เส้นทางBody Acceptance ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายของBillie Eilish

57 12

"คุณค่าของฉันขึ้นอยู่กับแนวความคิดของคุณอย่างนั้นหรือ?   หรือที่จริงแล้ว คุณจะคิดยังไง  มันก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันเลย?

Billie Eilish ได้ฝากคำถามกระแทกใจนี้ไว้ระหว่างworld tour   ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมบันเทิง    เธอตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากรูปลักษณ์ภายนอกอยู่ไม่ขาด  จนถึงจุดที่เธอไม่ขอนิ่งเฉยอีกต่อไป

  เธออาจจะแจ้งเกิดในฐานะสาวน้อยมหัศจรรย์จนกลายมาเป็นคนดังวัยทีนทรงอิทธิพล    แต่ก็เหมือนกับคนอื่นที่ต้องฝ่าฟันกับความสัมพันธ์แบบ'ทั้งรัก ทั้งชิงชัง'ร่างกายของตนเอง   ไม่ว่าจะมี body type แบบใด   ผู้หญิงทั่วโลกก็คงไม่ลืมเลือนความเจ็บปวดเมื่อถูกตัดสินว่าดูไม่ดีพอ  โดยเฉพาะช่วงเวลาแห่งวัยรุ่นที่ทั้งจิตใจและร่างกายเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่   เส้นเกี่ยวที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นเด็กและผู้ใหญ่นี้ได้สร้างบาดแผลฝังใจให้กับผู้คนมาแล้วมากมาย  ​​

" ฟังนะ มีเรือนร่างที่ถูกปกปิดภายใต้ร่มผ้า และคุณไม่สามารถเห็นร่างกายนี้ได้  มันน่าเสียดายล่ะสิ?   แต่ร่างกายนี้เป็นของฉัน  ส่วนร่างกายคุณก็เป็นของคุณ    ร่างกายของพวกเราเป็นสิ่งเดียวที่เราเป็นเจ้าของโดยแท้จริง  ฉันจะดูมันเมื่อไรก็ได้และจะเปิดเผยมันเมื่อใดที่ต้องการเช่นกัน"

ความวิตกกังวลเรื่องรูปร่างทำให้เลือกปิดบังอำพรางจนทำให้เสื้อผ้าแบบ baggy  กลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว


" บางครั้งฉันแต่งตัวเหมือนกับเด็กผู้ชาย  บางครั้งก็แต่งเป็นสาว swaggy และบางครั้งฉันก็รู้สึกราวกับว่าถูกกักขังอยู่ภายใต้ตัวตนที่ฉันได้สร้างขึ้นมา จากสายตาคนอื่นที่ไม่ได้มองฉันว่าเหมือนกับผู้หญิงมากเท่าใดนัก"
 

กระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปร่างของ Billie นั้นเริ่มลุกลามจาก viral ภาพของเธอที่แม้ว่าจะสวม jacket คลุมไว้ แต่ไม่สามารถปกปิดสัดส่วนตามธรรมชาติไว้ได้ แม้บรรดาแฟนๆจะร่วมออกมาปกป้อง Billie จากความเห็นที่หื่นกระหาย รวมถึงการตั้งฉายา ที่ถูกมองว่าเป็นการคุกคามทางเพศ ในขณะนั้น Billie ยังอยู่ในสถานะผู้เยาว์ที่ดูเปราะบาง เธอเริ่มออกมาเปิดใจถึงปัญหาความวิตกกังวลเรื่อง body image และเรียกร้องให้ผู้คนยอมรับและเข้าใจในตัวตนของเธอ ยุติการตีคุณค่าราคาจากเรือนร่าง เพราะทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับถูกล่วงละเมิดสิทธิ

"เต้าของฉันกลายเป็นtrendingบนTwitter!หนำซ้ำยังขึ้นอันดับหนึ่ง! อะไรกันหนักหนาเนี่ย  สื่อเขียนข่าวเรื่องนมของฉันกันถ้วนหน้า    ฉันเกิดมาก็เป็นคนมีหน้าอกมาแต่ไหนแต่ไรนะ ฉันเกิดมามีDNA ที่ทำให้อกใหญ่ตู้มไง"

"คนที่หน้าอกเล็กกว่าใส่เสื้อกล้ามกันได้สบายๆ พอฉันใส่เสื้อแบบเดียวกันเป๊ะกลับเจอเรื่อง slut-shamingเพียงเพราะอึ๋มเนี่ยนะ นี่มันงี่เง่าชะมัด"


เคยชื่นชอบการใส่เดรสมาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งถูกแนวคิดเรื่อง body image บีบคั้นจนต้องละทิ้งไป


"ฉันเคยมีเดรสเยอะมากๆ  ฉันจะใส่เดรสทุกๆวัน  แต่ความกังวลเรื่อง body image ได้พรากสิ่งเหล่านั้นไป   คุณคิดว่าฉันแต่งตัวในแนวที่เคยเห็นกันมาหลายปีมานี้เพราะอะไรกันล่ะ?"





ผู้คนรับกับรูปร่างกายของเธอไม่ได้จนกด unfollow


Billie ได้ระบายความรู้สึกเมื่อผู้ติดตามของเธอแสดงออกด้วยอคติเมื่อเธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่โคร่ง และหันมาเปิดเผยรูปร่างอย่างมั่นใจมากขึ้น


"ผู้คนมักเก็บภาพเดิมในความทรงจำไว้และยึดติดกับมัน แต่มันคือการด้อยค่ากันนะคะ"



"ยอดผู้ติดตามของฉันลดไปเป็นแสนคนเพราะหน้าอก     คนเค้าหวาดกลัวนมกันค่ะ"

"ผู้หญิงทุกคนย่อมต้องการจะเป็นคนที่น่าพึงปรารถนาค่ะ"
"แต่ก็จะมีบรรดาผู้ชายที่แย้งว่า ดูสิ ผู้หญิงบอกไม่อยากให้มาผู้ชายมาคิดในเรื่องอย่างว่า แต่พวกเธอกลับใส่เสื้อโชว์นมและครวญเพลงที่เกี่ยวกับเรื่องsex   ฉันถามหน่อยเหอะ คุณไม่เก็ทกันเหรอว่า พวกเราอยากใส่เสื้อผ้าที่เราชอบ แต่เราไม่อยากให้คุณจะมุดเข้ามายังไงล่ะ "



ทุกข์ของผู้หญิงอกใหญ่  ไม่ว่าจะแต่งตัวเช่นไรก็ถูกพิพากษา


"ถ้าใส่ชุดแบบสบายๆบอกว่าดูไม่เหมือนผู้หญิง  แต่ถ้าใส่น้อยชิ้นก็หาว่าร่านแรด"


หลายคนคงมีเข้าอกเข้าใจคำพูดที่แสดงความอึดอัดคับข้องใจของ Billie เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีทรวดทรงอวบอึ๋ม พวกเธอมักถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาว่าอยากเป็นจุดสนใจจนต้องอวดสองเต้า  หรือถ้าแต่งตัวด้วยชุดbaggyก็อาจจะต้องเจ็บใจกับเสียงจิกกัดว่าดูตันหรือเฉิ่มเชย    กลายเป็นว่าพวกเธอถูกบีบให้มีทางเลือกน้อยลงไปเพราะจะแต่งตัวเช่นใด ก็ไม่ถูกใจนักวิจารณ์สักอย่าง

"มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันเลือกเสื้อกล้ามมาใส่ มันไม่ได้เป็นเสื้อที่ดูยั่วยวนอะไรด้วยซ้ำ แต่ฉันรู้นะว่าคนอื่นจะต้องร้องว่า เฮ้ย ดูสิ เธอแต่งตัว sexy จัง เธอคงพยายามประกาศจุดยืนอะไรบางอย่าง แต่ฉันขอบอกว่า ไม่ใช่สักหน่อย มันร้อน500องศาเห็นจะได้ และฉันก็อยากจะใส่เสื้อกล้ามเท่านั้น"




นางเอกสาวที่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันออกโรงปกป้อง


Kat Dennings เป็นหนึ่งในคนดังที่แสดงจุดยืนชัดเจนกรณีbody-shameนักร้องสาววัยทีน เธอแนะชาวเน็ทว่า มันคงจะดีหากพวกที่ความคิดป่วยๆไสหัวไปไกลๆ เพราะBillieทั้งสวยและมีรูปร่างที่เห็นกันตามปกติ

เธอได้อธิบายกับสื่อในฐานะคนผู้มีมีbody type คล้ายคลึงกันว่า

"อาจจะเป็นเพราะเธอยังอายุน้อยมากจนรู้สึกว่ามันไม่เหมาะไม่ครวรเลยที่มีคนคอยวิจารณ์เรื่องร่างกายของเด็กวัยแค่นี้ คนมักจะลืมตัวเพราะในโลกอินเทอร์เน็ทนั้นก็เหมือนกับมีกำแพงให้หลบซ่อนตัวตน  ฉันรู้สึกว่าเป็นดูหมิ่นกันเพราะเธอเป็นเด็กสาวแสนสวยที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่พลิกโลก"

Kat แชร์ประสบการณ์ว่า ตอนเธออายุ18 ก็มีรูปร่างเช่นเดียวกับBillie และต้องผ่านเรื่องแย่ๆมาแล้ว ซึ่งในสมัยก่อน ยังไม่ได้มีการปลุกใจให้ผู้คนยอมรับความแตกต่างหลากหลายมากเท่ากับปัจจุบัน เธอหวังว่าจะมีคนเข้าใจผู้ที่ถูกไล่ต้อนให้จนมุมและตระหนักว่าbody-shaming มันไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้





ศิลปินสาววัยรุ่นหลายคนต้องเผชิญกับเรื่อง slut-shaming เมื่อเปลี่ยนแปลงสไตล์จนดูsexy


Billie เคยชี้แจงมาก่อนว่า เธอไม่ต้องการให้ใครนำเธอไปเปรียบเทียบกับใคร ดังที่ได้ปรากฏว่า แฟนจำนวนหนึ่งได้ยกเรื่องแฟชั่นพรางรูปร่างของเธอไปเหยียดคนอื่นที่นำเสนอความ sexy

"ความเห็นชื่นชมเรื่องการแต่งตัวของฉันนั้นมีนำเสียงเจือด้วยเรื่อง slut-shaming  อย่างการบอกว่า ดีใจจังที่แต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชาย   สาวๆคนอื่นจะได้แต่งเหมือนเด็กผู้ชายตามไปด้วย พวกเธอจะได้ดูไม่แรด"

"สำหรับฉัน มันฟังแย่แบบนั้นจริงๆ และฉันขอยืนยันชัดเจนว่า ฉันไม่รู้สึกปลื้มใจคำชมแบบนั้นสักนิด"


และตอนนี้ เหตุการณ์เดียวกันก็เกิดขึ้นกับ Billie ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกแย่ที่เห็นเธอหันมาแต่งตัวเปิดเผยเรือนร่าง พวกเค้าต้องการให้เธอใส่ชุดหลวมโคร่ง และเธอก็เตรียมใจกับเรื่องนี้ไว้แล้ว


"ฉันรู้ว่าจะมีคนเสียความรู้สึกและไม่ให้ความนับถือฉันอีกต่อไป"
 


ความกดดันของ superstar ที่ต้องทำหน้าที่แบบอย่างอันดีงามของเยาวชน



เรื่องราวของ popstar ที่โด่งดังตั้งแต่วัยรุ่นแล้วเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์หลังจากที่เป็นสาวเต็มตัวนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย มีผู้มองว่า ต้นสังกัดต้องการสร้าง fanbase เยาวชนที่แข็งแกร่งและพร้อมจะสนับสนุนศิลปินไปยาวๆหลายปี ทำให้เลือกเริ่มต้นโพรโมทเด็กสาววัยทีนในภาพลักษณ์แบบ good girl สร้างความนิยมในหมู่เด็กๆและผู้ปกครอง แต่ไม่นานต่อมา ก็จะสร้างความฮือฮาด้วยโฉมใหม่ที่ดู sexy จนเกิดกระแสตีกลับว่า good girl ในอดีตได้ gone bad ซะแล้ว! ปฏิกิริยาตอบรับจากสังคมย่อมมีทั้งเสียงชื่นชมปะปนไปกับถ้อยคำเหยียดหยาม ทำให้ศิลปินสาวจะต้องรับมือกับความกดดันอย่างหนัก

ช่วงเวลาที่โป๊เปลือยของ Miley ที่เรียกว่า Bangerz era
ลุค Dirrty ของ Christina ที่ได้รับฉายาใหม่ว่า Xtina
การประกาศว่า I'm not that innocent. ของ Britney


ตัวอย่างการฉีกภาพลักษณ์เก่าเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นวิธีสร้างความสำเร็จด้วยหลัก sex sells ซึ่งเป็นการตลาดที่ดูจะได้ผลกับทุกยุคทุกสมัย

แต่มันยุติธรรมหรือ หากสังคมจะตัดสินคุณค่าความเป็นมนุษย์ของพวกเธอจากลุคที่ดูเย้ายวนใจ แตกต่างไปจากภาพลักษณ์ในช่วงแจ้งเกิด?

 


หลังจากที่สารคดี Framing Britney Spears ได้ทำให้ผู้คนประจักษ์ว่าชื่อเสียงในฐานะเจ้าหญิงเพลงpop ได้สร้างความเสียหายกับ Britney มาแค่ไหน  จากในอดีตที่เคยเมินเฉยเมื่อเห็นว่า สื่อปฏิบัติต่อเธอโดยไม่ให้ความนับถือ ทั้งตั้งคำถามจาบจ้วงในเรื่องบนเตียง แดกดันด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น และกล่าวหาเธอว่าเป็นตัวอย่างย่ำแย่ของบรรดาเด็กสาว กลายเป็นว่าเพื่อนร่วมวงการและชาวเน็ทจำนวนมากรู้สึกผิดที่เคยตัดสินเธอจากเพียงผิวเผินภายนอกจนต้องส่งข้อความขอโทษ

แน่นอนว่า ความกดดันที่ Britney ต้องเผชิญไม่สมควรจะเกิดกับศิลปินหญิงคนไหนหรือไม่ว่าใครก็ตาม     

Billie  ต้องพบกับข้อกล่าวหาว่าเป็นคนดังจอมเสแสร้งที่สร้างภาพด้วยชุด baggy ให้เกิดกระแสชื่นชม  แต่ภายหลังก็ถูกวงการมายาครอบงำจนหันมาขายความ sexy ไม่แตกต่างจากศิลปินหญิงคนอื่น

ในขณะเดียวกัน แฟนๆที่ยังชื่นชม  Billie ไม่แปรเปลี่ยนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  การเปลี่ยนแปลงสไตล์อย่างสุดขั้วไม่ใช่เรื่องแปลกของวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเองด้วยการเสาะหาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ   และแม้ว่าเธออาจจะเลือกเสื้อผ้าที่เผยเรือนร่างมากขึ้น  แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่เธอเป็นศิลปินที่โด่งดังจากผลงาน ประสบความสำเร็จทั้งยอดขายและกวาดรางวัลมาเพียบ




ความเจ็บปวดจากbody imageที่ผลักเข้าสู่ความคิดอันมืดมน


"ฉันไม่อยากทำตัวมืดมนนะ  แต่ก็เคยคิดจริงๆว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึง17ปี"

หลายคนอาจจะรู้สึกตกใจ เมื่อได้ทราบว่า Billie เคยทุกข์ทรมานจากBody Dysmorphic Disorder (ฺBDD) หรือโรคไม่ชอบรูปร่างหน้าตาของตัวเอง อันเป็นอาการผิดปกติทำให้หมกมุ่นกับปัญหารูปลักษณ์ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกย่ำแย่กับตัวเองมาตั้งแต่อายุ 12 ส่งผลให้ไม่สามารถมองตัวเองในกระจกได้ และซ้ำร้ายก็ยังมาพร้อมกับโรคซึมเศร้า หลังจากที่เข้าเอเจนซี่นักเต้นที่เต็มไปด้วยนักเต้นรูปร่างหน้าตาดีในเสื้อผ้าน้อยชิ้น ความมั่นใจของเธอก็ดิ่งฮวบ เธอพยายามเต้นให้มากที่สุด อดอาหาร กินยาที่เชื่อว่าทำให้น้ำหนักลด แต่กลายเป็นว่ามันเป็นขาขับน้ำที่ทำให้เธอฉี่รดที่นอน อาการเจ็บป่วยของ Billie ย่ำแย่ลงเรื่อยๆจนเข้าสู่สภาวะทำร้ายตัวเองด้วยการกรีด





แต่แม้ว่าเจ้าตัวจะเคยเปิดใจเรื่องความเจ็บป่วยทางจิตใจที่สาหัสสากรรจ์มาแล้ว แต่นั่นไม่สามารถหยุดยั้งเรื่อง body-shaming ไปได้ สำหรับผู้ที่สนุกสนานกับการเยาะเย้ยถากถางรูปลักษณ์ของคนอื่น คนเหล่านั้นไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่า เพียงไม่กี่คำพูดก็อาจจะทำให้ชีวิตของใครบางคนต้องจมดิ่งกับความทุกข์ทรมาน หนักหนาที่สุดก็อาจเป็นเหมือนกับมือที่ผลักไสสู่ความมืดมิดจนไม่อยากมีชีวิตต่อไป

"ฉันคิดว่าต้องรับมือกับความเกลียดชังรูปลักษณ์ของตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว แต่เดาว่าโลกอินเทอร์เน็ทก็เกลียดร่างกายของฉันด้วยเหมือนกัน เยี่ยมซะไม่มี"

Billie แสดงความโล่งใจที่ต้องมารับมือกับbody-shaming ตอนที่อาการดีขึ้นมากหลังจากรับการบำบัดแล้ว เพราะถ้ายังเป็นช่วงยังเด็กที่เธออาการ BDDยังหนักอยู่ ก็คงแย่ไปแล้ว


เธอเคยพบกับเด็กสาวที่มีรอยแผลจากการกรีดในการแสดงดนตรีทำให้รู้สึกใจสลาย เธอยังเคยให้คำแนะนำกับเด็กสาวเหล่านั้นถนอมตัวเองให้ดีๆ เพราะเธอเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน






Madonna ชี้ชัด สังคมสองมาตรฐานทำให้ผู้หญิงอยู่ลำบาก


ตำนานเพลงpop ฟาดหนักว่า สังคมจะแบ่งประเภทผู้หญิงไว้เพียงสองกลุ่ม หากไม่ใสซื่อบริสุทธิ์ ก็ต้องอยู่ในกลุ่มร่านแรด

"Billie แจ้งเกิดจากภาพลักษณ์ที่ไม่ได้สื่อให้คิดในด้านเพศ   ไม่มีการชักจูงใจผู้คนหรือแสดงออกทางเพศใดๆ  และนั่นเป็นตัวเลือกของเธอ  และขอให้พระเจ้าอวยพรที่เธอเลือกทำเช่นนั้น  ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็อยู่ในวัยทีน"


Madonna ยังยืนยันเรื่องความสองมาตรฐานระหว่างหญิง-ชายว่า

"แต่ถ้าหากBillieอยากจะเปลี่ยนแปลงและถ่ายภาพที่ดูเป็นfeminine เปิดเผยเรือนร่างในแบบที่เธอไม่เคยทำในอดีต ทำไมเธอจะต้องถูกกล่าวโทษด้วยล่ะ?"

"ผู้หญิงควรมีสิทธิ์ในการนำเสนอตัวตนแบบใดก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ถ้าเกิด Billie เป็นผู้ชาย จะไม่มีใครมาเขียนบทความในหัวข้อนี้เลย ผู้ชายจะแต่งสูทผูกไทด์ในช่วงสามปีแรกที่เข้าวงการ แต่พอเดือนต่อม หากเขาจะเปลี่ยนมาแต่งตัวเหมือน Prince หรือ Mick Jagger เปลื้องเสื้อออก กรีดอายเนอร์ แต่ไม่มีใครคอยตามจิกกัด"





การเติบโตของ Billie ที่ได้เรียนรู้การยอมรับตัวตนอย่างแท้จริง

จากการสัมภาษณ์กับ VOGUE UK เธอได้แสดงทัศนคติที่ก้าวข้ามความวิตกกังวลในอดีต และแสดงถึงพัฒนาการเรื่องการยอมรับตัวตนไว้ว่า


"มันขึ้นอยู่กับว่า คุณได้ทำในสิ่งที่รู้สึกว่าดี    ถ้าคุณอยากทำศัล ยกรรมก็ทำไปเลย  หรือถ้าคุณอยากจะใส่เดรสตัวที่คนอื่นจิกว่าคุณตัวใหญ่เกินไปจะใส่มัน  ก็ช่างหัวมันสิ  หากคุณเชื่อว่าตัวเองดูดีแล้ว คุณก็ย่อมดูดีจริงๆ"
 


The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE