รำลึกตำนาน Thierry Mugler

51 13
เพียงไม่นานมานี้ที่โลกfashion ต้องพบข่าวร้าย เมื่อ Virgil Abloh  ผู้ดำรงดำแหน่ง creative directorแห่ง Louis Vuitton  เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง    วงการนี้ต้องพบกับการสูญเสียอีกครั้ง    จากการเปิดเผยว่า Manfred Thierry Mugler ดีไซน์เนอร์ผู้สั่งสมชื่อเสียงยาวนานหลายทศวรรษเสียชีวิตจากสาเหตุทางธรรมชาติในวัย 73 ปี    สร้างความตกตะลึงให้กับคนร่วมวงการ  เพราะไม่กี่เดือนก่อน เขาเพิ่งจะจัดนิทรรศการแสดงผลงานสุดตระการตา  แม้จะเข้าสู่วัยชรา แต่ผลจากการเล่นกล้าม ทำให้เขายังดูกระฉับกระเฉงเปี่ยมไปด้วยพลังความสร้างสรรค์ไม่ต่างจากสามสิบปีก่อน     ทั้งยังมีชื่อเสียงสารพัดผลงานที่ฉีกกรอบไปจากfashion week  การกำกับเวทีการแสดงดนตรี  กำกับ music video  ผลิตน้ำหอมขายดี      การจากไปอย่างกะทันหันจึงสร้างความช็อคให้กับผู้คนไม่น้อยเลย


เหล่าคนดังทรงอิทธิพลต่างร่วมไว้อาลัยให้กับดีไซน์ดังชาวฝรั่งเศสที่ได้รับสมญานามว่า 'ราชาแห่งfashionล้ำโลก'    เราจึงขอเป็นอีกคนที่ร่วมรำลึกตำนานของ Manfred Thierry Mugler    มาติดตามกันได้เลยค่ะ 


เปล่งประกายความอัจริยะในวงการ high fashion ตั้งแต่อายุไม่ถึง 30  


ย้อนไปในยุค70s ดีไซน์เนอร์หนุ่มวัย 25 ได้เปิดตัว collection แรกที่ชื่อว่า Café de Paris ดึงดูดความสนใจจากโลก fashion ชั้นสูง profile ที่แสดงความเป็นศิลปินของเขาดูแตกต่างจากดีไซน์เนอร์คนอื่นๆ เพราะเริ่มฝึกฝนเล่าเรียนการเต้นแบบ classical มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายเมื่อเข้าสู่วัยทีนก็เข้าร่วมคณะบัลเลต์อยู่หลายปี จวบจนเติบใหญ่จึงให้ความสนใจเข้าศึกษาสาขาการตกแต่งภายใน the HEAR (Haute école des arts du Rhin) โรงเรียนศิลปะเก่าแก่

Mugler ได้รับแรงสนับสนุนจาก บรรณาธิการนิตยสาร fashion ให้เปิดตัวแสดงผลงาน ด้วยเอกลักษณ์ของดีไซน์เสื้อไหล่กว้าง (power suitXและความล้ำที่ดูเหมือนกับชุดของนักแสดงในหนังsci-fi ชื่อเสียงของเขาก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เริ่มจาก Paris ก็สร้างกระแสร้อนแรงในวงการ fashion ระดับโลก ในโลกที่ยังไร้ social media ความแปลกล้ำที่ Mugler นำเสนอผ่าน fashion showได้สร้างเสียงกล่าวขวัญในยุต 80s-90s และได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของดีไซน์เนอร์รุ่นหลังอีกหลายคน


การเปลี่ยนสายอาชีพที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ



"หลังจากที่ทุ่มเทกับการเต้นในการแสดงโอเปร่ามาตลอดหกปี ผมก็รู้สึกว่าถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ผมไม่อยากจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อเต้นในโชว์ The Nutcracker นักออกแบบท่าเต้นชื่อดัง Maurice Béjart แสดงความสนใจอยากว่าจ้างผม แต่ก็บอกปฏิเสธไปเพราะผมไม่อยากโบกบ้ายไปอาศัยในบรัสเซลล์ ใครๆก็บอกว่าผมบ้าไปแล้ว แต่ความฝันของผมก็คือการไปอยู่ที่ Paris หรือไม่ก็ New York เมื่ออายุได้ 21ก็ย้ายมาที่เมืองหลวงแห่งฝรั่งเศส ผมได้มาค้นพบงานสไตลิสต์ที่ทำเงินได้สูง จากนั้นก็เริ่มวาดรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ภายในเวลาสองสัปดาห์ ผมก็ได้งานใหม่แล้วครับ"








โครงสร้างและSilhouette ที่เป็นเอกลักษณ์



นับตั้งแต่ช่วงปลาย 70s ที่ได้เปิดบูทีค สไตล์ที่ถูกเรียกว่า power-dressing ที่ประกอบไปด้วยสูทเสริมไหล่สีดำ ชุดรัดรูปจับคู่กับรองเท้าส้นสูงสวนทางกับเทรนด์แบบโบฮีเมียนและดิสโก้ที่ฮิตระบาดไปทุกหย่อมหญ้า   เมื่อเพิ่มความโดดเด่นด้วยโครงสร้างบริเวณเอว สะโพก  ทั้งยังใช้วัสดุต่างๆที่เหนือความคาดหมาย   คุณอาจจะไม่คาดคิดว่าดีไซน์เนอร์ชื่อดังแห่งวงการ fashion ชั้นสูงจะรังสรรค์ผลงานที่ใช้วัสดุที่เสาะหามาจาก sex shop   แต่เมื่อได้ชมบรรยากาศอันตื่นเต้นเร้าในใน fashion show ที่ถือเป็น signature ของแบรนด์แล้ว  คุณก็แทบจะไม่แปลกใจเลยว่า  จินตนาการของเขาไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ   

Mugler เคยกล่าวอย่างมั่นใจเกินร้อยว่า

"ผมเป็นผู้หนึ่งที่พลิกโลก fashion  เพราะก่อนหน้าที่ผมจะเปิดตัวcollection แรก  ไม่มีใครทำเดรสหางปลาและชุดแนบเนื้อ  ผมได้นำเสนอความเป็นสมัยใหม่และรูปทรงการตัดเย็บที่แตกต่าง เป็นการค้นพบแนวคิดเรื่องรูปร่าง ทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งเป็นที่ยอมรับ  ผมทำให้คนอื่นรู้สึกหวั่นใจ ถ้าเกิดมีคนให้เงินผมหนึ่งเพนนีต่อหนึ่งชุดที่สร้างมาจากแรงบันดาลใจในดีไซน์ของผมแล้วล่ะก็  ป่านนี้ผมเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วล่ะ"
.
หลายคนยกให้เขามีวิสัยทัศน์แห่งความเป็นอนาคต  เพราะหลายสิบปีก่อนบรรดาลุคต่างๆที่ปรากฏบนrunway นั้นดูไม่ใช่สิ่งที่นำมาใส่เฉิดฉายในชีวิตจริง แต่เป็น costume ประกอบหนังหรือละครเวที    กลับกลายเป็นว่า เมื่อถึงยุคปัจจุบัน เราก็ได้เห็นดารานักร้องรวมไปถึง influencer  ใส่ชุดในรูปแบบอนาคตกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว


"ผมเชิดชูความอีโรติกและเรื่องทางเพศอย่างสุดตัว  เผยให้เห็นด้านของชายหญิงที่เหมือนกับสัตว์  สำหรับผมแล้ว  มนุษย์คือสัตว์ที่งดงามที่สุดในโลก   ผมมีมุมมองต่อเรื่องเพศว่าเป็นเรื่องในแง่ดีและมีความสนุกสนาน  คนอื่นมองเป็นเรื่องฉาวโฉ่เพราะผมใช้วัสดุสวยงามที่หาได้ก็เฉพาะในsex shop"



Mugler Show ที่สั่นสะเทือนวงการ fashion

เมื่อได้รับคำถามว่า เชื่อมั่นหรือไม่ว่าตัวเองมีพรสวรรค์จึงสร้างชื่อเสียงได้อย่างรวดเร็ว Mugler ยอมรับอย่างมั่นใจ เขาชี้ให้เห็นถึงชุดแข็งของตัวเองนั่นคือการจัดงานแสดงบนเวที  และ fashionในมุมมองของเขาก็เปรียบดั่งการนำเสนอผลงานในโรงละครนั่นเอง


เมื่อย้อนไปชม  show ของแบรนด์นี้ในยุคเรืองรองของ supermodel ช่วง 80s-90s     อาจจะสร้างความรู้สึกแบบหนังsci-fi   แต่ก็เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา   ห่างไกลจากหลากหลาย  fashion show ในยุคปัจจุบันที่ยึดมั่นกับนางแบบที่สับขามาพร้อมกับตีสีหน้าไร้อารมณ์

นางแบบที่เฉิดฉายใน Mugler show จะสวม character ที่สอดคล้องกับดีไซน์เพื่อเพิ่มพูนเสน่ห์ของมันให้เต็มไปด้วยความท้าทาย  concept ของ Mugler Show จะพร่างพรูไปด้วยความตื่นเต้นบันเทิงใจ    จะให้เลือกว่า  show ใดตรึงตราใจที่สุดก็คงบอกได้เลยว่าเลือกยาก  เพราะทั้งความอลังการและเหล่านางแบบก็ฟาดกันแบบไม่หวงของ  เป็นยุคที่ fashion show ตราตรึงใจข้ามทศวรรษ และถูกนำมาชื่นชมซ้ำๆ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้พบได้บ่อยครั้งในยุคนี้ 


ยืนหยัดเชิดชู LGBTQ community


Kim Kardashian ยกให้ Mugler เป็นราชาแห่งความ camp (ไม่ระบุเพศ) จากชื่อเสียงยาวนานที่ไม่ต้องปกปิดรสนิยมทางเพศแบบชายรักชายของ Mugler ทั้งยังสนับสนุนแนวคิดแบบไม่จำกัดกีอบด้วยคำว่าชาย-หญิง ในบุคก่อนนั้น แม้แต่วงการ fashion เองก็ยังแสดงอคติต่อการแสดงออกแบบ queer แต่เขาก็ท้าทายด้วยการส่งนางแบบ drag queen และtrans เดินrunway แบบเชิดๆ เริ่ดๆ โดยไม่สนใจว่าจะถูกสกัดดาวรุ่ง เขานับเป็นหนึ่งในดีไซน์เนอร์ที่คัดเลือกนางแบบ trans มาถ่ายแบบ


Connie Fleming นางแบบ trans ได้เผยถึงการร่วมงานกับ Mugler ในยุค 90s ที่สังคมไม่ได้มีปฏิกิริยาในเชิงบวกไว้ว่า

"การที่ฉันได้ไปเดินแบบบนrunwayของ Mugler นั้นอาจจะกลายเป็นจุดจบทางธุรกิจของเขาไปเลย  คนอื่นต่างก็คิดว่าจะไม่มีใครซื้ออะไรจากแบรนด์ของเขาอีก  แต่ธุรกิจเขาก็ไม่ได้ย่อยยับลงไปหรอกนะ"







Paul Cavaco อดีตผู้อำนวยการฝ่าย fashion แห่ง Harper’s Bazaar ได้เล่าบรรยากาศในยุค 90s ที่มีต่อ Mugler ไว้ว่า

"แม้จะรู้เรื่องรสนิยมทางเพศดีอยู่แก่ใจ แต่คนก็จะไม่พูดคุยเรื่องนี้ออกมาตรงๆ มันเป็นอะไรที่ถูกมองว่าไม่ chicเอาซะเลย  แต่เขากลับส่งdrag queen อย่างLypsinka มาเดินrunway"

ในสมัยก่อนนั้น ไม่มีกระแสเรียกร้องจากชาวเน็ทให้ดีไซน์เนอร์สนับสนุนความหลากหลายผ่านผลงาน fashion แต่มันคือจุดแข็งแกร่งของ Mugler จวบจนปัจจุบัน แม้กระทั่งที่เขาจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม



Mugler ดีไซน์เสื้อผ้าให้กับ David Bowie  ศิลปินในตำนานที่เป็นผู้นำแห่งความ  queer  โดยไม่หวั่นต่อกระแสต่อต้านจากผู้ที่ไม่เปิดใจยอมรับความแตกต่าง    เขาเคยใส่เดรสฝีมือดีไซน์ของ Mugler และรองเท้าส้นสูงใน MV Boys Keep Swinging ในปี 79  และอีกหลายลุคที่แสดงถึงตัวตนแบบไร้เพศหรือ androgynous   มันยังเป็นเรื่องต้องห้ามที่ค้านความรู้สึกของผู้คนจำนวนมาก  เคมีที่ตรงกันขนาดนี้  ไม่น่าแปลกใจนักที่ Bowie กลายมาเป็นแฟนผลงานของ Mugler  การแสดงตัวตนอย่างไม่ต้องคอยถูกเหนี่ยวรั้งด้วยความรู้สึกผิดรู้สึกผิดนั้นทำให้พวกเค้าถูกมองว่าเป็นขบถสังคมหรือแม้กระทั่งถูกจิกกัดว่าเป็นตัวประหลาด  แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นฮีโร่ที่สร้างความหวังให้คนที่ 'แตกต่าง'  



จากดีไซน์ที่ถูกมองว่า 'ฉาวโฉ่'และ 'เข้าถึงยาก'  กลับมากวาดความนิยมจากคนดังทรงอิทธิพล


สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Mugler ถูกกล่าวขานว่าเป็น controversy แห่งวงการ fashion   คือการนำเสนอความเปลือยเปล่าผ่านศิลปะอาภรณ์   หนึ่งในดีไซน์ที่โดดเด่นคือ bodysuit หรือ cat suit ผ้าเบามองเห็นเนื้อหนังภายใน ดูไม่ต่างจากชุดชั้นในอันเย้ายวน   มันเคยถูกมองว่า คงจะชุดที่ปรากฏบนrunway หรือไม่ก็ปกนิตยสารเท่านั้น   เพราะมันช่างดูโป๊เปลือยเกินกว่าจะใช้ในโอกาสอื่นได้

แต่ไม่กี่ปีมานี้  bodysuit ที่มีดีไซน์ cut out  และลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Mugler  ได้ปรากฏบนพรมแดง  party, งานแสดง concert และ music video   จนถูกเปรียบเปรยว่าเป็น uniform ของ popstar ไปซะแล้ว  

บรรดาอิทเกิร์ลแห่งยุค 2020s ต้องผ่านการใส่ bodysuit แบรนด์ Mugler มาแล้วทั้งนั้น   ดีไซน์เหล่านี้อาจจะไม่ใช่ผลงานออกแบบของ Mugler แต่เป็น  creative director ของแบรนด์ที่มารับช่วงต่อที่ปรับให้ดีไซน์เข้าถึงคนรุ่นใหม่ในรูปแบบ ready to wear แต่ก็ยังคงลายเซ็นต์ของผลงานในช่วง 90s ได้ชัดเจน


Collaboration กับ superstar


หลังจากฝากฝีมือการออกแบบและนำเสนอ show สุดอลังการติดต่อกันหลายปี    Mugler ก็พบกับจุดอิ่มตัวอีกครั้ง  เขาปรารถนาจะสัมผัสงานศิลปะในรูปแบบอื่นและตัดสินใจก้าวลงออกจากการกุมบังเหียนแบรนด์ในตำแหน่ง creative directorในปี  2003    และโอกาสที่ยอดเยี่ยมก็เข้ามาถึง  เมื่อ Beyonce ได้ให้ความสนใจต่อผลงานและมุมมองด้านสุนทรียศาสตร์ของดีไซน์เนอร์ผู้นี้ และแต่งตั้งให้เขาเป็นcreative  advisor สำหรับการทัวร์รอบโลกในปี 2009   นอกจากจะสร้างสรรค์ชุดให้กับดิว่าคนงาม   ยังได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการนำเสนอศิลปะการแสดงบนเวทีให้ตรงตามวิสัยทัศน์สุด fierce ของเธออีกด้วย






"ส่วนใหญ่คนดังที่ผมร่วมงานด้วยจะเป็นยอดหญิงและยอดชายที่ใช้ชีวิตอยู่นอกกรอบและกล้าที่เปิดใจพูดกับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะในโลก  fashion เท่านั้น   ผมชอบที่จะเพิ่มศักยภาพที่มีตามธรรมชาติของพวกเค้า เปิดทางให้พวกเค้าได้ค้นพบแง่มุมของตัวตนใหม่ๆ และเป็นกำลังให้พวกเค้าได้เผชิญโลก"  



คนดังที่เขากล่าวถึงถูกยกย่องให้อยู่ในระดับ fashion icon   ไม่ว่าจะเป็น George Michale, Diana Ross, David Bowie, Beyonce และล่าสุดคือ Kim Kardashian  





Kim Kardashian  ที่ไต่ระดับจากอาชีพ stylist  จนกลายมาเป็น ราชินี internet ที่คว้ารางวัล fashion icon  เป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่ทำให้ชื่อของ Mugler เปรี้ยงปร้างไม่แพ้ยุค 90s       แม้ว่าจะไม่ใช่  creative director ของ แบรนด์อีกต่อไป  แต่เขาก็กลับมาทำหน้าที่ที่ปรึกษาตั้งแต่ปี 2013   จากผลงานในอดีตที่เข้าตาทำให้ Kim ติดต่อไปยัง Mugler เพื่อหารือเรื่องแนวทางการร่วมงานในอนาคต  เขารู้ในทันทีว่า เธอคือเทพีVenus ที่จะเป็น muse คนต่อไป   เขาเนรมิตหลากหลายลุคให้กับ  Kim จนเกิดเหตุการณ์ break the internet   รวมถึงชุดหยดน้ำใน Met gala  เพื่อจะใส่ชุดในฝันที่สร้างความประทับใจให้กับผู้คนแล้ว  เธอจะต้องฝึกใส่corset อย่างจริงจัง และทนทรมานหลายชั่วโมงจนจบงาน

เมื่อได้รู้ข่าวว่าดีไซน์เนอร์คนโปรดได้เสียชีวิตลงไปกะทันหัน Kimได้กล่าชื่นชมผู้วายชนม์ด้วยความอาลัยและซาบซึ้งที่ได้ใช้เวลาด้วยกัน เธอเผยว่าก่อนหน้านี้ยังได้วางแผนทำงานร่วมกันอีกหลายชิ้น แต่ต้องมาพบกับข่าวร้ายเสียก่อน




"ผมอุทิศทั้งชีวิตเพื่อสัตว์ที่งดงามที่สุดในโลก นั่นคือชาวมนุษย์นั่นเอง"
"ผมเชื่อมั่นว่าความงามจะรักษาโลกไว้ได้"


Manfred Thierry Mugler 



candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE