ท้าประชันงานผิว! Kisaa VS Laneige ต่างแค่เพียงราคา แต่คุณภาพสูสีกัน

45 17

สวัสดีค่า หลายคนอาจจะเคยเห็นมิ้วทำรีวิวมาเยอะพอสมควร จะเห็นว่าหลายปีที่ผ่านมามิ้วมีใช้เครื่องสำอาง ทั้งแบบราคาประหยัด หาซื้อง่าย ไปจนถึงเคาน์เตอร์แบรนด์ที่ราคาสูง ด้วยความที่เราลองมาหลายตัวมาก ๆ มันเลยทำให้เกิดการเปรียบเทียบคุณภาพของสิ่งที่เราใช้แต่ละชิ้น แล้วก็พบว่าบางชิ้นที่ราคาถูก คุณภาพของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าไอเทมเด่นดังราคาแพงเลย อย่างเช่น 2 ตัวนี้ที่มิ้วจะมาประชันขันแข่งให้ได้ชมกันค่ะ


Kisaa BB Semi-Matte VS Laneige Neo Cushion Matte 


หลายคนอาจจะรู้จักคุชชั่นตลับเขียวของ Laneige กันดีอยู่แล้ว ว่าเป็นสูตรแมตต์ ให้การปกปิดที่ดีเยี่ยม เบลอรูขุมขนได้ดี ติดทนยาวนานตลอดวัน ไม่ทำให้ผิวหมองคล้ำลง ที่สำคัญให้ฟินิชงานผิวที่สวยเป็นธรรมชาติอีกด้วย สีที่มิ้วใช้คือเบอร์ 21 ค่ะ แต่ก่อนจะไปเปรียบเทียบกัน มิ้วขอพามาทำความรู้จักกับเจ้า Kisaa BB Semi-Matte ซองสีดำซองนี้กันก่อน


Kisaa BB Semi-Matte มิ้วไปเจอมาในเซเว่นแถวบ้านนี่แหละค่ะ นางเป็นบีบีครีมเนื้อกึ่งแมตต์ ให้การปกปิด แต่ยังคงความบางเบา มาพร้อมนวัตกรรม Neosticker ที่ช่วยเคลือบผิว กระจ่างแสง เปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ มีส่วนผสมของสารสกัดจากดอกกุหลาบ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และทำให้ผิวกระจ่างใส และไฮยาลูรอนิค แอซิด, คอลลาเจน, วิตามินซี และกลูต้าไธโอน ช่วยให้ผิวเรียบเรียน สุขภาพดี มาพร้อม SPF50+ PA++++ กันแดดได้ทั้งรังสียูวีเอ และยูวีบี  แถมยังควบคุมความมันได้ดีเยี่ยม ติดทน กันน้ำ กันเหงื่อได้ดี ใช้ได้กับทุกสภาพผิวค่ะ

                

รู้จักเจ้าตัวนี้กันไปคร่าว ๆ แล้ว คราวนี้เราก็ลองมาเปรียบเทียบงานผิวของทั้งสองตัวกันได้เลย!


Kisaa VS Laneige


สี / เนื้อสัมผัส

สี : ของ Kisaa จะออกโทนเหลืองซึ่งเข้ากับอันเดอร์โทนของสาวไทยมากกว่า ในขณะที่ Laneige จะออกมาโทนชมพู ซึ่งเข้ากับผิวของสาว ๆ ทางฝั่งเอเชียตะวันออก อย่างจีน เกาหลี และญี่ปุ่นมากกว่าค่ะ


เนื้อสัมผัส : Kisaa เนื้อเหลว เกลี่ยง่ายกว่า มีความบางเบากว่า Laneige ที่มีความหนากว่า แต่ให้การปกปิดที่พอ ๆ กันค่ะ


เมื่อทาเปรียบเทียบหน้าของมิ้วทั้งสองฝั่ง ถ้าไม่สังเกตก็คงเห็นว่าแทบจะไม่แตกต่างกันมาก แต่ถ้าดูดี ๆ หน้าฝั่งขวาที่ทา Kisaa สีจะออกเข้มกว่าเล็กน้อย แต่ก็สัมพันธ์ไปกับสีผิวกายของมิ้วเอง ฟินิชผิวให้ความแมตต์ และการปกปิดได้ดี ในขณะที่ Laneige ก็ให้การปกปิดได้ดีเช่นกัน แต่ผิวจะดูสว่างขึ้น และโดดมาทางชมพูอยู่สักหน่อย ฟินิชผิวยังคงมีความวาวที่หน้าแก้มเล็กน้อยตามสไตล์การแต่งหน้าแบบสาวเกา

ทาหน้าทั้งสองฝั่งเสร็จเรียบร้อย เราจะยังไม่คลีนผิวไปในทันที แต่ไปแต่งหน้าต่อ และทำการทดสอบในส่วนอื่น ๆ ต่อไปค่ะ

การคุมมัน

เนื่องจากเป็นคนผิวผสม หน้ามันระหว่างวัน เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมิ้วไปแล้ว โดยเฉพาะตามบริเวณทีโซน  หลังจากที่แต่งหน้าเสร็จ ส่วนตัวมิ้วรู้สึกว่าทั้ง Kisaa และ Laneige เซตตัวได้เร็ว และให้การปกปิด คุมมันได้ดีพอ ๆ กัน จึงลองใช้กระดาษซับมันมาทดสอบดูในแต่ละชั่วโมงค่ะ


ส่วนตัวมิ้วไม่ได้แยกฝั่งการใช้กระดาษซับมันนะคะ เพราะเท่าที่มองจากตาเปล่า หน้าทั้งสองฝั่งยังคงความติดทนเสมอกัน เรียกว่าชั่วโมงแรก ๆ หน้าผ่องเด้ง ไร้ความมัน และไม่มีทีท่าว่าข้างไหนจะเยิ้มออกมามากกว่ากัน แม้จะผ่านไป 3 ชั่วโมง ก็มีความมันออกมาให้เห็นเพียงเล็กน้อย หรือตอนที่ผ่านไปแล้ว 6 ชั่วโมง แม้จะมีความมันออกมามากขึ้น แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก (เมื่อก่อนในที่นี้ คือตอนที่ยังไม่รู้จักสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวตัวเอง และยังดูแลผิวได้ไม่ค่อยดีค่ะ)


การกันน้ำ

ผ่านการทดสอบเรื่องคุมมันไปแล้ว ขอทดสอบอีกอย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องของการกันน้ำค่ะ ลองฉีดน้ำเข้าที่ใบหน้าเยอะ ๆ อย่างที่เห็นในรูป แล้วซับออก ผิวก็ยังดูสวย มีความผ่องเด้งอยู่ทั้งสองฝั่ง ผิวยังคงสวยเนียนเป็นธรรมชาติ เรียกว่าทั้งสองตัวทำหน้าที่กันน้ำ กันเหงื่อได้ดี ไม่ทำให้เมคอัพหลุดในระหว่างวันจริง ๆ เลยค่ะ 


------------------------------------------------


จบบริบูรณ์สำหรับการประชันกันระหว่างไอเทมงานผิวสองสัญชาติ แม้ว่าราคาจะต่างกันมาก แต่เขาก็ให้คุณภาพที่ใกล้เคียงกันจริง ๆ อาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างในรายละเอียดยิบย่อย เอาเป็นว่าอยู่ที่ใครชอบ และสะดวกแบบไหน ใคร่จะใช้แบบไหนมากกว่ากันนะคะ ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นของมิ้วคนเดียว ยังไม่ต้องเชื่อทั้งหมด แต่ลองไปพิสูจน์กันเอง เพราะของแบบนี้อยู่ที่สภาพผิวของแต่ละคนด้วย สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ชมรีวิวกันจนจบนะคะ ไว้พบกันใหม่คราวหน้า บ๊ายบายค่า


Minniie.Mew

Minniie.Mew

Art & Makeup Junkie
เรียกเราสั้น ๆ ว่า "มิ้ว"
ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่รักการแต่งหน้าที่สุด
เพราะสำหรับเรา การแต่งหน้าก็คือศิลปะ!!

FULL PROFILE