ปัญหา Mental Health: บาดแผลอันเจ็บปวดของนักกีฬา

49 11
'Hero'  คำที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับนักกีฬาชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับนานาชาติ   จากการพิสูจน์ความสามารถทางการกีฬาที่ได้นำความสุขมาให้กับผู้คนมากมาย  ยิ่งชนะมากเท่าไร ยิ่งเป็นสิ่งการันตีชื่อเสียงเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามา  จนทำให้มีความเข้าใจว่า  เส้นทางชีวิตของพวกเค้าจะราบรื่นสวยงาม เต็มไปด้วยคำสรรเสิญเยินยอ    

แต่จะมีสักใครบ้างที่พยายามทำความเข้าใจว่า นักกีฬาคือกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบอันเลวร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ หลายคนต้องรับมือกับความกดดันหนักหน่วงมาตั้งแต่ยังอยู่ในวัยไร้เดียงสา ต้องผูกติดกับสถิติ, ความผิดหวังจากการพ่ายแพ้และความรู้สึกที่บีบคั้นว่าตัวเองทำไม่ดีพอ หยาดเหงื่อ เลือดเนื้อ น้ำตากลายมาเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่าเพื่อนสนิท หากใฝ่ฝันจะเป็นแชมเปี้ยนที่ผู้คนยอมรับ พวกเค้าต้องสละชีวิตแบบคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป แล้วมุ่งมั่นกับกีฬาเพียงสิ่งเดียว แต่เมื่อเมื่อกลายมาเป็นตัวแทนประเทศได้สำเร็จ หากพลาดไปเพียงนิดเดียวก็อาจจะถูกโจมตีซ้ำเติมด้วยคำพูดรุนแรง  หรือแม้กระทั่งแชมเปี้ยนที่กวาดเหรียญทองมามากมายยังทุกข์ทรมานใจจากความคาดหวัง


มาติดตามเรื่องราวของบาดแผลทางใจของนักกีฬากับเราได้เลยค่ะ




Hero หนุ่มเจ้าสระที่ถูกโจมตีหนักจากข่าวอื้อฉาวก้าวมาเผยความจริงสุดช็อค



นี่คือมนุษย์ที่เป็นได้ครอบครองเหรียญทอง Olympic มากที่สุดในโลก  และเรามั่นใจเหลือเกินว่า  การทำลายสถิติ 23 เหรียญทองของ  Michael Phelps น่าจะเป็นสิ่งที่ยกาเย็นเกินบรรยาย   แต่ในขณะที่โลกมองว่านักว่ายน้ำหนุ่มอเมริกันในภาพของนักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ      เขากลับต้องผจญกับความเจ็บป่วยทางจิตใจจนเกือบจะหาทางออกไม่พบ

Phelps คือนักกีฬา superstar ที่เคยถูกมองด้วยสายตาที่มีความรู้สึกผสมปนเปกัน ผลงานยอดเยี่ยมในการกวาดเหรียญทองจากการเข้าร่วมแข่งขัน Olympics นั้นทำให้โลกต้องตกตะลึง จากจุดเริ่มต้นในปี 2000 ด้วยการผ่านเข้ามาถึงรอบชิงเป็นครั้งแรกในการแข่งว่ายน้ำท่าผีเสื้อ 200 เมตรตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี แม้จะไม่สามารถคว้าเหรียญกลับบ้าน แต่ลำดับ 5 ก็ถือว่ามาแรงจนต้องจับตามอง เมื่อกลับอเมริกาไปฝึกซ้อมและสั่งสมประสบการณ์ในการแข่งขันรายการอื่นๆ Phelps สั่นสะเทือนวงการกีฬาว่ายน้ำด้วยการทำลายสถิติโลกและสอยไปหกเหรียญทองทั้งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี

hero ที่จุดประกายความหวังอันเรืองรองในการแข่งขันครั้งต่อไปก็ได้อุบัติขึ้น...


และไม่มีใครคาดว่าแชมเปี้ยน Olympic  ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการรักษาวินัยอย่างเข้มงวดจะตกเป็นข่าวอื้อฉาวที่พัวพันเรื่องการเสพกัญชาและสิ่งมึนเมา ลงท้ายด้วยการถูกจับกุมข้อหาเมาแล้วขับถึงสองครั้ง!
ข่าวของนักว่ายน้ำหนุ่มวัยเพียง 19 ปีที่เพิ่งจะสร้างชื่อลือลั่นด้วยการกวาดหกเหรียญทอง Olympic เพียงไม่กี่เดือนก่อนถูกจับกุมด้วยข้อหาขับรถในขณะมึนเมาดึงดูดเสียงโจมตีจากสังคมที่ไม่พอใจพฤติกรรม'สำมะเลเทเมา' ซึ่งขัดกับความสำเร็จในมหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างสิ้นเชิง  ในสายตาผู้คนมากมาย แชมเปี้ยนแห่ง Olympic คือแบบอย่างอันงดงามของผู้ที่ทุ่มเทกายใจให้กับสิ่งที่รัก  กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ Phelps ย่อมไม่ได้ผ่านการฝึกซ้อมแบบทิ้งๆขว้างๆ  ไม่น่าแปลกหากจะมีนักว่ายน้ำอเมริกันอีกหลายคนจ้องตำแหน่งของเขาเป็นตามัน จึงต้องพัฒนาตัวเองให้นำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ   แต่เมื่อพูดถึงความสามารถและความทุ่มเทแล้ว    หลายคนยอมรับว่า Phelps อยู่ในระดับยอดคน      เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนทีใฝ่ฝันจะเอื้อมไปคว้าชัยใน Olympic    

แต่หลังถูกจับกุม ภาพลักษณ์แชมเปี้ยนที่ใสสะอาดถูกฉุดไปเกลือกกลั้วกับข่าวฉาว แม้จะได้รับโทษคุมประพฤติและบำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชน และดูเหมือนว่า สังคมได้เปิดใจให้อภัยและยอมรับ Phelpsในฐานะมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบและทำผิดพลาดได้ แต่ภาพเจ้าตัวสูบกัญชาจากบ้องและถูกจับเมาแล้วขับซ้ำอีกครั้งในเวลาหลายปีต่อมา ก็ทำให้ผู้คนสันนิษฐานไปต่างๆนานาถึงสาเหตุในความประพฤติออกนอกลู่นอกทาง อีกทั้งยังการแสดงความประหลาดใจว่า แม้ว่า Phelps จะถูกเปรียบเทียบว่าเป็น bad boy แห่งวงการกีฬาชั้นนำจนถูกสปอนเซอร์ยักษ์ใหญ่ถอนตัว แต่เมื่อได้รับโอกาสกลับมาเป็นตัวแทนTeam USA แข่งขัน Olympic ก็โชว์ฟอร์มดุดันจนกลายเป็นนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์



ไม่ว่าจะคว้าเหรียญทอง Olympic มากี่เหรียญ แต่ซึมเศร้าหนักจนคิดฆ่าตัวตาย

อาจจะมีคนมากมายที่ตั้งคำถามว่า เพราะอะไร Phelps จึงนำตัวเองไปในจุดที่สุ่มเสี่ยงต่อจุดจบของอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพนักกีฬาที่มีช่วงเวลาที่ peak อยู่เพียงไม่นาน   แต่ในช่วงที่สื่อแข่งกันประโคมข่าวฉาว  อาจจะไม่มีคนฉุกคิดว่า แท้จริงแล้ว Phelps รู้สึปเช่นไรจึงหันไปพึ่งพาของมึนเมา     อย่างกรณีของ Larisa Latynina นัก Gymnastics ระดับตำนานที่วิจารณ์นักกีฬาเหรียญทองรุ่นหลานว่า 'อ่อนแอ'  ที่ปล่อยตัวปล่อยใจจนเกิดเรื่องถูกจับกุม  ทั้งๆที่สามารถหลีกเลี่ยงจากสิ่งมึนเมาได้

ช่วงเวลาที่ Phelps ถูกเยาะเย้ยและโจมตีจากข้อกล่าวหา 'นักกีฬาเก่งฉกาจแต่ความประพฤติยอดแย่' เขายอมรับผิดทุกประการ และเก็บเรื่องหนึ่งไว้ในใจ และไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ได้เปิดเผยกับสังคมว่า ทุกครั้งที่เข้าร่วมแข่งขัน Olympic เขาจะเกิดอาการซึมเศร้าอย่างหนัก ตามที่เคยมีรายงานว่า เขาเคยจงใจละเลยการฝึกซ้อม และยังเคยประกาศ retire แต่ถูกโค้ชเกลี้ยกล่อมให้หวนคืนสระเพื่อแข่งในนามของ Tem USA นั่นเป็นมาจากความเจ็บป่วยทางจิตใจ และคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีจากความเจ็บปวด

"ใช่ ผมชนะได้เหรียญมาเพียบ  ฐานะการงานผมรุ่งสุดๆ     แล้วไงล่ะครับ?  ผมคิดว่าตัวเองเป็นแค่นักว่ายน้ำ  ไม่ได้มองตัวเองในฐานะมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อจิตใจเลย"




เมื่อPhelpsรู้ตัวว่าอยู่ในภาวะอันตรายจึงตัดสินใจเข้ารับการบำบัดรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ และยืนยันว่า มันคือสิ่งที่พลิกชีวิตเขาให้กลับเข้ารูปเข้ารอย และยืนยันว่า แม้นักกีฬาจะมีร่างกายอันแข็งแกร่ง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่แสดงออกถึงความอ่อนแอแต่อย่างใด  นักกีฬาก็ต้องรับความช่วยเหลือเหมือนกัน

เขาได้อธิบายว่า   การถูกจับDUI เปรียบเหมือนกับสัญญาณขอความช่วยเหลือ   เขาเข้ารับการบำบัดผู้ติดเหล้าใน program 45 วัน  ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้แม่ของเขาโล่งใจ เพราะเธอเคยรับรู้มาโดยตลอดว่าเหล้ามีผลกระทบต่อเขามากแค่ไหน  และนั่นทำให้ Phelps รู้สึกขอบคุณเหตุการณ์ในคืนนั้น  เพราะหากไม่ถูกตำรวจจับกุม  เขาอาจจะเตลิดไปจนฉุดไม่อยู่



ภาพลักษณ์ของนักีฬาสาวที่เก่งกาจเหนือมนุษย์ทำให้ต้องแบกความหวังไว้จนเกินรับไหว


ทันทีที่ Simone Biles โชว์ผลงาน Olympic ที่ค่อนข้างผิดการคาดการณ์ของผู้ชม ชาวเน็ทบางคนได้วืพากษ์วิจารณ์ทำนองว่า "ดูนั่นสิ Simone ก็เป็นคนทั่วไปที่ทำผิดพลาดได้เหมือนกัน"
คำพูดเช่นนี้  ได้แสดงออกถึงความคา่ดหวังให้เธอพิสูจน์ความสามารถที่ดูเหนือมนุษย์   จากการแข่งขันที่ผ่านมา ท่วงท่า gymnastics ที่เหมือนกับเธอกำลังเหาะเหินท้าแรงโน้มถ่วงนั้นทำให้ผู้คนต้องอ้าปากค้าง   แต่เมื่อสาวสุดแกร่งเริ่มต้น ใน Olympic ครั้งล่าสุดด้วยข้อผิดพลาด   และถอนตัวออกไปโดยที่ยังไม่ได้มีการระบุสาเหตุอย่างละเอียดนอกจากอธิบายว่าเป็นเหตุผลทางสุขภาพ   สังคมออนไลน์ก็พร่างพรูไปด้วยคำวิจารณ์ทันที
Simone ได้ให้สัมภาษณ์กับ Today ว่า  ร่างกายของเธอนั้นสมบูรณ์ดี    แต่สำหรับความรู้สึกนึกคิกนั้นผสมปนเปกันไปหมด   การมาที่ Olympicsในฐานะของดาวเด่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  เธอจึงขอค่อยๆคิดไตร่ตรองจากสถานการณ์แบบวันต่อวัน แล้วค่อยดูกันว่าจะตัดสินใจเช่นไร



ในเวลาต่อมา ได้มีการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Simone ชัดเจนมากขึ้น ก้วยนิยามคำว่า   'twisties'  ที่ฟังดูแล้วเหมือนชื่อขนมหรืออะไรที่ดูน่ารักๆ  แต่ที่จริงแล้วอาจจะทำอันตรายให้กับนักกีฬา gymnastics  แบบที่คนนอกไม่เคยนึกภาพมาก่อน


อดีตนักกีฬา gymnastics ได้ช่วยไขข้อข้องใจของผู้คนว่า twisties คือภาวะทางจิตใจของนักกีฬาที่กำลังหมุนตัวในอากาศแล้ว Muscle memory (ที่เกิดจากการฝึกฝนบ่อยๆจนทำออกไปได้โดยอัตโนมัติ) ถูกปิดตายไปดื้อๆ และไม่รับรู้ว่าตัวเองกำลังทำท่าทางแบบใดกลางอากาศ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับนักกีฬา gymnastics โดยเฉพาะผู้ที่รับมือกับความกดดันอย่างหนัก และนั่นหมายความว่า หากเธอฝืนลงแข่งขันต่อไป ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากภาวะนี้

มีผู้ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์เพื่อยืนยันความน่ากลัวของ twisties คือ Claudia Fragapane นักกีฬา gymnastics ทีมชาติอังกฤษที่เคยบาดเจ็บที่ศีรษะระหว่างการฝึกซ้อม เมื่อสมองและการเคลื่อนไหวของร่างกายไม่สัมพันธ์กัน ทำให้เธอไม่ผ่านคัดเลือกเพื่อแข่งขันที่ Tokyo และยังมีนักกีฬาชาวสวิส Giulia Steingruber ที่เคยเล่าประสบการณ์มาก่อนหน้านี้หลายปีว่า เธอเคย'หลงทาง' กลางอากาศ ทำให้หวาดหวั่นอย่างหนัก เธอมองคิดภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่และไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ลงท้ายด้วยการบาดเจ็บระหว่างแข่งขัน




และเมื่อเราพูดถึงอุบัติเหตุของกีฬา gymnastics บาดแผลฟกช้ำเป็นสิ่งที่พวกเค้าคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่หากจิตใจไม่พร้อมต่อการแข่งขัน นั่นอาจจะนำมาสู่อาการบาดเจ็บที่ซีเรียส กระดูกหัก บาดเจ็บที่ศีรษะ อาจจะเกิดภาวะอัมพาต ซึ่งเคยมีนักกีฬา gymnastic ที่ต้องกลายมาเป้็นผู้พิการจากการฝึกซ้อมและแข่งขันมาแล้ว

 Jacoby Miles    อดีตนักกีฬา gymnastics ที่ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตบน wheelchair ได้ยืนยันว่า  จากภาวะ twisties เพียงเสี้ยวินาทีก็ทำให้เธอประสบอุบัติเหตุจนคอหักแะคงจะต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต   เธอจึงรู้สึกยินดีกับ Simoneที่ตัดสินใจเลือกความปลอดภัยแล้วถอนตัวจากการแข่งขัน   เธอยังเข้าใจถึงแรงกดดันของ Simoneซึ่งเป็นนักกีฬาทักษะสูงส่งที่ต้องแบกรับความคาดหวังจากคนมากมาย   ทั้งที่ในโลกแห่งความเป็นจริง    ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง




ทั้งๆที่ต้องต่อสู้อย่างกล้าแกร่งมาทั้งชีวิต  แต่กลับถูกหยามหยันว่าขี้ขลาด-เห็นแก่ตัว เมื่อร่างกายจิตใจไม่พร้อมแข่งจนขอถอนตัว

ในขณะที่สื่อดังจากตะวันตกส่วนใหญ่พยายามหาข้อมูลเพื่ออธิบายให้ผู้คนได้เข้าจถึงความเสี่ยงของนักกีฬาgymnastics และยังชื่นชมต่อ Simone ที่ได้ก้าวมาเป็นแบบอย่างให้กับนักกีฬาในการให้ความสำคัญต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ    หลายคนเห็นด้วยว่า หากนักกีฬาฝืนตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ มันอาจจะลงเอยด้วยเรื่องแสนเศร้าก็เป็นได้

แต่ยังมีคนที่ขาดความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งจิกกัดและล้อเลียน Simoneสนุกปาก บ้างก็หาว่าเธออ่อนแอ ขี้ขลาด หวาดกลัวความพ่ายแพ้ อีโก้สูงจนจมไม่ลง ดังในกรณีของ Piers Morgan ที่พักจากการจิกกัดเจ้าชาย Harry และ Meghan ชั่วคราว หันมาสร้างกระแสด้วยการกล่าวหา Simone ว่า เธอทิ้งทีมจนทำให้Team USA พ่าย Russia พลาดการคว้าเหรียญทอง และเขาอยากจะเห็น Simone คนเดิมที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อชัยชนะ แต่การกระทำของเธอไม่ได้น่าชื่นชมเพราะทำให้ team แฟนๆ และทั้งชาติต้องผิดหวัง

พิธีกรรายนี้ถูกปลดออกจากรายการข่าวชื่อดังของอังกฤษหลังจากกล่าวหาว่า Meghan Markle โกหกเรื่องปัญหาสุขภาพจิตที่ทำให้คิดอยากตาย หลังจากนั้นก็ด่า Naomi Osaka ว่าหงายการ์ดเรื่องโรคซึมเศร้ามาเป็นข้ออ้างไม่ยอมให้สัมภาษณ์สื่อหลังการแข่งขัน






แต่ผู้ชายคนนี้นี่เอง ที่ทนไม่ได้แม้แต่จะถูกรับการวิจารณ์จากเพื่อนร่วมงานแบบตรงไปตรงมา ทั้งๆที่อีกฝ่ายใช้เหตุผลในการหักล้างอย่างสุภาพ แต่ Morgan ตะบึงตะบอนออกจากห้องส่งในขณะที่กำลังถ่ายทำอยู่ ส่วนนักีฬาหญิงชื่อดังที่เขาโจมตีนั้นต้องผ่านการฝึกฝนหนักที่คนทั่วไปไม่อาจคิดภาพออกมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กว่าจะกลายมานักกีฬาระดับtop พวกเธอผ่านความพ่ายแพ้มาแล่วหลายครั้ง ใช้ชีวิตท่ามกลางเลือดเนื้อและน้ำตา ทั้งยังเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บหากพลาดไปเพียงเสี้ยววินาที เพื่อก้าวไปทำความฝันให้เป็นจริงแล้ว พวกเธอต้องทุ่มเททั้งกายใจมาเนิ่นนานหลายปี เมื่อตัดสินใจปกป้องความปลอดภัยและสุขภาพของตัวเอง กลับถูกจิกกัดว่าเป็น quitter!



อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับความ toxic นี้ สื่อดังต่างเลือกจะยืนหยัดข้าง Simone อย่าง Glamour ที่จัดเต็ม content เรื่องวิธีตอบโต้ troll ที่วิพากษ์วิจารณ์ Simone และพยายามจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ว่า นักกีฬาตัวจริงจะต้องก้าวข้ามความเจ็บปวดเพื่อชัยชนะให้ได้ และการถอนตัวจากการแข่งขัน Olympic ก็ไม่สามารถพรากเอาความสำเร็จที่มาจากความมุ่งมั่นทุ่มเทของเธอตลอดเวลาหลายปีไปได้




แกร่งแค่ไหน  แต่เมื่อถูกบีบคั้นด้วยความเอาแต่ใจของคนดู สุขภาพจิตอาจจะดำดิ่ง



ถ้าให้จินตนาการความรู้สึกที่ของนักกีฬาที่เอาชนะคู่แข่งที่ถูกยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกได้ แต่กลับถูกแฟนในสนามโห่กดดันราวกับเธอเป็นนักกีฬายอดแย่ เหตุการณ์นี้คงหนักหนาสำหรับนัก tennisสาว Naomi Osaka ที่เพิ่งจะอายุยี่สิบ    โอกาสที่จะเปล่งประกายในฐานะแชมป์ Grand Slam ของเธอถูกฉกชิงไปจากกลุ่มคนที่ชอบดูกีฬาแต่เมินเฉยต่อการเรียนรู้เรื่องน้ำใจนักกีฬา   จุดเริ่มต้นของความสำเร็จในฐานะนัก tennisมืออาชีพต้องมากลายเป็นประเด็นร้อนแรง เพียงเพราะเธอถูกจัดให้เป็น underdog แต่อาจหาญมาแย่งซีนนักกีฬาsuperstar  ความผิดหวังของผู้ชนะที่ผู้ชมไม่ยอมรับนั้นอาจฝากแผลใจให้ Naomi ไม่น้อยเลย

หลังจากที่ต้องรับมือกับความกดดันจากคนดูใน US open Naomi ได้พิสูจน์ความสามารถว่า เธอไม่ได้ดวงดีหรือมีลูกfluke จากผลงานที่ยอดเยี่ยมจนเคยขึ้นเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลก (ปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 2) จากที่ถูกเย้ยหยันว่าเป็น underdog แต่ Naomi กลับได้รับฉายาใหม่ว่า The Heir หรือทายาทผู้รับช่วงต่อความสำเร็จของพี่น้องตระกูล Williams

เธอคงมั่นใจและมีความสุขเปี่ยมล้น หลายคนคงคิดเช่นนั้น

แต่แท้จริงแล้ว  Naomi ต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้านับตั้งแต่เธอเอาชนะ Serena จาก US open เมื่อปี 2018  


การเรียกร้องสิทธิเพื่อปกป้องจิตใจของนักกีฬาที่ถูกคนบางกลุ่มเย้ยหยันว่าเป็นพวก 'ลืมตัว'



การเปิดเผยเรื่องปัญหาสุขภาพจิตทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวาง เมื่อเธอเลือกที่จะจ่ายค่าปรับเป็นจำนวน 15,000 ดอลลาร์จากการผิดข้อตกลงเพื่อให้สัมภาษณ์สื่อในการแข่งขัน French Open และยังได้รับคำขู่จากFFT ว่า เธออาจจะถูกตัดสิทธิ์จากรายการGrand Slamชื่อดัง

การคาดคะเนต่างๆนานาของคนนอก ทำให้เธอตัดสินใจออกมาเปิดเผยถึงอาการซึมเศร้าที่เธอพยายามรับมืออย่างยากลำบากมาตั้งแต่ปี 2018 เธอยังชี้ถึงการใส่หูฟังช่วงที่เข้าแข่งขันคือวิธีที่ใช้ลดอาการวิตกกังวล ด้วยนิสัยใจคอที่เป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมและพูดต่อหน้าผู้คนไม่เก่งนัก แม้นักข่าวจะปฏิบัติกับเธอด้วยดีเป็นส่วนใหญ่ แต่ความพยายามที่จะตอบคำถามให้ดีที่สุดนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกประหม่าและเกิดความตึงเครียดจนไม่สามารถรับไหว และขอเลือกจ่ายค่าปรับ เพราะเมื่อเธอได้มาถึง Paris แล้วก็ต้องพบกับความรู้สึกเปราะบางและกังวลใจ จึงขอให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและพักการเข้าแข่งขันไปก่อน และวางแผนจะพูดคุยกับผู้จัดการแข่งขันเพื่อร่วมหาทางออกที่ดียิ่งขึ้นต่อตัวนักกีฬา สื่อ และแฟนๆ


คำประกาศทาง social media ของ Naomi ได้รับกำลังใจล้นหลาม ทั้งแฟนๆและนักกีฬาชื่อดังรวมถึงไอดอลของเธอ     Serena และ Venus Williams    Serena ที่บอกว่าอยากจะกอดปลอบใจเธอ เพราะเคยผ่านจุดนั้นมาก่อนจึงเข้าใจดี   ส่วนVenus ก็เคยถูกปรับเพราะไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมาแล้วหลายครั้ง 


Naomi ได้ฝากความในใจผ่านบทความบน Time magazine เพื่อแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในวงการกีฬา มีใจความส่วนหนึ่งว่า


" ในกรณีของฉัน ฉันต้องรับมือกับความรู้สึกกดดันในการเปิดเผยอาการเจ็บป่วย ที่ชัดเจนคือ  สื่อและผู้จัดการแข่งขันไม่เชื่อคำพูดของฉันค่ะ"


"ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาพบกับเรื่องแบบนี้ และหวังว่าจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อปกป้องเหล่านักกีฬา โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบาง อีกอย่าง ฉันไม่อย่างจะถูกจับผิดเรื่องข้อมูลทางสุขภาพที่เป็นส่วนตัวอีกแล้วค่ะ ฉันจึงขอร้องให้สื่อได้ให้ความเป้็นส่วนตัวและเห็นใจกันในการสัมภาษณ์ในวันข้างหน้า"


"มันปรากฏอย่างชัดเจนว่ามีคนมากมายที่เจ็บป่วยทางจิตใจ หรือคนมีความเกี่ยวข้องรู้จักกับผู้ป่วย เมื่อดูจากจำนวนข้อความที่ฉันได้รับจากพวกเค้าเหล่านั้นก็ได้การันตีเรื่องนี้"


“จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ตามธรรมชาติแล้วฉันเป็นคนที่ชอบเก็บตัวและไม่ต้องการความสนใจ ฉันพยายามที่จะผลักดันตัวเองให้กล้าพูดในสิ่งที่เชื่อว่ามันถูกต้อง แต่ก็ต้องแลกด้วยอาการวิตกกังวลอย่างหนัก ฉันรู้สึกไม่สบายใจในการเป็นตัวแทนของการเรียกร้องเพื่อสุขภาพจิตของนักกีฬา เพราะมันยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับฉัน และฉันก็ไม่ได้มีคำตอบทุกอย่างให้ได้ไปหมดทุกอย่าง”





" ฉันหวังว่า ผู้คนจะสามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจว่า มันไม่เป็นไรหากเราจะรู้สึกผิดปกติ และมันไม่เป็นไรหากจะบอกเล่าให้คนอื่นรู้ มีคนที่จะช่วยเราได้ และมันจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เสมอ"


“Michael Phelp แนะนำให้ฉันเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะฉันอาจจะช่วยชีวิตใครสักคนได้ ถ้าสิ่งที่เขาบอกเป็นจริง มันก็คุมค่าที่ฉันได้พูดมันออกมาแล้วค่ะ"


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE