Glass Skin VS Oily Skin ผิวกระจกต่างจากผิวมันเยิ้มยังไง เป็นสิวมีผิวกระจกบ้างได้ไหม?

45 24
เทรนด์ผิวกระจก หรือ Glass Skin ยังคงเป็นเทรนด์ที่ฮอตฮิตตลอดมาตั้งแต่ปี 2017 เทรนด์จากประเทศเกาหลีที่เป็นผู้บุกเบิกในโลกแห่งบิวตี้ แน่ล่ะ! ใครจะไม่อยากมีผิวสุขภาพดีล่ะ จริงมั้ย? แล้วเราก็แอบไปเห็นว่ายังมีเพื่อนๆ บางคนแยกไม่ออกว่าระหว่าง Glass Skin VS Oily Skin ผิวกระจกกับหน้ามันเยิ้มมันต่างกันยังไง คนหน้ามันหมดสิทธิ์มี Glass Skin เลยรึเปล่า? มาค่ะ วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง!
อย่างแรกเรามาทำความเข้าใจกันก่อน ว่าผิวแต่ละประเภทต่างกันยังไง

Glass Skin คืออะไร

ผิวกระจก หรือ Glass Skin คือ สภาพผิวของเรามีสุขภาพดีที่สุด อิ่มฟู ดูฉ่ำน้ำ (หัวใจสำคัญของการมีผิวกระจกเลยล่ะ!) เรียบเนียนแทบจะไร้ร่องรอยอารยธรรมใดๆ ไม่ว่าจะสิว หรือรอยสิว รูขุมขนกระชับ รวมๆ แล้วก็เลยทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งเหมือนกับกระจกนั่นเอง เรียกได้ว่าเป็น Perfect Skin ผิวในฝันที่ใครๆ ก็อยากได้

Oily Skin คืออะไร

ผิวมัน หรือ Oily Skin คือต่อมน้ำมันใต้ผิวผลิตน้ำมันออกมาบนหน้าค่อนข้างเยอะ หน้าจะมีความันทั้งใบหน้า (ถ้าใครมันแค่บริเวณ T-Zone คือผิวผสม) ทำให้ผิวดูมันแผล่บแบบเป็นน้ำมัน และสิ่งนี้แหละทำให้รูขุมขนบนหน้ามีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ต่างกับ Glass Skin ที่จะฉ่ำน้ำและผิวดูโกลว์ สุขภาพดีกว่า และผิวมันเยิ้มมีแนวโน้มที่เมคอัพจะไม่ติดผิว หลุดง่าย หรือเป็นคราบระหว่างวันได้ง่าย

อยากมี Glass Skin ทำยังไง

ผิวมันเยิ้ม ผิวเป็นสิว อยากมีผิว Glass Skin บ้างจะเป็นไปได้ไหม? ขอบอกเลยว่าเป็นไปได้แน่นอน! ใครๆ ก็สามารถมีผิวกระจก โกลว์สุขภาพดีได้ ไม่ว่าจะสภาพผิวแบบไหน แต่สำหรับคนผิวมันเยิ้ม จะเปลี่ยนจาก Oily Skin มาเป็น Glass Skin อาจฟังดูยาก แต่เชื่อเถอะว่าเป็นไปได้แน่นอน

1. Double Cleanse

ในวันที่ต้องแต่งหน้า จะล้างหน้าสเต็ปเดียวไม่พอหรอกนะ ขั้นแรกต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดซะก่อน เลือกคลีนซิ่งรีมูฟเวอร์ที่ชอบได้เลย และขอบอกว่าคนหน้ามันก็ใช้ออยล์ล้างเครื่องสำอางได้นะ ไม่อุดตันผิวเพิ่ม จากนั้นจึงล้างด้วยโฟมล้างหน้าให้สะอาด

ถ้าทาแค่ครีมกันแดด จำเป็นต้อง Double cleanse ไหม? จริงๆ ก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะอาจจะเป็นการล้างสารเคลือบผิวออกมากเกินไป แต่ถ้าใครกังวลก็ล้างสองรอบเพิ่มความมั่นใจก็ได้

2. Exfoliate ผลัดเซลล์ผิว

การผลัดเซลล์ผิว หรือ Exfoliate Skin ช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วของเราออกไป ซึ่งเจ้าเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วอยู่ข้างบน เซลล์ผิวใหม่ที่ยังเฟรชกว่า สดใสกว่า กำลังรอเฉิดฉายอยู่ข้างล่าง ถ้าเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วไม่ได้ถูกผลัดออกไป เซลล์ผิวใหม่ที่สดใสก็ไม่ได้แจ้งเกิด ผิวเราก็ไม่สดใส ดูไม่เปล่งปลั่งนั่นเอง เราก็เลยเห็นบางแบรนด์ทำผลิตภัณฑ์ที่เคลมว่าช่วยบำรุงผิวได้ล้ำลึก เพื่อไปบำรุงเซลล์ผิวใหม่ๆ โดยตรง

โดยปกติแล้วผิวเราจะผลัดเซลล์ผิวทุกๆ 28 วัน บางคนก็อาจจะเร็วกว่านั้น หรือช้ากว่านั้นหน่อย เพราะฉะนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์พวก Exfoliate ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนถึงจะเริ่มเห็นผล และดีต่อผิวในระยะยาวด้วย นอกจากจะทำให้หน้าเนียนกริบแล้ว การผลัดเซลล์ผิวก็ยังช่วยในเรื่องสิวและความกระจ่างใสด้วยนะ และคนที่อายุ 28 ปีขึ้นไป ควรผลัดเซลล์ผิว!

3. เสริมสร้าง Skin Barrier ผิวให้แข็งแรง

การบำรุงและดูแล Skin Barrier หรือชั้นผิวให้ดีนี่สำคัญมากๆ เสริมชั้นผิวให้แข็งแรงก่อน แล้วสิ่งดีๆ อย่างอื่นจะตามมาเอง! เช่น สิวไม่ขึ้น ผดผื่นไม่มา หน้าไม่ระคายเคือง ไม่แพ้ง่าย ผิวไม่เหี่ยว ชุ่มชื้น ดีเริ่ดขนาดนี้จะปล่อยปละละเลยน้อง Skin Barrier ไปได้ยังไง!
  • MLE
เทคโนโลยีที่ช่วยเสริมชั้นผิว ที่นอกจากจะเสริมชั้นผิวแล้ว ยังช่วยลดการอักเสบ รอยแดง และการระคายเคืองได้ด้วย เป็นลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวในโลกจากเกาหลี ซึ่งจะอยู่ในเครือ Neopharm เท่านั้น คือ Atopalm, Real Barrier, Zeroid, Curecode และ Dermartlogy งานวิจัยเค้าได้รองรับระดับโลก คุณภาพเน้นๆ

  • Ceramide
เสริมสร้างให้ผิวแข็งแรง ลดอาการระคายเคือง และชุ่มชื้น คณสมบัติไม่ได้ต่างจาก MLE มาก แต่ถ้าเทียบกันแล้ว MLE ถือว่าชนะขาดลอยมากๆ เซราไมด์มีอยู่ในหลายแบรนด์ เช่น Cerave และ Curel

และเดี๋ยวนี้สกินแคร์ที่มี Skin Barrier มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเซรั่ม เอสเซนส์ หรือมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ เลือกได้ตามใจชอบ

4. บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเสมอ

ผิวที่ชุ่มชื้นคือพื้นฐานของการมีผิวที่แข็งแรง อย่าปล่อยละเลยจนผิวแห้ง แตก และขาดน้ำอย่างเด็ดขาด! จะมีผิว Glass Skin ไม่ได้เลยถ้าขาดความชุ่มชื้นไป ความชุ่มชื้นอาจได้มาจากเซรั่ม แอมพลู หรือเอสเซนส์ก็ได้ แต่ต้องมั่นใจจริงๆ ว่าผิวชุ่มชื้นเพียงพอ

ถ้าอยาก Make Sure จริงๆ ขอแนะนำให้ใช้มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ส่วนขั้นตอนอื่นๆ ก็ไปเน้นบำรุงเรื่องอื่นแทน เช่น โทนเนอร์ผลัดเซลล์ผิว -> เซรั่มวิตามินซีเพิ่มความกระจ่างใส -> แอมพลูเสริม Skin Barrier และลดการอักเสบ -> ปิดจบด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพิ่ความชุ่มชื้น

5. กันแดดอย่าได้ขาด

ใครว่ากันแดดไม่สำคัญ คิดผิดคิดใหม่ได้เลยน้า กันแดดนี่แหละสำคัญที่สุดแล้ว ขอให้จำไว้ว่า กันแดด = กันแก่! กันแดดนอกจากจะต้านริ้วรอยก่อนวัยแล้ว ยังช่วยให้ผิวไม่หมองคล้ำจากแสงแดดสุดร้อนแรงในบ้านเรา รวมถึงแสง Blue Light จากหน้าจอมือถือด้วย เราจะมีผิวกระจก Glass Skin ได้ยังไงถ้าผิวหมอง จริงมะ?

และจะให้กันแดดมีประสิทธิภาพ อย่าลืมใช้ในปริมาณสองข้อนิ้วมือหรือเท่ากับเหรียญสิบบาทนะ ทาน้อยกว่านี้ประสิทธิภาพลดลง และควรทาซ้ำระหว่างวัน เธอก็บรู๊วว ว่าแดดบ้านเรามันแรงแค่ไหนนน!

และสำหรับใครที่ผิวมัน บำรุงผิวหลายชั้นไม่ไหวใช้กันแดดแทนเป็นมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ได้เลย เดี๋ยวนี้กันแดดมีสารบำรุงจุกๆ แถมให้ความชุ่มชื้นได้ดี ไม่แพ้มอยซ์เจอร์ไรเซอร์เลยล่ะ

6. บำรุงจากภายใน

สกินแคร์แต่ละตัวมีความสามารถในการดูดซึมเข้าผิวหนังต่างกัน และแน่นอนว่าน้องไม่สามารถทะลุผ่านผิวเราได้หมด เพราะฉะนั้นการบำรุงแค่ภายนอกมันไม่พอ! สกินแคร์แค่ส่วนหนึ่ง อย่าลืมว่าต้องบำรุงจากภายในด้วยนะ
  • Hydration is the key!
บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขนาดไหน แต่ถ้าไม่ดื่มน้ำให้มากพอก็อาจจะไม่ได้ผล! อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอ 2-3 ลิตรต่อวัน ลองดื่มน้ำวันละสามลิตรสักเดือนแล้วจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผิวเลยล่ะ
  • พักผ่อนให้เพียง
ทุกคนรู้ โลกรู้ การนอนพักผ่อนให้เพียงพอสำคัญมาก และก็ทำได้ยากเช่นกัน! ไม่ควรนอนดึกไปกว่าสี่ทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่เรากำลังหลั่ง Growth Hormones ที่ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ
  • กินไขมันดี
Skin Barrier ของเราชอบไขมันดี เพราะช่วยใผิวยังคงความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ลองกินอาหารที่มีไขมันดี เช่น อะโวคาโด ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน หรืออาหารที่มีโอเมก้า 3 จะช่วยลดการอักเสบของผิว

  • ผักผลไม้
ลองหันมากินบลูเบอร์รี่ที่ ผลจิ๋วแต่อานุภาพแจ๋ว อุดมไปด้วยสารแอนโธไซยานินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลิสระได้เป็นอย่างดี หรือพืชอื่นๆ เช่น ผักโขม เคล พริกไทย มันหวาน องุ่น ถั่ว
คนที่มีสิว ผิวไม่เรียบเนียน ไม่ต้องท้อใจไป บำรุงผิวด้วยสกินแคร์อย่างสม่ำเสมอ หรือใช้ยา (ตามคำดูแลของแพทย์) ควบคู่ไปกับการดูแลจากภายใน อาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่ผิว Glass Skin ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

แต่เราก็สามารถสร้างทางลัด ด้วยการแต่งหน้าผิวฉ่ำ Glass Skin ในไทยไม่ให้เยิ้ม ได้เช่นกัน ไม่ว่าผิวกระจกด้วยวิธีไหนก็ดีงามทั้งนั้น~


sweetsong13

sweetsong13

A dreamer who loves to write
www.sweetsong13.com
sweetsong13@gmail.com

FULL PROFILE