเค้าอยากให้ฉันไปร่วม party ทุกสัปดาห์"

  

Jennifer Lawrence  'เป็นนางเอกคนแรกที่รับบทนำในหนังaction'
ในบางครั้ง การเคลมเรื่องบางอย่างอาจจะไม่ได้มาจากเจตนาเพื่อประกาศศักดาเรื่องความสำเร็จ  แต่เป็นการทุบประเด็นสำคัญด้วยการใช้คำพูดที่อาจจะฟังเกินจริงไปบ้าง แต่กระแสตอบรับอาจจะมาพร้อมกับความหมั่นไส้จนลืมประเด็นที่คนเคลมพยายามจะสื่อออกมา  ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับ  Jennifer Lawrence เมื่อเธอได้ถกประเด็นน่าสนใจกับ Viola Davis ในเรื่องทิศทางในวงการภาพยนตร์ว่า  ก่อนหน้าที่เธอจะรับบท Katniss แห่ง Hunger Games นักสร้างไม่เคยเลือกนักแสดงหญิงมารับบทนำหนัง action เพราะว่าคิดว่ามันจะขายไม่ออก  ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดจากการชักจูงใจว่า กลุ่มคนดูทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะเข้าถึงพระเอกหนัง action ได้   แต่คนดูผู้ชายจะไม่รู้สึกเข้าถึงนางเอกหนัง action  และเธอก็รู้สึกยินดีที่เห็นว่า การสร้างหนังในยุคนี้ได้ลบความเชื่อแบบเดิมไป และมันเป็นข้อพิสูจน์ว่า การกีดกันไม่ให้ผู้หญิงมารับบทนำหนัง action นั้นเป็นเรื่องเหลวไหล

เมื่อตัดประโยคที่ว่า "ไม่มีใครเลือกผู้หญิงมารับแสดงนำในหนัง action มาก่อนเธอ" คำพูดของ Jennifer ก็ไม่ได้ชวนค้านความรู้สึกนัก หลายคนก็เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่อว่า ในอดีตนั้นมีมีหนัง action ที่มีผู้หญิงรับบทฮีโร่ที่เป็นหัวใจของเรื่องราวอยู่ไม่กี่เรื่อง แต่เมื่อใดที่คุณเคลมว่าตัวเองเป็นคนแรกหรือไม่เคยที่ใครทำได้เหมือนคุณมาก่อน ซึ่งมันสวนทางกับความเป็นจริง นอกจากทำให้หลายคนร้อง Hello? โดยไม่ต้องนัดหมาย ก็ยังสีเสียงเหน็บแนมว่า เธอให้ความสำคัญกับตัวเองจนเกินเบอร์


Katniss อาจจะเป็นฮีโร่หญิงขวัญใจ millennials    แต่ชาวเน็ทก็พร้อมใจกันออกมาเตือนกความทรงจำว่า ก่อนหน้าจะมีการสร้างหนังตระกูล Hunger Games   โลกก็ได้รู้จักนางเอกหนัง action ที่โด่งดังระดับตำนานมาแล้วหลายคน  ไม่ว่าจะเป็น   Angelina Jolie แห่ง Lara Croft, Uma Thurman แห่ง  Kill Bill, Milla Jovovich  แห่ง Resident Evil, Kate Beckinsale แห่ง Underworld,  สามสาว  Drew Barrymore, Cameron Diaz และ Lucy Liu แห่ง  Charlie's Angels, Michelle Yeoh แห่ง Crouching Tiger, Hidden Dragon (ที่ทำให้เธอก้าวเข้ามาอยู่ในทำเนียบเจ้าแม่หนัง action ใน Hollywood)   หรือจะย้อนไปก่อนหน้าคือ Sigourney Weaver  สาวแกร่งผู้พิชิต Alien      
ซึ่งหลายคนมองว่า แม้ Jennifer จะไม่ได้มีเจตนาเสียหายหรือไม่ได้เมินเฉยต่อการให้เครดิตนางเอกมากความสามารถที่สร้างชื่อเสียงจากหนัง action มาก่อนเธอ   แต่อาจจะพูดแบบอารมณ์พาไปจนมีน้ำเสียงเกินจริงจนค้านความรู้สึกคนฟัง     ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ปฏิเสธได้ยากว่า  การเคลมว่าเป็นคนแรกทั้งๆที่เห็นกันอยู่ว่าไม่ใช่  มันไม่ได้ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของเธอนัก
ตัว Jennifer รับรู้ถึงกระแสโจมตีและรีบออกมาชี้แจงว่า  เธอไม่ได้มีความตั้งใจเคลมว่าตัวเองเป็นนางเอกนำจากหนัง action คนแรก   แต่บทสนทนากับ Viola ที่เผยถึงความเคลือบแคลงใจในการรับบทนำในหนัง The Woman King   เพราะนั่นเป็นโพรเจคท์ใหญ่ที่มีนักแสดงหญิงเชื้อสายผิวดำรับบทนำ และนักแสดงส่วนใหญ่ก็เป็นคนดำเช่นเดียวกัน (ซึ่งไม่ได้ปรากฏในวงการหนัง actionมากนัก) แรกเริ่มเธอได้ตั้งข้อสงสัยว่า จะมีสตูดิโอใดที่จะอัดฉีดเงินทุนเพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ หรือจะโน้มน้าวใจพวกเค้าได้อย่างไรว่านางเอกผิวดำสามารถแสดงหนังทำเงินระดับ box officeได้   เมื่อ Jennifer  จึงได้แสดงความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกันในประเด็นนี้ แต่อาจจะแสดงความเห็นเลยเถิดจนขัดหูคนฟังไปหน่อย


"มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันพยายามสื่อออกมาแต่อย่างใด ฉันรู้ดีค่ะว่าตัวเองไม่ได้เป็นนางเอกเพียงผู้เดียวที่เคยรับบทนำหนัง action ฉันสื่อความหมายในการเน้นย้ำว่ารู้สึกปลาบปลื้มมากเพียงใดที่ได้เห็นว่าความเชื่อเก่าๆถูกทำลายลงไป ฉันได้พูดในการถกประเด็นนี้กับ Viola ซึ่งฉันพลาดเองที่พูดจาจนเข้าใจผิดกันไป ฉันช่างกล้ามาคุยใหญ่โตกับนักแสดงระดับตำนานซะได้"



Liam Payne 'ซิงเกิ้ลเปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวขายได้มากกว่าใครในวง 1D'
สำหรับสมาชิก boy band ชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก  มันคงเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะต้องรับมือกับความคาดหวังหลากหลายประการจากแฟนๆ พวกเค้าต้องเผยถึงมิตรภาพผูกพันแน่นแฟ้น  มีพฤติกรรมเป็นแบบอย่างที่ดีไม่ toxic   และไม่ควรแสดงออกว่ากำลังประชันขันแข่งกันว่าใครมีดีกว่า ดังกว่า หรือประสบความสำเร็จมากกว่า    สำหรับแฟนๆที่ยึดมั่นต่อ boy band ในดวงใจ   แม้ว่าพวกเค้าจะแยกย้ายไปเป็นศิลปินเดี่ยวแล้วก็ยังเป็นยังเป็น BFF ไม่เปลี่ยนแปลง  ก็จะส่งเสริมภาพลักษณ์ให้สวยงาม

แต่สัมภาษณ์ Podcast ของ Liam Payne เมื่อกลางปีนี้ดูจะสวนทางกับความคาดหวังของแฟนๆ One Direction อย่างสิ้นเชิง ผลลัพธ์จากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้อาจจะหนักหนาเกินที่เขาจะรับมือได้ เพราะนอกจากสื่อจะโจมตีว่า นี่เป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากการทำลายอาชีพของตัวเอง เขายังถูกโจมตีหนักจนต้องเก็บตัวหลบกระแสความไม่พอใจอยู่นาน


Liam ได้ให้สัมภาษณ์กับ Logan Paul ว่า

"พวกเราทำเพลงแรกออกมา มียอดสตรีมเป็นพันล้าน ผมว่าเพลงนี้ขายได้มากกว่าผลงาน(เดบิวท์)ของเพื่อนร่วมวงทุกคน และผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกงานเพลงโซโล่ ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ขนาดนี้เลยครับ"

หลังจากปล่อยเพลง Strip That Down เป็นเวลาเก้าเดือน Liam ได้ประกาศอย่างภาคภูมิใจมียอด stream รวมๆกันพันล้าน แต่ชี้ว่านี่เป็นผลงานที่ขายดีกว่าเพลงโซโล่ของ Zayn, Harry, Louis และ Niall นั้นฟังไม่ต่างจากการขิงใส่เพื่อนร่วมวงที่เคยกอดคอสร้างความโด่งดังกันมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น หากเป็น Kanye West เคลมว่าขายดีกว่าคนนั้นคนนี้ ชาวเน็ทอาจจะเคยชินกันไปแล้ว แต่เพราะเป็นคำพูดของอดีต boy band ที่สร้างปรากฏการณ์ความคั่งไคล้ ชาวเน็ทจึงเสาะหาตัวเลขข้อมูลมาพิสูจน์ว่า ซิงเกิ้ลเปิดตัวของเขามียอดสตรีมสูงกว่าสมาชิก 1D จริงหรือไม่

แต่เมื่อมีผู้รวบรวมข้อมูลจาก Spotify และ platform อื่นๆก็พบว่า สมาชิก 1D มียอดสตรีมเกินพันล้านเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถฟันธงกันชัดๆว่าใครถึงพันล้านก่อนกัน เช่น Liam อาจจะมียอดสตรีมพันล้านจากทุก platform ในเวลา 9เดือน โดยในเวลานั้นมียอดสตรีมจาก Spotify 886 ล้าน แต่ยอดสตรีม Pillow talk ของ Zayn และ Sign of the Times ของ Harry นั้นมียอดเกินพันล้านบนSpotify ซึ่จอาจจะใช้เวลานานกว่า 9 เดือน แต่อาจจะเป็นได้ว่า ถ้านำตัวเลขจาก platform อื่นมารวมด้วย พวกเค้าก็อาจจะเอื้อมถึงยอดสตรีมพันล้านเร็วกว่า Liam ก็เป็นได้


แต่แฟนๆหลายคนไม่ได้จบที่ยอดสตรีม เมื่อศิลปินขวัญใจถูกลากมาเปรียบเทียบว่าขายได้น้อยกว่า พวกเค้าไม่ยอมนิ่งเฉย พวกเค้านำสถิติจาก Billboard 200 chart มาเยาะเย้ยว่า ผลงานโซโล่ของ Liam นั้นยังห่างไกลเพื่อนๆแบบไม่เห็นฝุ่น หรือจะเป็น 7 อันดับแรกของเพลงสมาชิกวง1D ที่มียอดสตรีมบน spotify เกินพันล้านเป็นผลงานจาก Harry และ Zayn ซึ่งช่วงดราม่ากำลังเดือดจัด  Popbase ได้ส่งทวีทโชว์ยอดสตรีมผลงานเดบิวท์ของ Harry และ Zayn ที่สูงกว่าเพลงของ Liam จนมีผู้กด like นับแสนและยังมีคนตามถล่มอีกเพียบ

ชาวเน็ทบางคนเหน็บแรงว่า Liam มั่นหน้าอวดเรื่องที่เพลงตัวเองขายดีที่สุดจากอาการมโนไปเอง บ้างก็เตือนสติว่า ถึงเพลงเดบิวท์ของเขาจะประสบความสำเร็จอย่างสวยงามด้วยยอด stream เป็นพันล้านก็ไร้ความจำเป็นที่จะประชันขันแข่งกับเพื่อนร่วมวงจนแฟนๆต้องมาทะเลาะกันว่าใครขายดีกว่า แม้จะไม่ได้ร่วมงานหรือคบหากันอย่างสนิทสนมกันเหมือนในอดีต แต่เขาก็น่าจะโพรโมทตัวเองแบบสวยงามกว่านี้ ซ้ำร้ายเขายังพูดถึง Zaynในแง่ลบ ส่วน Louis ก็เกลียดขี้หน้ากันสุดๆ ในระหว่างที่ยังอยู่ในวง 1D ด้วยกัน ซ้ำร้ายยังแฉอีกว่าเขาเคยมีเรื่องวิวาทถึงขั้นใช้กำลังกับสมาชิกในวงที่ไม่ขอเอ่ยชื่อ

มีหรือที่แฟนของ Zayn และสมาชิกในวงคนอื่นๆจะปล่อยผ่าน การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้สร้างความเสียหายจนกลายเป็น viral ชาวเน็ทชักชวนกันให้ block บัญชี social media ของ Liam เขาหิวแสงจนต้องเอาเรื่องฉาวของอดีตเพื่อนร่วมวงมาสร้างกระแส





ยอมรับผิด  ถูกโจมตีจนไม่กล้าออกจากบ้าน 3เดือน
เมื่อไม่นานมานี้เองที่ Liam  ได้เปิดใจต่อเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า   หลังจากแฟนๆหันมาต่อต้าน ก็ทำให้เขาเข้าสู่ความมืดมนจนทำไม่ออกจากบ้านเป็นเวลาถึง 3 เดือน   เขาได้ขอโทษในสิ่งที่พูดออกไปและยืนยันว่ารักเพื่อนๆร่วมวง   แต่เขามีปมในใจจนนำมาระบายใส่คนอื่น   และตอนนี้เขาก็จัดการความรู้สึกแย่ๆที่ฝังใจไปได้แล้ว เขาจึงออกมาขอร้องให้ทุกคนให้อภัย

บทเรียนคราวนี้ของ Liam  ก็คงจะเป็น 'ขิงอย่างไรให้สะเทือนถึงฐานแฟนคลับ'  และถึงแม้เขาจะเปิดเผยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง  แต่การพาดพิงถึงเพื่อนที่เคยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่สู่ความสำเร็จกันมานั้นจะเกิดเป็นแรงยั่วยุให้แฟนๆ 1D  ออกตัวเพื่อแสดงพลังปกป้องเมนของตัวเอง  จากที่มีแฟนให้กำลังใจมากมายกลับกลายมาเป็นแอนตี้แฟนที่คอยตามโจมตี

  Kim Kardashian 'โชว์สแกนความหนาแน่นของมวลกระดูกและร่างกายสุดฟิตระดับนักกีฬา'

ความเคลมของคนดังที่ผ่านมาอาจจะเกี่ยวกับเรื่องการงานในโลกบันเทิง แต่สำหรับ Kim K ฉีกออกไป เธอนำภาพสแกนความหนาแน่นของมวลกระดูก และ body fat มาโชว์ถึงความแข็งแรงของร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องกระดูกนั้น เธอประกาศว่า จากคำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ กระดูกของเธอแข็งแรงกว่าประชากรอีก 93% โดยพิจารณาจากช่วงวัย เพศ และเชื้อชาติ


แต่การนำข้อมูลมาโชว์แบบชัดๆแบบนี้ ย่อมเป็นงานถนัดของชาวเน็ทจอมจับผิด อย่างแรกเลย มีคนชี้ว่า ผู้เชี่ยวชาญที่พูดถึงตัวเลขคะแนน1.3 Zของ Kim ซึ่งเป็นคะแนนของประชากร 69%- 93% ดังนั้นเธออาจจะอยู่ตรงไหนก็ได้ในกลุ่มตัวเลขนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะพูดผิดหรือเป็นไปได้ว่าชี้ชวนให้ตื่นเต้นไปกับตัวเลขสูงๆ ซึ่งตัว Kim ก็เข้าใจผิดตามนั้น เธอส่งข้อความถึงบอกชาวเน็ทว่า "ได้ยินรึเปล่า ฉันอยู่ในกลุ่มของคนที่มีกระดูกแข็งแรงกว่าประชากร 93%-97% เลยนะ"


ไม่เพียงเท่านั้น Kim ได้โชว์ผลสแกนที่ชี้ว่า เธอมีน้ำหนักราวๆ 52  kg  และได้ลด body fat ไปจากปีที่แล้วจาก 25% เหลือเพียง 18.8% น้ำหนักและไขมันลดลงไปแต่มวลกล้ามเนื้อไม่ลดตาม เข้าข่ายร่างกายแบบนักกีฬา ตามมาด้วยอีโมจิเบ่งกล้ามเพื่อการันตีความฟิต

แต่ทุกความเคลื่อนไหวของ Kim มักจะดึงดูดความหมั่นไส้และไม่เห็นด้วย เธอเคยถูกข้อกล่าวหาช่วง MET Gala ว่า จากการประกาศอย่างภูมิใจว่าทุ่มเทลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบเพื่อจะใส่ชุดในตำนานของ Marilyn Monroe ได้สื่อถึงแนวคิด body image แบบสุดโต่งที่ผู้ติดตามไม่ควรนำมาเป็นเยี่ยงอย่าง เมื่อ Kim ตอกย้ำด้วยการโชว์ตัวเลขสแกนร่างกายก็ทำให้ชาวเน็ทหลายคนฟันธงอย่างมั่นใจว่า เธอคลั่งเรื่องความงามเหนือจริง จนเกิดเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ว่า "หมกมุ่นถึงขนาดอวดเรื่องความหนาแน่นของมวลกระดูกเลยรึนี่?" แต่ในขณะเดียวกัน แฟนๆของเธอก็แย้งว่า นี่คือตัวอย่างดีๆแห่งความพยายามเพื่อความสวยงามและสุขภาพที่ดีต่างหาก ใครๆก็รู้ว่า เธอเข้มงวดกับตัวเองมากขนาดไหนจึงเป๊ะได้ถึงขนาดนี้!


คำครหาต่อมาก็ไม่พ้นเรื่องคอนเทนท์แฝงโฆษณา เพราะเธอได้บรรยายถึงบริการสแกนร่างกายจากบริษัท BODYSPEC ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เธอไม่ได้สาธยายรายละเอียดของบริการเพื่อโชว์ร่างกายฟิตปั๋งเพียงเท่านั้น แต่เป็นงานโฆษณาที่จูงใจให้ผู้ติดตามมาใช้บริการนี้





ชาวไม่ได้โฟกัสที่มวลกระดูกกับ body fat   แต่ข้องใจ ภาพสแกนโชว์ซิลิโคนที่หน้าอกรึเปล่า?
ดูเหมือนว่า จะไม่มีใครข้องใจถึงตัวเลขจากการสแกนร่างกายของราชินี internet   ดูจากส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างก็ตรงกับของจริงแบบเป๊ะๆ   แต่ชาวเน็ทได้ตั้งข้อสังเกตว่า   ทรงกลมสีขาวที่ปรากฏที่ทรวงอกเหมือนกับกกำลังใส่บิกินี่ในภาพ  scan นั้นควรจะเป็นสีที่ตรงกับร่างกายส่วนอื่น  เพราะหน้าอกนั้นประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อและไขมันเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงมีสีขาวเหมือนกับส่วนโครงกระดูก?     นั่นทำให้ผู้ฟันธงเป็นเสียงเดัยวกันว่า มันจะต้องเป็นซิลิโคนจากการเสริมหน้าอกให้อวบอิ่มเป็นแน่!   ที่ผ่านมา  Kim เคยปฏิเสธว่าไม่เคยทำศัลฺยกรรมความงามมาแล้วหลายครั้ง  แม้เธอจะยอมรับว่า เคยฉีด botox มาบ้าง และก็ผ่านกระบวนการเพื่อควางามอย่างการใช้เลเซอร์เพื่อกระชับผิวพรรณร่างกายมาแล้วหลายครั้ง  แต่สิ่งที่พวกเราได้เห็นกันนั้นเป็นของแท้ทั้งหมด ไม่ได้มาจากการขึ้นเขียงผ่าตัดเพื่อความงามแต่อย่างใด


ในเวลาต่อมา ก็ได้มีศัลยแพทย์ Kais Rona จาก California ออกมาไขข้อสงสัยเรื่องสแกนร่างกายวิธีนี้ว่า ตามภาพที่ Kim ได้นำมาโชว์ สีขาวคือส่วนกระดูก ส่วนกล้ามเนื้อจะแทนด้วยสีแดง และไขมันคือสีส้มและเหลือง

"บริเวณทรวงอกจะปรากฏเป็นวัตถุทรงกลมสีขาว เนื้อเยื่อหน้าอกนั้นเป็นไขมัน และควรจะเป็นสีเหลืองหรือส้ม หมอไม่แน่ใจว่าสีขาวตรงนั้นคืออะไร พวกคุณก็ลองสันนิษฐานกันเอง"

นายแพทย์ผู้นี้ยังแนะนำว่า

"สำหรับเรื่องเปอร์เซนต์ไขมัน ตัวเลขของเธออยู่ในระดับนักกีฬาดาวดังของมหาวิทยาลัยหรือนักกีฬาโอลิมปิค หมอจะไม่ด่วนสรุปอะไรไปเอง หมอมั่นใจว่าเธอรับเลือกประทานอาหารโดยยึดหลักสุขภาพดี และเธอก็ออกกำลังกายด้วย แต่อยากให้เข้าใจตรงกันว่า นี่คือบุคคลที่สามารถเข้าถึงตัวช่วยต่างๆได้ง่ายเพียงปลายนิ้วมือ ทั้งการรักษาด้วยตัวยาที่คุณอาจจะไม่พบเห็นมาก่อน กระบวนการเพื่อความงาม เลเซอร์ แพทย์ระดับท็อป เธอมีทุกอย่างที่ว่ามา"

"เพราะเหตุนี้ หมอเชื่อว่าการไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนดังเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก พวกเค้าอาจจะมีกรรมพันธุ์ดีๆ แต่ก็เข้าถึงสารพัดตัวช่วยได้เสมอ"





The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE