คามิลเลียแดงแรงบันดาลใจใหม่ บ่มเพาะนานกว่า 100 ปี จนเป็น N°1 DE CHANEL ความงามแบบยั่งยืน

73 13
เมื่อพูดถึง CHANEL หลายคนคงจะนึกถึงภาพดอกไม้สีขาวที่ประดับอยู่บนแพคเกจถุงสีดำคลาสสิค เป็นดอกไม้ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครองกันคนละดอกสองดอก!

ดอกไม้สีขาวสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของ CHANEL นั่นคือ "ดอกคามิลเลีย" นั่นเอง ซึ่งเรามักจะเห็นดอกคามิลเลียถูกดีไซน์ให้อยู่บนกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับของแบรนด์เกือบแทบทุกชิ้น

แต่คุณคะรู้ไหมว่า .. "คามิลเลีย" 
ไม่ใช่แค่ดอกไม้ที่ CHANEL หยิบขึ้นมาเพราะแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ดอกคามิลเลียนั้นมีเรื่องเล่า มีความสำคัญกับ CHANEL มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์แรกๆ จนถึงทุกวันนี้
ไลน์สกินแคร์ และเมคอัพใหม่ N°1 DE CHANEL 9 ไอเท็มในแพคเกจจิ้งสีแดงสุดหรูหรานี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากดอกคามิลเลียสีแดงร้อนแรง ที่มีความพิเศษมากกว่าดอกไม้ทั่วไปนั่นเอง

เชื่อว่ายิ่งทำให้หลายๆ คนรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีกว่า "ทำไมถึงต้องเป็นคามิลเลียสีแดง? " และดอกไม้ชนิดนี้มีดีอะไร CHANEL ถึงเลือกมาใช้เป็นตัวชูโรงในผลิตภัณฑ์ไลน์ใหม่นี้ วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมาหาคำตอบเกี่ยวกับสตอรี่ของดอกคามิลเลียกับ CHANEL ให้หายข้องใจกันสักที!

ดอกคามิลเลียสำคัญกับ CHANEL ยังไง?


จุดเริ่มต้นของความหลงใหลในดอกคามิลเลียของาเบรียล ชาเนล (Gabrielle Chanel) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ CHANEL เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอได้ไปดูการแสดงเวทีของ Alexandre Dumas ที่มีชื่อว่า ‘The Lady of the Camellias’ เมื่อสมัยที่มาดมัวแซลชาเนลยังเป็นวัยรุ่น

ดอกคามิลเลียที่มาจาก "ความรัก"

หลายปีต่อมา “Boy Capel” คนรักของกราเบรียลก็ได้มอบช่อดอกไม้ ซึ่งเป็น ช่อดอกคามิลเลีย ให้กับเธอ ว่ากันว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างรอบตัวเธอก็เริ่มรายล้อมไปด้วยดอกคามิลเลีย ไม่ว่าจะเป็นการเสื้อผ้าที่ประดับด้วยดอกคามิลเลียที่ทำมาจากผ้าซาติน หรือตกแต่งอพาร์ทเมนต์ในปารีสด้วยโคมไฟระย้ารูปดอกคามิลเลีย ถือเป็นการตอกย้ำถึงความชอบในดอกไม้ชนิดนี้ของมาดมัวแซลชาเนลอย่างแท้จริง!

ดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่น! ไม่ทับไลน์ CHANEL N°5 

ว่ากันว่าอีกหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มาดมัวแซลชาเนลชอบดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษ  นั่นก็เพราะว่า "ดอกคามิลเลียนั้นไม่มีกลิ่น" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ถูกใจมาดมัวแซลชาเนลมากเพราะกลิ่นของดอกไม้จะได้ไม่ไปตีกับกลิ่น CHANEL N°5 น้ำหอมกลิ่นไอคอนิคของแบรนด์ที่เป็นกลิ่นน้ำหอม Signature ของกาเบรียล ชาเนล

ดอกไม้สุดสตรอง อยู่ได้ทุกสภาพอากาศ


ดอกคามิลเลียคือ 1 ในดอกไม้ไม่กี่ชนิดในโลกที่สามารถผลิดอกอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นได้ แม้ภายนอกจะดูบอบบาง น่าทะนุถนอม เหมือนร่วงโรยได้ง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นดอกไม้ที่แข็งแกร่ง สามารถผลิบาน ให้สีสันสดใสท่ามกลางหิมะที่ปกคลุม และทนกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่เชื่อ

เพราะถึงแม้ว่าฤดูจะเปลี่ยน แต่ใจกลางของดอกคามิลเลียจะยังมีการผลิตเซลล์ใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนในการสร้างลำต้น กิ่ง ใบ และดอกใหม่อยู่ตลอด ว่ากันว่าที่มาของความสตรองนี้เกิดจากวิวัฒนาการ และการปรับตัวนับล้านๆ ปีของดอกคามิลเลีย ต่อสภาพแวดล้อมที่เข้ามาคุกคามเช่น ความแห้งแล้ง ความหนาวเย็น การคุกคามของแมลง และโรคพืชต่างๆ นั่นเอง และนี่คือสาเหตุที่ดอกคามิลเลียสามารถอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะโดนน้ำฝน หรืออากาศที่หนาวเหน็บก็ไม่สะทกสะท้าน!

ความงามอย่างยั่งยืนต่อผิวและโลก


ดอกคามิลเลียไม่ใช่แค่ดอกไม้ที่สวยและสตรองเท่านั้น แต่ N°1 DE CHANEL ยังนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำบรรจุภัณฑ์ ทำให้เห็นได้ว่า CHANEL ไม่ได้แค่ใส่ใจแค่เรื่องความงามเรื่องการลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังใส่ใจ "เรื่องสิ่งแวดล้อม" เป็นความงามที่ยั่งยืนทั้งผิว และความยั่งยืนของโลกอีกด้วย

ลดปริมาณการปล่อย CO2 & ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ 97%

บรรจุภัณฑ์ในไลน์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่บรรยากาศ ไปจนถึงส่วนผสมที่ควบคุมอย่างเข้มงวด โดยสูตรของผลิตภัณฑ์ประกอบด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติถึง 97% และส่วนผสมจากดอกคามิลเลียสูงสุดถึง 76% เหมาะกับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวแพ้ง่าย

  • ใช้บรรจุภัณฑ์แบบแก้วที่รีไซเคิลได้
    และพิมพ์ด้วยหมึกออร์แกนิก โดยใช้วิธีการสลักลงในแม่พิมพ์แทนการใช้หมึก
  • ผลิตด้วยวัสดุที่ย่อยสลายได้
    ฝาบรรจุภัณฑ์ครีมบำรุงผิว Revitalizing Cream ใช้ผลิตด้วยวัสดุที่ย่อยสลายได้ 90% โดย 10% นั้นมาจากเปลือกของเมล็ดดอกคามิลเลีย และยังนำกระปุกเดิมมาซื้อรีฟิลอีกครั้งได้เพื่อช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ
  • บรรจุภัณฑ์น้ำหนักเบาขึ้นเฉลี่ย 30% 
    ออกแบบให้เรียบง่ายและทันสมัย จากส่วนผสมของวัสดุชีวภาพที่ย่อยสลายได้ และบางบรรจุภัณฑ์สามารถนำไปรีไซเคิลได้ในบางกรณี
  • ไม่มีการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง
    เช่นพวกกระดาษเซลโลเฟน รวมถึงแผ่นพับต่างๆ แต่ปรับมาใช้เป็น QR Code แทน
  • ใช้วัสดุให้น้อยที่สุด
    ผลิตภัณฑ์ขนาดทดลอง และจุดแสดงผลิตภัณฑ์ที่เคาน์เตอร์มีการใช้วัสดุให้น้อยลง โดยเน้นใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้

ใส่ใจโลกทุกรายละเอียด


นอกจากที่จะต้องเฟ้นหาดอกคามิลเลียที่ดีที่สุดแล้ว ขั้นตอนการออกแบบของ CHANEL คือที่สุดของการท้าทายด้านนวัตกรรมที่แท้จริง โดยนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ CHANEL เป็นความร่วมมือที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2018 ระหว่างฝ่ายนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์น้ำหอมและความงาม และบริษัท Sulapac ของฟินแลนด์

ใส่ใจโลกแต่ทุกรายละเอียดยังคงคุณภาพเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน โดยการออกแบบจะถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วนที่สุดตามมาตราฐานของชาเนล ยังคงคุณภาพเช่นเดิมทั้งการใช้วัสดุ การทนความร้อนในอุณหภูมิต่างๆ หรือแม้แต่เสียงการเปิดปิดฝาที่เป็นเอกลักษณ์ และความรู้สึกเมื่อสัมผัสกับบรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่มิติความลึกของลายบนบรรจุภัณฑ์เองก็ตาม

'คามิลเลีย' ดอกไม้ที่สะท้อนตัวตนของ CHANEL ได้ดีที่สุด


ถึงแม้ว่าดอกคามิลเลียจะอุดมไปด้วยสารอาหาร มีสีสันที่สดใส และนำมาใช้ในส่วนหนึ่งของบรรจุภัณฑ์แล้ว แต่ดอกคามิลเลียก็ต้องใช้พลังงานมหาศาลกว่าที่จะออกดอก หล่อเลี้ยง และทำให้ดอกคามิลเลียบาน และเมื่อบานแล้วก็จะร่วงโรย หายไปภายในไม่กี่วัน คามิลเลียจึงเรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ที่สื่อถึงความหรูหรา และฟุ่มเฟือย แต่กาเบรียล ชาเนลมองเป็นคุณค่ามากกว่านั้น..


"กาเบรียล ชาเนล มองเห็น และรู้ถึงคุณค่า ความแข็งแกร่ง ของดอกคามิลเลียที่สามารถปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถรับมือกับปัญหา และมีความมุ่งมั่นที่จะเจริญงอกงามอย่างแรงกล้า และยังมีความสง่างาม ไร้กาลเวลาซึ่งคล้ายคลึงกับตัวตนของแบรนด์ CHANEL ที่สุด!"


ไม่แปลกใจที่ว่าความสวยที่ดูบอบบาง หรูหรา แต่กลับแข็งแกร่งภายในคือตัวตนที่สะท้อนออกมาได้ดีที่สุดจากดอกคามิลเลียที่ถูกหยิบยกให้เป็น 1 ในดอกไม้ที่หลายคนอยากครอบครอง

'คามิลเลียสีแดง' พิเศษที่สุดกว่าสีอื่นๆ!


หลายคนคงคุ้นเคยกับดอกคามิลเลียสีขาวกันจนชินตา แต่จากไลน์ใหม่ล่าสุด N°1 DE CHANEL นี้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก เพราะชาเนลเลือกใช้ "ดอกคามิลเลียสีแดง" มาเป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น ทำให้กลายเป็นไลน์ที่ทุกคนไม่ควรพลาด

โมเลกุลพิเศษใน 'คามิลเลียสีแดง' ที่ไม่เคยพบในสายพันธุ์อื่น


เจ้าดอกคามิลเลียสีแดงคือดอกคามิลเลียสายพันธุ์ "เดอะซาร์" (The Czar) แตกต่างจากดอกคามิลเลียสายพันธุ์อื่นๆ เพราะมีกรดโปรโตคาทีคูอิกเข้มข้น ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กลีบดอกมีสีแดงสวยสดตัดกับสีแดงเข้มของเส้นดอก และยังเป็นโมเลกุลที่ไม่เคยพบในดอกคามิลเลียชนิดอื่นมาก่อน!

โมเลกุลพิเศษที่เต็มไปด้วยพลังการบำรุงผิว

จากโมเลกุลพิเศษในกลีบดอกคามิลเลียสีแดงนี้ CHANEL ค้นพบว่ามันเต็มไปด้วยคุณค่าด้านความงาม! เพราะมันมีพลังในการฟื้นฟูผิว และช่วยให้ผิวคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้ยาวนาน เนื่องจากสารสกัดที่พบในกลีบดอกคามิลเลียสีแดงอุดมด้วย สาร Anti- Oxidant ตามธรรมชาติที่ช่วยปกป้องผิวจากภาวะความเครียด ต่อต้านความร่วงโรย และปรับปรุงคุณภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ และเปล่งประกาย

เปลี่ยนโมเลกุลกลายรูปแบบให้กลายมาเป็น N°1 DE CHANEL 

ในการผลิต CHANEL ได้นำโมเลกุลสุดพิเศษนี้มาแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปแบบน้ำ ออยล์ และแวกซ์ เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักในผลิตภัณฑ์ไลน์ N°1 DE CHANEL เพื่อทำให้เมื่อซึมซาบเข้าสู่ผิวแล้วโมเลกุลเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้าง ปราการป้องกัน และชะลอการสูญเสียน้ำของผิว เพื่อให้ผิวชั้นนอกแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

  กว่าจะเป็น  N°1 DE CHANEL 


CHANEL มีความเชื่อว่า "พลังของธรรมชาตินั้นยากที่จะหาอะไรมาเปรียบ" ทางแบรนด์จึงเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมีธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญ 

ประสบการณ์ 100 ปี เสาะหาคามิลเลียที่ใช่กว่า 20 ปี!


นับตั้งแต่การพัฒนาน้ำหอม N°5 CHANEL ชาเนลก็ได้สั่งสมความเชี่ยวชาญในการเพาะปลูกดอกไม้ การรักษาคุณภาพของวัตถุดิบ และการควบคุมสายการผลิต มาเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปี เรียกได้ว่ากว่าจะมาเป็น N°1 DE CHANEL ชาเนลนำเอาประสบการณ์ทั้งหมดกว่าทศวรรษมาบรรจุลงในผลิตภัณฑ์ในไลน์นี้ทุกชิ้น

นอกจากนั้น CHANEL ได้ทำการศึกษา สังเกตความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการกลางแจ้ง (Open Sky Laboratories) ของชาเนลทั้ง 4 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 20 ปี และที่นี่ก็คือต้นกำเนิดผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของ CHANEL ทั้งหมดนั่นเอง

ค้นพบครั้งสำคัญ คามิลเลียสีแดงช่วยต่อต้าน 'ความชรา'


หลังจากการทดลองเกือบสิบปีโดยร่วมมือกับนักวิจัยจากคณะเทคโนโลยีชีวภาพ และความชรา จากมหาวิทยาลัยทรัพยากรธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์ชีวภาพในเวียนนา
ทีมวิจัยของ CHANEL ก็ได้มีการค้นพบครั้งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของเซลล์ที่เรียกว่า ‘Senescence’ (ความชราภาพ) ซึ่งไม่เคยถูกค้นพบที่ไหนมาก่อน 

ทีมวิจัยของ CHANEL ได้สังเกตเห็นว่า
"ปัจจัยคุกคามภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความเครียด รังสีอัลตราไวโอเล็ต และมลพิษ เป็นตัวเร่งให้เซลล์เข้าสู่ภาวะความชราเร็วขึ้น โดยเซลล์จะหยุดสร้างใหม่ และรบกวนการทำงานของเซลล์อื่นๆ ซึ่งทำให้ผิวดูแก่ก่อนวัย และแสดงให้เห็นถึงสัญญาณแห่งความร่วงโรย"

ผู้เชี่ยวชาญของ CHANEL จึงได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดจากดอกคามิลเลียสีแดงซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม! เพราะสามารถช่วยได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มของการเกิดความชราของผิว โดยจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี อ่อนเยาว์เป็นระยะเวลานาน

เฟ้นหาจากคามิลเลียกว่า 2,000 สายพันธุ์


หมู่บ้านโกฌักค์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เป็นเมืองเล็กๆ ที่ชาเนลใช้เพื่อสร้างเป็นสถานที่ทดลองพืชพรรณมาตั้งแต่ปี 1998 เป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศที่พิเศษ เพราะมีอุณหภูมิเฉลี่ยเท่ากับในประเทศญี่ปุ่น หรือทางใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของดอกคามิลเลียสีแดงนั่นเอง ซึ่งที่นี่ชาเนลได้อนุรักษ์พันธุ์พืชหายาก และมีสายพันธุ์ของดอกคามิลเลียที่รวบรวมจากทั่วโลกกว่า 2,000 สายพันธุ์


ผ่านมือผู้เชี่ยวชาญด้านคามิลเลียระดับโลก


ฌ็อง โตบี (Jean Toby) ผู้เชี่ยวชาญด้านดอกคามิลเลียระดับโลกได้ทำการเพาะเลี้ยงพืชพรรณในสวนพฤกษศาสตร์แบบเรือนกระจกมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ในหมู่บ้านโกฌักค์ดอกคามิลเลียจะปลูกลงในดิน โดยใช้แนวปฏิบัติทางการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ใช้สารเคมี จนทำให้ฟาร์มได้รับการรับรอง High Environmental Value (HEV) ระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดของการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมทางการเกษตร รวมถึงตราสัญลักษณ์ Organic Farming Conversion อีกด้วย

างวัลเหล่านี้เป็นเครื่องการันตีว่าแนวปฏิบัติ ด้านการเกษตรของ CHANEL นั้นมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

N°1 DE CHANEL l NO. 1 สำหรับคนอยากมีผิวเด็ก!


นี่คือที่มาของ N°1 DE CHANEL สกินแคร์ เมคอัพ และน้ำหอม 9 ไอเท็ม Generation ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ไม่อยากแก่ก่อนวัย อยากเริ่มดูแลผิวตั้งแต่เริ่มต้น เพราะจะช่วยดูแลผิวแบบยั่งยืน และป้องกัน ลดเลือนสัญญาณของความร่วงโรยแห่งวัยได้ถึงทั้ง 5 ประการ ทั้งริ้วรอย รูขุมขน ความสบายผิว ความยืดหยุ่น และความกระจ่างใส เป็นที่มาว่าถ้าอยากมีผิวเด็ก เต่งตึงไปนานๆ ก็ควรเริ่มบำรุงตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะสายไป

เมื่อรู้จัก "ดอกคามิลเลีย" ดอกไม้มหัศจรรย์ และกว่าจะมาเป็นผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นของ CHANEL แล้ว บอกเลยว่าไม่แปลกใจที่หลายคนอยากเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ของ CHANEL เพราะนอกจากความหรูหรา เลอค่าแล้ว ยังเต็มไปด้วยรายละเอียด ความใส่ใจในการพัฒนาทุกขั้นตอนจริงๆ

สำหรับใครที่สนใจ N°1 DE CHANEL สามารถคลิกเข้าไปทำความรู้จักทั้ง 9 ไอเท็มได้ที่นี่เลย รู้แบบนี้แล้วรีบพุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์ CHANEL ได้ทุกสาขา หรือช้อปได้เลยที่ช่องทางออนไลน์คลิกเลย