ซีรีส์ต่างประเทศนำเสนอประเด็น"เหยื่อการข่มขืน"กันแบบไหน

คดีฆ่าข่มขืนสุดสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้สร้างความคั่งแค้นให้กับคนในสังคมอย่างไม่สามารถบรรยายได้ถูก   เพราะเหตุใด อาชญากรจิตใจต่ำช้าที่ย่ำยีเหยื่อผู้อ่อนแอแต่กลับรับโทษเพียงเบาบางไม่สมกับความผิด  แล้วยังออกจากสถานที่คุมขังมาทำร้ายชีวิตคนอื่นให้แตกสลายไป     พวกเราได้เฝ้าดูการก่อคดีซ้ำของ rapist โดยไม่สามารถทำอะไรได้    เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินข่าวข่มขืน ก็ทำให้ประหวั่นพรั่นพรึงและหวาดระแวง  หากว่า rapist เหล่านั้นจ้องทำร้ายตัวคุณหรือสมาชิกครอบครัวที่คุณรักล่ะ ?  เราไม่สามารถจินตนาการถึงความเจ็บปวดของเหยื่อได้เลย     ไม่ว่าจะป้องกันตัวด้วยความรอบคอบสักเพียงใด   ก็ไม่สามารถรับประกันได้เต็มที่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น  แม้แต่เด็กน้อยบริสุทธิ์ที่อยู่ในบ้านตัวเองก็ยังถูกทำร้าย     รวมไปถึงคดีบีบหัวใจคนที่มีลูกหลาน เมื่อได้ยินว่า แม้แต่เด็กชายวัยชายวัยประถมก็สามารถลงมือข่มขืนเด็กหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน    เรื่องราวที่ได้ยินมาแล้วไม่รู้ต่อกี่ครั้งได้ทิ้งคำถามสำคัญไว้ว่า

" เราจะป้องกันปัญหานี้ได้อย่างไร ?"



แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แต่อาชญากรรมข่มขืนก็ยังเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน แม้กระทั่งในประเทศที่เจริญแล้ว ได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจเพื่อกวาดล้างเหล่า rapist รวมไปถึงการขึ้นทะเบียนผู้กระทำผิดทางเพศ คดีข่มขืนก็ยังสร้างความหนักใจให้กับผู้คนในสังคม

หลายคนเชื่อว่า วิธีดังกล่าว ก็ยังมีประสิทธิภาพเพื่อจัดการอาชญากรรมทางเพศที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจและป้องกันการกระทำผิดซ้ำได้ในระดับหนึ่ง หากปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรังต่อไปโดยไม่เดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ไข บ้านเมืองอาจจะเข้าสู่ความสิ้นหวัง ข่าวพาดหัวถึงคดีฆ่าข่มขืนได้กลายมาเป็นความเคยชินของคนในสังคมที่ต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพเสี่ยงต่อการถูกอาชญากรข่มขืนทำร้าย




การถ่ายทอดแนวคิดว่าเรื่องข่มขืนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ผ่านสื่อบันเทิง

 
ในช่วงที่ยังเยาว์วัย เราอาจจะไม่เรียนรู้ประสบกาณณ์มากพอว่า ภาพความรักของชายหญิงในนิยายสุด classic รวมถึงละครเรตติ้งสูงปรี๊ดทั้งหลายนั้นได้ยัดเยียดแนวคิดที่บิดเบี้ยวจนทำให้มีคนเชื่อจริงๆว่า ในขณะที่ผู้ชายมีความต้องการทางเพศ คำว่า "ไม่" ของผู้หญิง ไม่ได้เป็นลูกไม้ที่ใช้ยั่วยวนปลุกอารมณ์ให้หื่นกระหายกว่าเดิม ไม่ใช่แค่อาการกระบิดกระบวนเล่นตัวเพราะความเขินอาย การใช้กำลังข่มขืนจนอีกฝ่ายเจ็บปวดทั้งร่างกายและหัวใจไม่ได้เยียวยาได้ง่ายดายด้วยคำพูดง้องอนและฉากจบที่ริมทะเลที่เป็นสูตรสำเร็จหวานเอียนชวนขนลุก

แต่มันช่างน่าหดหู่ที่แม้ว่าเราจะก้าวมาถึงปี 2021 กันแล้ว  เรื่องของ normalization of rape culture ผ่านวงการ TV  ก็ยังเป็นประเด็นสร้างข้อถกเถียงในสังคม     ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากแสดงจุดยืนต่อต้านการนำเสนอเรื่องข่มขืนในรูปแบบของความรักอันแสนประทับใจ   แต่ก็ยังมีผู้สร้างละครแนวเดิมๆมาดึงเรตติ้งจากผู้ชม ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่พ้นเรื่องการข่มขืน


  • พระเอกข่มขืนนางเอกเพื่อระบายความแค้นหรือหึงหวงจนต้องประทับตราความเป็นเจ้าของ  แต่ไม่เป็นไร  ความรักแสนหวานจะชนะทุกอย่าง พวกเค้าจะมีความสุขสมหวังกัน ราวกับกำลังขายไอเดียว่า  หากจะรักใคร ก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติกันในความสัมพันธ์  ถึงพระเอกจะเป็น abuser ใช้กำลังขืนใจนางเอกจนเสร็จสมอารมณ์หมายก็ลงเอยแบบ happy ending 
  • นางร้ายจ้างชายกลัดมันไปข่มขืนนางเอกเพื่อสร้างตราบาปให้กับศัตรูหัวใจ  ทั้งๆที่มีวิธีอื่นอีกมากมาย  แต่ต้องจำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นการข่มขืนเท่านั้น     พ่วงมากับแนวคิดที่ว่า ถ้าเป็นชายอื่นตั้งใจวางแผนล่วงละเมิดทางเพศนางเอกแล้วย่อมเป็นพวกชั่วช้าสามานย์  แต่ถ้าเป็นพระเอกล่ะไม่เป็นไร  รับได้หมด
  • นางร้ายเจอกับกรรมตามสนอง ต้องมาถูกข่มขืนอย่างรุนแรงจนเสียผู้เสียคน  ย่ำวนอยู่กับการชดใช้กรรมอยู่เท่านี้   
  • ก่อนที่จะปล่อยฉากข่มขืนสร้างความบันเทิงใจ ( ให้ใคร?)   สื่อยังไม่พลาด ต้องโพรโมทการถ่ายทำว่าเผ็ดแซ่บกันขนาดไหน


 การนำเสนอเรื่องข่มขืนผ่านซีรีส์ต่างประเทศจะมีรูปแบบใดบ้าง    พวกเค้าจะยังขายความบันเทิงด้วยภาพของ rapist ที่แก้แค้นผู้หญิงไร้ทางสู้ ด้วยการข่มขืนเธอ  แล้วพัฒนาความสัมพันะ์จนกลายเป็นรักแท้เหมือนบางประเทศหรือไม่   มาติดตามกันค่ะ



คำเตือน มีเนื้อหาspoil เรื่องราว

อังกฤษ  - Broadchurch Season 3  (์Netflix)

สะท้อนมาตรฐานข้อปฏิบัติต่อหยื่อข่มขืนที่แจ้งความขอความช่วยเหลือในกระบวนการยุติธรรม

Broadchurch  ในซีซัน 3   ได้สร้างกระแสฮือฮาในอังกฤษด้วยการตีแผ่เรื่องอาชญากรรมทางเพศและการเปิดเผยคนร้ายตัวจริงที่ทำให้ผู้ชมตกตะลึง   นับตั้งแต่ episode แรกที่เปิดตัวเหยื่อหญิงวัยกลางคนที่ผมตัดสั้นกุดและแต่งกายมิดชิด  ก็เป็นการทุบประเด็นเรื่อง "ไม่มีใครเป็น perfect victim"  ได้อย่างหนักหน่วง      มีคนมากมายที่ยังมองเหยื่อการข่มขืนด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยอคติ    กล่าวโทษว่าพวกเธอมีส่วนผิดที่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง  แต่งตัวล่อแหลมปลุกความกระหายทางเพศ  ปล่อยตัวให้เข้าใกล้ผู้ชายกันเพียงสองต่อสอง    แต่ความเป็นจริงนั้น  มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่เกิดได้กับทุกคน  แม้ว่าคุณจะระวังตัวเป็นอย่างดีก็ตาม       

ซีรีส์เรื่องนี้ได้เล่าเรื่องราวของ Trish สาวใหญ่ที่โทรขอความช่วยเหลือจากตำรวจ เธอถูกพบในสภาพที่มึนงงเลื่อนลอยจากภาวะที่กระทบกระเทือนใจอย่างหนักจนไม่สามาถสื่อสารเรื่องราวที่ครบถ้วนนัก ตำรวจพบว่าเธอถูกคนร้ายโจมตีที่หัว และลงมือข่มขืนในขณะที่ปิดตาเธอ เรื่องราวสุดบัดซบนี้ทำให้ Trish เข้าสู่สภาวะช็อคอย่างรุนแรง แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีร้ายแรงมาก่อนยังต้องสะเทือนใจ

ถามว่าซีรีส์เรื่องนี้สมจริงแค่ไหน ? ผู้สร้างได้เชิญ survivor ที่ต่อสู้กับประสบการณ์เลวร้ายแบบเดียวกันในชีวิตจริงมาเป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิด การประชันฝีมือของนักแสดงไม่ได้มีจุดประสงค์ในการสร้างความบันเทิงเพียงเท่านั้น แต่เป็นการถ่ายทอดให้ผู้คนได้ตระหนักว่า เหยื่อข่มขืนต้องเจ็บปวดมากมายสักเพียงใด และมันยากเย็นแค่ไหนเพื่อจะพยายามกลับมาเป็น "ปกติ" เหมือนเดิมให้ได้ หลายคนไม่สามารถเอาชนะความทรงจำที่โหดร้ายที่ตามหลอกหลอน ต้องทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ รู้สึกราวกับตายทั้งเป็น หรือมืดมนไร้หนทางจนถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตต่อไป
Broadchurch  ได้เปิดโลกทัศน์ของเราถึงกระบวนการทางแพทย์และทางกฎหมายเมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อเหยื่อข่มขืน   ผู้เชี่ยวชาญได้พูดจากกับเธอด้วยความนิ่มนวล ให้เกียรติ  และอธิบายถึงขั้นตอนต่างๆอย่างชัดเจน  และให้ความสำคัญต่อจิตใจของเหยื่อเป็นอย่างยิ่ง  เหยื่อจะถูกพาไปที่ศูนย์ให้คำปรึกษาผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ  และที่ปรึกษาจะยืนยันว่า หากเหยื่อรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สบายใจในจุดใด  พวกเค้าจะหยุดขั้นตอนการตรวจสอบหลักฐานต่างๆทันที   (สารภาพว่า เป็นคนที่ไม่ได้ร้องไห้กับดราม่าทางTV มากนัก  แต่เริ่มต้นที่เห็นเหยื่อร่ำไห้ในขณะตรวจร่างกาย เราก็น้ำตาซึมแล้วค่ะ)

การสอบปากคำเป็นสิ่งที่ยากเย็นที่สุดจุดหนึ่ง เธอต้องพยายามรวบรวมสตินึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้เพราะยังช็อคหนัก และเอ่ยปากขอโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป และสิ่งที่ได้ยินกลับมาคือ

" คุณไม่มีเรื่องที่ต้องพูดขอโทษเลยครับ"

ใช่แล้วค่ะ เหยื่อไม่มีความผิด ไม่ใช่ผู้ก่อเหตุ ไม่มีสิ่งใดที่ติดค้างจนต้องขอโทษใครทั้งนั้น
เมื่อการสืบสวนหาตัวคนร้ายมาลงโทษได้เริ่มต้นขึ้น  ชีวิตของเหยื่อก็ยังต้องดำเนินต่อไป  ศูนย์ช่วยเหลือผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศไม่ได้ยุติหน้าที่ตรงที่การเก็บหลักฐานเท่านั้น  แต่ยังส่งcaseของเหยื่อ่ให้กับศูนย์ที่ช่วยเหลืออีกแห่งเพื่อจัดที่ปรึกษาที่จะติดต่อหาเธอภายใน24 ชั่วโมง  กระบวนการนี้เองที่จะช่วยให้เหยื่อเข้าสู่การบำบัดรักษาจิตใจ และมีอาสาสมัครเข้ามาพูดคุยดูแล    ส่วนผู้คนในชุมชนก็มองเหตุการณ์นี้ด้วยความเห็นใจ  ไม่ใช่สายตาพิพากษาว่าเป็นเรื่องฉาวโฉ่คาวโลกีย์


นอกจากนั้น ตำรวจได้ติดตั้งปุ่มฉุกเฉินให้เธอใช้เรียกช่วยเหลือการมีผู้ประสงค์ร้ายเข้ามาที่บ้าน แต่แม้กระนั้น Trish ก็รู้สึกขวัญผวาจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะบอกกับลูกสาววัยรุ่นเช่นไร ความอับอายทำให้เธอคิดว่า คนร้ายน่าจะฆ่าทิ้งเธอไปเสียก็ดี
แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะคุ้นเคยกับหลัก   ตำรวจที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตว่าคำให้การของเจ้าทุกข์มีช่องโหว่บางอย่าง  จะมั่นใจได้หรือไม่ว่าเธอพูดความจริงง   ก็ได้รับการสั่งสอนที่เด็ดขาดจากตำรวจรุ่นพี่ว่า    ในการไขคดีล่วงละเมิดทางเพศ จะต้องเริ่มจาก "เชื่อในตัวเหยื่อเสมอ"     ตัวเจ้าทุกข์ไม่ได้ติดต่อมามาด้วยคำพูดเปล่าๆ  เธอมีบาดแผลตามร่างกายที่กำลังรอผลตรวจทางนิติเวช และยังแสดงอาการกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก  

ขั้นตอนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในคดีข่มขืน ที่ปรึกษาจะสร้างความไว้ใจและคอยรับฟังเมื่อเหยื่อต้องการระบายความทุกข์ เป็นการเยียวยาจิตใจให้พร้อมรับความกดดันในการตามจับกุมู้กระทำผิด นั่นเป็นเพราะว่า เหยื่อจะต้องให้ข้อมูลต่อตำรวจอีกหลายครั้ง   ซึ่งล้วนแล้วเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากจะนึกถึง   คำถามบางอย่างอาจจะกระตุ้นให้เกิดความหวาดกลัวและรู้สึกเหมือนถูกล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัวเกินรับได้ แต่เมื่อมีที่ปรึกษาคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆระหว่างการสอบปากคำ จะช่วยให้ตำรวจได้รับข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อคดีมากขึ้น


นี่คือคำพูดของที่ปรึกษาเหยื่อจากการล่วงละเมิดทางเพศจากซีรีส์เรื่องนี้


"  คุณตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัวเพื่อมาคุยกับฉันตรงนี้ได้    นี่ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้วนะคะ   อาชญากรรมพวกนี้ทำให้คุณรู้สึกว่าได้สูญเสียตัวตนไปราวกับว่าไร้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์   แต่ว่ายังมีแสงสว่างนั้นรออยู่ค่ะ  และเราจะตามหาแสงสว่างนั้นไปด้วยกัน"


สารสำคัญที่ซีรีส์เรื่องนี้ส่งต่อถึงเหยื่อข่มขืนและคนรอบข้างคือ แม้จะร่างกายและจิตใจได้ถูกทำร้ายจนเจ็บปวดแสนสาหัส แต่พวกเค้าสามารถลุกขึ้นมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง หากได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเข้าใจและปราศจากอคติ เราไม่สามารถหาเหตุผลที่น่าฟังข้อใดเลยที่จะชักจูงให้เชื่อได้ว่า ฝ่ายที่ควรถูกตั้งข้อรังเกียจจะเป็นเหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างหนัก ถูกดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เหยื่อคือผู้เราควรให้กำลังใจเพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ลดทอนคุณค่าของพวกเค้าไปได้ต่างหาก

มีการยืนยันจาก rape survivor ในอังกฤษว่า  ขั้นตอนการปฏิบัติต่อเหยื่อข่มขืนที่ปรากฏในซีรีส์ตรงตามประสบการณ์จริงของพวกเธอ   แต่แม้จะรู้ดีว่า ขั้นตอนเหล่านั้นจะตั้งบนพื้นฐานในความเป็นมืออาชีพและให้ความสำคัญต่อสุขภาพจิตของเหยื่อ เมื่อได้เห็นอีกครั้งก็ย้ำเตือนให้ดำดิ่งไปในความทรงจำอันโหดร้ายจนต้องสะเมือนใจ     หากเป็นการสอบสวนโดยไม่คำนึงถึงสภาพจิตใจเหยื่อ

แน่นอนว่า ในอดีต ที่อังกฤษก็เคยมีเจ้าทุกข์ที่ร้องเรียนว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่มาแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือความเปลี่ยนแปลงที่ยกมาตรฐานข้อปฎิบัติต่อเหยือที่ถูกกระทำลำเรา และเราเชื่อว่าคนไทยจำนวนมากย่อมปรารถนาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน

แต่เมื่อใดที่วันนั้นจะมาถึง ?








คำเตือน มี การspoil เนื้อหาซีรีส์

เกาหลี -  Hogu's Love

เมื่อเหยื่อตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน และตัดสินใจไม่ทำแท้ง


ดูแค่ชื่อเรื่องและความใสแบ๊วของพระเอกก็ทำให้คิดว่านี่เป็นซีรีส์แบบ feel good แต่แท้จริงแล้ว Hogu's Love กลับเต็มไปด้วยดราม่าที่หนักหน่วง จากการสะท้อนสภาพสังคมที่ไม่ยอมรับแม่เลี้ยงเดี่ยว แม้จะเกาหลีใต้จะพัฒนารุดหน้าไม่แพ้ประเทศที่เจริญรุดหน้าอื่นๆ และพยายามสร้างมาตรฐานต่างๆเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเพศ แต่การปลูกฝังแนวคิดที่หยั่งลึกจนยากจะเปลี่ยนแปลงทำให้ ผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้าง หรือเลี้ยงดูลูกโดยไม่มีผู้เป็นพ่อเด็กอยู่เคียงข้างถูกยัดเยียดตราบาปมาให้ กลายเป็นเรื่องน่าอดสูที่บางคนยังเลือกจะปิดบังเพราะไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกดูแคลน

แม่เลี่ยงเดี่ยวยังต้องพบกับอุปสรรคหนักถึงขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นแม่ที่ตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืนล่ะ ?
นางเอกที่เป็นเหยื่อข่มขืนที่ถูกเรียกว่า date rape  ซึ่งเป็น term ที่ดูจะไม่มีใครพูดถึงมากมายนักที่สังคมบ้านเรา แต่ดูเหมือนว่าหลายคนมองผ่านการกระทำนี้และยังถูกเหมารวมให้เป็นการมีเพศสัมพันธ์อย่างยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย แต่มันคืออาชญากรรมที่ทำร้ายเหยื่อไปแล้วมากมายเช่นกัน


date rape คืออะไร ?

ความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นจากผู้กระทำที่มีความสัมพันธ์กับเหยื่อ อาจจะเป็นเพื่อนสนิท คู่เดท คนรักที่ได้รับความไว้วางใจจากเหยื่อ จากในอดีตที่มีความเชื่อว่า rapist จะเป็นคนแปลกหน้าที่แฝงตัวในเงามืดเข้ามาจู่โจมข่มขืนเหยื่อ แต่แท้จริงแล้ว คดีส่วนใหญ่เกิดจากคนที่เหยื่อรู้จักเป็นอย่างดี

แต่ในทางกฎหมายจากหลายประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างเหยื่อกับผู้กระทำไม่สามารถลบล้างความผิดไปได้ date rape ในหลายกรณีจะเกิดขึ้นจากการฤทธิ์เหล้ายา ไม่ว่าฝ่ายผู้กระทำจะวางแผนไว้ก่อนหรือไม่ แต่การฉวยโอกาสข่มเหงเหยื่อที่เมาขาดสติและไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ก็ถือเป็นอาชญากรรมล่วงละเมิดทางเพศไม่ต่างจากการใช้กำลังบีบบังคับเหยื่อ



   Hogu's Love ได้เล่าถึงชีวิตของ โดฮี นักว่ายน้ำสาวสวยชื่อดังที่ต้องปกปิดความลับเรื่องการตั้งครรภ์  ด้วยความหวาดหวั่นว่า หากสังคมรับรู้ว่าเด็กในท้องไม่มีพ่อก็จะถูกสังคมตัดสินว่ามีมลทินจนอาชีพการงานพังทลาย     วิธีดำเนินเรื่องราวโดยมีปริศนา " ใครคือพ่อเด็กตัวจริง?"  สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ชมเมื่อพบว่า  โดฮีตั้งท้องเพราะถูกเพื่อนผู้ชายที่สนิทสนมกันฉวยโอกาสข่มขืนเธอที่กำลังเมามาย    หลายคนเชื่อว่า  หากยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด   แต่เธอพยายามรับมือกับสถานการณ์ด้วยการอุ้มท้องอย่างลับๆและคลอดเพื่อยกลูกให้ผู้อื่นอุปการะ   

แต่เมื่อเหยื่อข่มขืนพยายามเดินหน้าในชีวิตต่อไปโดยที่ยังต้องเผชิญหน้ากับrapist ที่ทำร้ายเธอ   โฮกู ผู้ชายแสนดีอย่างเหลือเชื่อก็โผล่เข้ามาชีวิตของเธอ  เขาแสดงออกชัดเจนว่าบูชาเธอราวกับนางฟ้าและยอมรับเรื่องทารกน้อยที่ไม่สามารถระบุตัวตนพ่อทั้งยังดูแลใส่ใจราวกับเป็นลูกของตัวเอง    พลังงานด้านบวกจากเจ้าชายคนนี้ทำให้เธอคิดถึงอนาคตในอีกเส้นทาง    การสร้างครอบครัวกับผู้ชายที่ยอมรับเธอและลูกอย่างจริงใจนั่นเอง    แต่สังคมที่ยังไม่ยอมรับแม่เลี้ยงเดี่ยวได้อย่างเต็มที่ จะยอมรับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ท้องเพราะถูกข่มขืนได้หรือไม่.

เมื่อชายหนุ่มแสนดีได้ล่วงรู้ความลับเรื่องที่เธอเป็นเหยื่อข่มขืน เขาย่อมช็อคหนัก แต่เป็นเพราะความสะเทือนใจที่คนรักต้องพบกับชะตากรรมที่โหดร้าย มันไม่ได้ลดทอนความรักที่เขามีต่อเธอและลูกแต่อย่างใด และยังได้ยืนยันว่า เธอไม่ควรอับอายหรืออยากหลบหนี แต่เธอเป็นผู้ที่สมควรจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด เขาคนนี้นี่เองที่ขอร้องให้เธอฟ้องร้องเอาผิดกับ rapist ไม่ให้รอดจากการกระทำต่ำช้านี้


เนื้อหาดราม่าหนักหน่วงจากซีรีส์เรื่องนี้อาจจะทำให้ผู้ชมจำนวนหนึ่งอึดอัดคับข้องใจกับความอยุติธรรมที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องพบเจอ โดฮีอาจจะเจอกับผู้ชายที่เข้าใจและคอยสนับสนุนเธออย่างไร้เงื่อนไขจนทำให้เธอก้าวต่อไปด้วยจิตใจที่แข็งแรงขึ้น แต่เมื่อได้เห็นว่าเหยื่อได้รับการปฏิบัติที่ย่ำแย่  Hogu's Love ก็อาจจะไม่ได้เป็นผลงานที่ช่วยให้กำลังใจผู้ที่เป็นเหยื่อข่มขืนนัก    เหยื่อจะก้าวต่อไปได้อย่างไรหากไม่มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาคอยช่วยเหลือให้กำลังใจเหมือนในซีรีส์ 


สิ่งที่ชวนจิตตกจาก Hogu's Love คือท่าทีของคนรอบข้างเหยื่อที่ถูกข่มขืนนั่นเองค่ะ เริ่มตั้งแต่ประธานในสังกัดของโดฮีที่รับรู้เรื่องราจากปากของเธอเองว่าตั้งครรภ์เพราะถูกเพื่อนในสังกัดเดียวกันข่มขืน แต่โน้มน้าวให้เธอประนีประนอมกับอีกฝ่าย แม้จะทำท่าทางเหมือนกับกำลังเห็นใจ แต่ใช้สายตาหยามหยันราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเธอ หรือจะเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวนที่ไม่พยายามปิดบังอคติที่มีต่อเธอเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศในการสอบปากคำนั้นมีทั้งคำพูดและท่าทางเชิงดูแคลน

"ผมเจอเหยื่อข่มขืนมาเยอะ พฤติกรรมของคุณที่เล่ามาดูขัดขืนไม่มากพอ" 

คำนิยามคือการขัดขืนที่มากพอเป็นอย่างไรกันแน่ ? คำถามที่ว่า ทำไมไม่ขัดขืนให้มากกว่านี้ ดูไม่ได้ต่างจากการตอกย้ำว่า เป็นความผิดของเหยื่อที่ถูกข่มขืน ทั้งๆที่เคยมีผู้อธิบายว่า พวกเธอหวาดกลัวมากจนไม่สามารถขยับตัวได้ หรือไร้เรี่ยวแรงต่อสู้เพราะสภาพร่างกายไม่พร้อมจากความเจ็บป่วยหรือความเมามาย แต่กลับกลายเป็นว่า อาจจะฟังไม่น่าเชื่อถือหรือถูกตีความเป็นการสมยอม



"ทำไมถึงมีเด็กล่ะ  คุณทำแท้งก็ได้นี่"

โดฮีได้ตอบคำถามด้วยสายตาเย็นชาว่า

" นี่คือสิ่งที่เหยื่อควรจะทำเหรอคะ " 

ร่างกายและจิตใจของเหยื่อได้รับผลกระทบเมื่อถูกข่มขืน แต่เจ้าหน้ามีท่าทีเย้ยหยันการตัดสินใจของเจ้าทุกข์ โดยไม่เปิดใจยอมรับการตัดสินใจที่เหยื่อ "มีสิทธิ์" จะเลือกด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป


ภาพที่เจ้าหน้าที่ไม่พยายามทำความเข้าใจจากมุมมองของเหยื่อและใช้อคติส่วนตัวในการสอบปากคำอาจจะกลายมาเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางไม่ให้เหยื่อขอความช่วยเหลือ ไม่มีใครที่อยากจะพบกับการซ้ำเติมให้เจ็บกว่าเดิมหลังจากถูกกระทำชำเรา



  หลังจากที่โดฮีเดินหน้าฟ้องร้องผู้กระทำผิด  แต่เป็นเพราะว่า rapist คนนี้หนุ่มคนดังที่สร้างความชื่นชมจากสังคมในขั้นที่ได้รับฉายาว่า "น้องชายแห่งชาติ" ทำให้บรรดาแฟนๆ ยืนหยัดเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มที่  พวกเค้าไม่รับฟังคำพูดของโดฮีแม้แต่น้อย แล้วรวมตัวกันเพื่อประท้วงและคุกคามโดฮีในวันแต่งงานด้วยการตะโกนด่าว่าเธอเป็นผู้หญิงสำส่อน แม้เธอจะแสดงความแข็งแกร่งไม่หวาดหวั่นต่อการคุกคามนี้ แต่ในชีวิตจริง จะมีเหยื่อข่มขืนสักกี่คนที่สามารถรับมือกับเรื่องรุนแรงเช่นนี้ได้ ?




คำเตือน มี การspoil เนื้อหาซีรีส์

ญี่ปุ่น - Last Friends



การข่มขืนที่เกิดจากน้ำมือคนรัก


เมื่อพูดถึงผู้ร้ายคดีข่มขืน อาจจะมีคนจินตนาการถึงชายหน้าเหี้ยมท่าทางผิดปกติที่ดูไม่น่าเข้าใกล้ แต่หากผู้ลงมือกระทำชำเราเป็นคนใกล้ตัวที่เหยื่อรักและไว้ใจอย่างคนรักหรือสามีล่ะ ? เคยมีคนนำเรื่องความทุกข์ใจมาขอคำปรึกษาในโลกออนไลน์ว่าถูกสามีข่มขืนแล้วจะแจ้งความได้หรือไม่ แม้ว่าตามกฎหมายจะระบุว่าแม้ผู้กระทำจะเป็นสามี แต่ถือว่าได้ก่ออาชญากรรมทางเพศ จะต้องได้รับโทษ เสียงตอบรับในประเด็นนี้กลับแตกแยกกันออกไป ทั้งสนับสนุนให้ภรรยาแจ้งความและฟ้องหย่า ทั้งวิจารณ์ว่าเป็นความผิดของเธอเองที่ไม่สามารถทำหน้าที่ภรรยาได้อย่างครบถ้วน หรือจะเป็นคำแนะนำให้เธออดทนเพื่อลูก และหาทางออกอื่น เช่น ยินยอมให้สามีปลดปล่อยอารมณ์กับหญิงบริการ

คนในสังคมอาจจะคิดต่างกันในเรื่องนี้ แต่คนส่วนใหญ่ได้คำนึงถึงความเจ็บปวดของเหยื่อที่ถูกกระทำด้วยน้ำมือของคนรักหรือไม่ เราก็ยังไม่แน่ใจนัก  



ซีรีส์ญี่ปุ่นในความทรงจำของหลายคนเรื่องนี้ได้สั่นสะเทือนอารมณ์ด้วยประเด็นความรุนแรงในครอบครัว โซสุเกะ- มิจิรุเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยความรักแสนหวาน พวกเค้าตัดสินใจอยู่กินกันด้วยความวาดหวังถึงชีวิตคู่รักที่แสนสุข โซสุเกะที่ทั้งสุภาพและเป็นที่พึ่งพาได้ดูเหมาะสมกับมิจิรุผู้อ่อนโยนบอบบางอย่างไร้ที่ติ ทั้งยังมีหน้าที่การงานราชการที่มั่นคงและนิสัยที่ดูซื่อตรงไม่เจ้าชู้ ดูเหมือนว่ามิจิรุจะเป็นผู้โชคดีราวกับถูก jackpot ใหญ่เลยทีเดียว


แต่ทันทีที่เขาสัมผัสได้ว่า เธอไม่ได้มอบความสนใจจดจ่อต่อเขาเพียงผู้เดียว โซสุเกะก็เผยตัวตนอีกด้านที่น่าสะพรึงกลัวออกมา เขาไม่ได้ต้องการความรักจากเธอเท่านั้น แต่ยังต้องการครอบครองเธอทุกลมหายใจ และไม่ลังเลที่จะใช้กำลังเพื่อกำราบไม่ให้เธอคิดเปลี่ยนใจไปมองใครคนอื่น จากการตบหน้าก็เพิ่มดีกรีความรุนแรงจนสาวคนรักฟกช้ำไปทั้งตัว จากเดิมที่มิจิรุเคยรู้สึกอบอุ่นใจกับความรักของโซจิโร่ เธอก็หวาดกลัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องหลบหนีออกมา แต่เขาไม่ยอมรามือ และลงมือทำร้ายคนรอบตัวมิจิรุด้วยความหึงหวง โซสุเกะคลั่งถึงขั้นข่มขืนมิจิรุที่กรีดร้องอย่างหวาดกลัว หลังจากถูกย่ำยี เธอดูเลื่อนลอยไร้วิญญาณ เห็นได้ชัดว่ามันทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนถูกตบตีซะอีก



โซสุเกะเป็น abuser ที่แสดงออกหลายบุคลิก ยามที่ไม่ได้มีเรื่องขัดใจ เขาช่างอ่อนโยนใจดีโดยไม่ได้เสแสร้ง แต่เมื่อหวาดระแวงในตัวคนรัก ปีศาจร้ายที่ซ่อนอยู่ก็จะปรากฏตัวออกมาทำร้ายเธอโดยไม่คิดลังเลใจ แต่เพียงไม่นานต่อมา เขาก็จะร่ำไห้ด้วยความสำนึกผิดและเฝ้าขอร้องให้มิจิรุยกโทษให้ แต่เธอตกอยู่ในวังวนของเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวที่ไม่สามารถเลิกรากับ abuser ได้เด็ดขาด ทั้งๆที่ถูกทำร้ายรุนแรงอยู่ฝ่ายเดียว แต่เธอพยายามอธิบายว่า พวกเค้าต่างก็ผ่านชีวิตโดดเดี่ยวที่โหดร้ายและโหยหาครอบครัวเหมือนกัน เธอจึงไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวได้


แต่เรื่องนี้ไม่ได้อวสานด้วยฉากริมทะเลที่พระเอก-นางเอกเคลียร์ปัญหาหัวใจจนกลับมารักกันหวานชื่น แม้จะเป็นละคร แต่ก็สะท้อนปัญหาความรุนแรงในครอบครัว   เลือดเนื้อ น้ำตา และความสูญเสีย ไม่ได้ถูกนำมาปั้นเป็นแฟนตาซีหลอกตัวเองว่า  เหยื่อข่มขืนจะหันมารัก abuser  อย่างหมดใจ



ในบางประเทศ   รัฐบาลได้จัดสรรโพรแกรมการบำบัดสำหรับอาชญากรทางเพศโดยเฉพาะในระหว่างที่ถูกคุมขังในเรือนจำ  ด้วยจุดมุ่งหมายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันเป็นอันตรายต่อสังคม  และมีการติดตามคุมประพฤติเมื่อนักโทษได้รับการปล่อยตัว   แต่สำหรับผู้ที่กระทำความผิดร้ายแรง  (ข่มขืนแล้วฆ่า หรือ ทำอนาจารเด็ก)  ศาลจะพิจารณาโทษหนัก  อาชญากรที่เป็น serial rapist บางรายจะถูกสั่งจำคุกตลอดชีวิต โดยกำหนดให้ต้องชดใช้ความผิดอย่างต่ำ 30 ปีโดยไม่ลดหย่อนโทษปล่อยตัวก่อนกำหนด      



คำเตือน มี การspoil เนื้อหาซีรีส์


อเมริกา  -  Unbelievable


ตีแผ่การทำงานผิดพลาดของตำรวจที่กล่าวหาว่าเหยื่อเป็นสาวลวงโลก



ในอีกฝั่งหนึ่งของโลก การตีแผ่ความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายไม่ใช่เรื่องต้องห้าม มีการสร้างหนังและซีรีส์จากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาแล้วหลายครั้ง รวมไปถึงเค้าโครงเหตุการณ์ความจริง ที่ถูกนำมาปรับแต่งเป็นซีรีส์ Unbelievable แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่ก็ใช้ข้อเท็จจริงหลายจุดโดยมีข้อมูลจากเหยื่อตัวจริง

ซีรีส์ได้เล่าถึง Marie Adler* เด็กสาววัยรุ่นที่แจ้งความว่าถูกคนร้ายบุกเข้าไปในบ้านแล้วข่มขืนเธอ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้วิเคราะห์ถึงคำให้การและหลักฐานต่างๆแล้วเชื่อว่ามันดูขัดแย้งกันเกินไป จึงตั้งข้อหา Marie ว่ามีความผิดฐานแจ้งความเท็จ  เพราะถูกกดดันอย่างหนักเธอจึงยินยอมจ่ายค่าปรับเพื่อยอมรับว่าตัวเองโกหกจริงๆ

แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ เธอไม่ได้โป้ปดแต่อย่างใด

สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างจากการถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมให้ Marie จมลงไปในห้วงแห่งความทุกข์ลึกลงกว่าเดิม เมื่อถูกย่ำยีจนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากตำรวจก็สร้างความทุกข์แสนสาหัสแล้ว แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ยัดเยียดให้เป็นผู้กระทำผิด บีบคั้นให้เธอไร้ทนทาง เราไม่สามารถบรรบายได้เลยว่าเธอจะต้องเจ็บปวดสักเท่าใด

* เหยื่อตัวจริงไม่ได้มีชื่อสกุลนี้

หากต้องเจอกับสถานการณ์เดียวกัน  บางคนอาจไม่แน่ใจว่า จะพยายากเริ่มต้นใหม่ได้อย่างใด   หลังจากที่ต้องพบกับสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต  เธอถูกคนร้ายเอาจี้มีดจี้ ปิดตา มัด นาทีแห่งความเป็นความตายอาจตามหลอกหลอนให้หวาดกลัวไปตลอดชีวิต   เมื่อหวังพึ่งพากระบวนทางกฎหมายเพื่อนำตัวคนร้ายมาลงโทษ   สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือ  เหยื่อที่ต้องกลายมาเป็นผู้ต้องหาเสียเอง  แม้แต่แม่อุปถัมป์ก็ยังไม่เชื่อถือในคำพูดของเธอด้วยซ้ำ

Marie ยังมีโชคอยู่บ้างเมื่อตำรวจหญิงที่ตามแกะรอยคนร้ายคดีข่มขืนได้สังเกตถึงความเชื่อมโยงกับคดีอื่นๆ ในที่สุดพวกเค้าก็พบหลักฐานที่ใช้มัดตัวคนร้ายได้แน่นหนา และยังพบหลักฐานที่ยืนยันความบริสุทธิ์ให้กับ Marie อย่างแจ่มแจ้งที่สุด เธอหาใช่จอมลวงโลก ความผิดพลาดของตำรวจผู้สอบสวนเมื่อแจ้งความนั้นแทบทำให้เธอแตกสลายและอาจจะไม่กอบกู้ตัวตนเดิมกลับมาได้อีก เมื่อมีโอกาสพิสูจน์ความจริงว่านี่คือความผิดพลาดอันร้ายแรงของตำรวจ Marie ก็เดินหน้าห้องร้องเรียกค่าเสียหาย และทำข้อตกลงว่า ฝั่งสถานีตำรวจต้องชดเชยให้เธอจำนวน $150,000     ซึ่ง Marie ในชีวิตจริงได้บรรยายไว้ว่า เจ้าหน้าที่บีบบังคับให้เธอยอมรับว่าไม่มีเรื่องข่มขืนเกิดขึ้น และยังขู่ว่าจะโยนเธอออกไปจากสถานีตำรวจหากเธอยังยืนกรานว่าถูกข่มขืนจริงๆ






ขอยืนยันอีกครั้งว่า เรื่องข่มขืนไม่ควรนำมาผูกร้อยเรียงกับพล็อทความรักโรแมนติคที่ยังวนเวียนไม่จางหายไปจากวงการละครไทย เพราะนี่คือปัญหาที่ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ถึงแม้ว้าจะเป็นประเด็นเปราะบางที่หมิ่นเหม่ในความรู้สึกของหลายคน แต่การแสดงภาพที่สมจริงเพื่อชี้ให้เห็นถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงเมื่อเหยื่อถูกล่วงละเมิด รวมไปถึงการระดมหาแนวทางเพื่อป้องกันปัญหา  ย่อมมีประโยชน์ต่อผู้ชมมากว่าการมอมเมามายาคติที่ขัดแย้งความรู้สึกเช่นนี้


The End

Discussion (9)

ผู้หญิงคนนึงตื่นมากลางดึกด้วยอาการตกใจสุดขีด มีชายแปลกหน้าสวมหมวกคลุมหน้า บุกเข้ามาในห้องนอนที่เธอกำลังนอนอยู่ ชายคนดังกล่าวจับเธอมัดมือมัดขา เอามีดนาบหน้าเธอไว้ก่อนที่จะข่มขืนเธอแล้วจากไป ทิ้งเธอไว้ให้แก้มัดตัวเองอย่างลนลาน ก่อนจากไปชายคนดังกล่าวยังขู่ไม่ให้เธอแจ้งตำรวจ ไม่งั้นมันจะกลับมาฆ่าเธอทิ้ง ผู้หญิงคนดังกล่าวพยายามแก้มัดตัวเองและโทรขอความช่วยเหลือ ไม่นานนัก ตำรวจมาที่อพาร์ทเม้นท์ของเธอ เพื่อรับเรื่องและสอบสวนอาชญากรรมดังกล่าว ผู้หญิงคนนั้นนั่งรอตำรวจอยู่บนพื้นสนามหญ้าหน้าตึก apartment อย่างสั่นเทา ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ไม่ถึงเดือนหลังจากนั้น ผู้หญิงคนดังกล่าวถูกนำตัวขึ้นศาล ตำรวจแจ้งข้อหาเธอว่าให้การเท็จ และเธอโกหกว่าถูกข่มขืน เธอยอมรับและยินยอมจ่ายค่าธรรมเนียมศาลเพื่อให้เรื่องมันจบ 3 ผู้หญิงคนนั้นคือ Marie Adler เธอมีอายุเพียงแค่ 18 ปี ทำไม Marie Adler ถึงยอมรับว่าตัวเองโกหก? ทำไมตำรวจถึงเอาเรื่องเธอถึงขนาดส่งเรื่องฟ้องศาล? และเพราะเหตุใดความจริงจึงเปิดเผย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับต้องออกมาขอโทษ Marie? **คำเตือน เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงและการประทุษร้ายทางเพศ **คำเตือน 2 ยาวมากกกกกก ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา จะแบ่งเป็น 2 post เพราะ FB ชอบทำร้ายเรา และใน serie “The Story of Rape” มีอีก EP นะคะ อย่าสับสน **ภาพบางส่วนนำมาจากซีรี่เรื่อง “Unbelievable” ที่สร้างและอิงมาจากเรื่องจริง >>เรื่องที่เรากำลังจะเขียนนี่แหละ ***************************************************** ? Marie Adler กับจุดเริ่มต้นในชีวิตที่น่าสงสาร จุดเริ่มต้นในชีวิตของ Marie นั้นไม่ค่อยดีมากนัก Marie มีพี่น้องหลายคน ตั้งแต่จำความได้ Marie ก็ไม่ได้รับรู้ถึงความสุขในวัยเด็กมากนัก เธอจำได้ว่า เคยพบพ่อบังเกิดเกล้าแค่หนเดียว แม่ของ Marie ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ Marie จำอะไรเกี่ยวกับแม่ตัวเองได้ไม่มากนัก และแม่ก็ชอบทิ้ง Marie ให้แฟนใหม่เป็นคนเลี้ยงบ่อยๆ และฝันร้ายของ Marie เริ่มขึ้นเมื่อเธอถูกแฟนใหม่ของแม่ล่วงละเมิดทางเพศในตอนที่ Marie มีอายุได้เพียงแค่ 7 ขวบ Marie จำได้ว่าตัวเองถูกทิ้งให้หิวจนต้องถึงกับกินอาหารสุนัข ในช่วงวัยเด็กของ Marie นั้น Marie ย้ายไปย้ายมาระหว่างบ้านอุปถัมป์ หรือ Foster Home บ่อยมาก บางครั้งก็ได้อยู่ในบ้านเดียวกับน้องๆ บางครั้งก็ถูกแยก Marie ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเธอต้องย้ายบ้าน ไม่มีคำอธิบายให้ Marie **Foster Home จะเป็นเหมือนบ้านชั่วคราว คนที่รับเลี้ยงดูแลจะเป็นเหมือนผู้ปกครอง (ไม่ได้เป็นตามกฎหมายแต่มีหน้าที่ดูแลเหมือนพ่อแม่) หากต้องการและมีคุณสมบัติพอ จะขอทำการ adopt เด็กหรือผู้เยาว์ที่ตัวเองอุปถัมป์อยู่ก็ได้ การเป็น Foster Parents ไม่ใช่อยู่ดีๆจะเป็นได้ ต้องทำการขอใบอนุญาตจากรัฐก่อนค่ะ ตอนที่ Marie กำลังจะเริ่มเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย ครอบครัวที่อุปถัมป์ Marie ทำเรื่องขอรับเลี้ยง Marie เป็นลูก Marie ดีใจมาก เพราะเธอชอบครอบครัวนี้มาก และโรงเรียนที่กำลังเข้าเรียนก็ดูจะเป็นโรงเรียนที่เหมาะกับ Marie เธอถึงกับมีเพื่อนใหม่ด้วยนะ แต่ความสุขอยู่กับ Marie ได้ไม่นาน ในวันแรกที่ Marie ไปโรงเรียน ที่ปรึกษาของ Marie ไปแจ้ง Marie ที่โรงเรียนว่าครอบครัวอุปถัมป์ดังกล่าวถูกถอนใบอนุญาต และนอกจากจะรับเลี้ยง Marie ไม่ได้แล้ว Marie ยังต้องย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าวทันที “พวกเขาบอกฉันว่า ฉันมีเวลาแค่ 20 นาทีในการเก็บของ” และเหมือนเดิม ไม่มีใครอธิบายกับ Marie ว่าเกิดอะไรขึ้น Marie นั้นได้แต่ร้องไห้คนเดียว เมื่อถูกย้ายออกจากบ้านอุปถัมป์อย่างฉุกเฉิน ทำให้รัฐยังไม่สามารถจัดหาครอบครัวได้ Marie ต้องไปอยู่กับบ้านของ “Shannon” แม่อุปถัมป์กับสามีของ Shannon เป็นการชั่วคราว ครอบครัวของ Shannon อาศัยอยู่แถบชานเมือง Seattle และ Marie กับ Shannon ก็เข้ากันได้ดี เพราะนิสัยของทั้งสองคน Marie นั้นถึงแม้จะมีอดีตที่แย่มาก แต่ Marie ไม่เคยโทษอดีตเลย เธอยังคงติดต่อกับครอบครัวอุปถัมป์ทุกครอบครัวที่เคยอยู่ด้วย และเป็นเด็กวัยรุ่นที่ทำตามกฎของบ้านเป็นอย่างดี ถึงแม้จะเอ็นดู Marie ขนาดไหน Shannon กับ สามีก็ไม่สามารถรับเลี้ยง Marie ได้ เพราะที่บ้านของ Shannon นั้น ยังมีลูกอุปถัมป์อีกหนึ่งคนที่ต้องการการดูแลและเวลาจากทั้ง Shannon และสามีมากเกินกว่าที่ทั้งสองจะดูแล Marie ได้เต็มที่ ไม่กี่อาทิตย์ต่อมา Marie จึงย้ายไปอยู่กับ Peggy Cunningham แม่อุปถัมป์คนใหม่ Peggy ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กๆใน homeless shelter และเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่อง mental health เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นก็ตาม Marie เป็นเด็กคนแรกที่ Peggy ทำการอุปถัมป์ 1 ในตอนแรก Marie ไม่อยากอยู่ที่บ้านของ Peggy เลย เพราะก่อนหน้านี้ Marie ชินที่จะอยู่ร่วมบ้านกับเด็กคนอื่น และในบ้านของ Peggy มี Marie แค่คนเดียว บุคลิกภาพของทั้งสองคนก็ดูจะเข้ากันไม่ค่อยได้มากเท่าไหร่ ไม่เหมือนตอนที่อยู่ที่บ้านของ Shannon แต่อย่างไรก็ตาม Marie ก็ดูร่าเริง เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบออกไปข้างนอก อยากมีเพื่อน ทำกิจกรรมต่างๆเหมือนเด็กสาววัยรุ่นในยุคนั้น (ขนาด Peggy อ่านแฟ้มเคสประวัติของ Marie ที่เจ้าหน้าที่ยกมาให้เป็นตั้งๆยังแปลกใจที่ Marie นั้นมีสุขภาพจิตที่ดีขนาดนี้) ถึงแม้จะย้ายมาอยู่กับ Peggy แต่ Marie ยังคงติดต่อและไปมาหาสู่บ้านของ Shannon บ่อยๆ จนทำให้ Shannon และ Peggy สนิทกันไปด้วยในระดับหนึ่ง ทั้งสองคนถึงกับเคยพูดติดตลกว่าทั้ง Shannon กับ Peggy นี่แหละเป็นคนช่วยกันเลี้ยง Marie ชีวิตในช่วงวัย 16-17 ปี ของ Marie ไม่ได้แย่มากนัก ในช่วงนึง Marie พบกับ Jordan เด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จน Jordan กลายมาเป็นแฟนของ Marie ในที่สุด (ถึงแม้จะเลิกกันหลังจากนั้นไม่นาน แต่ทั้งสองคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่) Marie ถึงกับมีเพื่อนสนิทจากโรงเรียนที่มักจะสอน Marie เกี่ยวกับการถ่ายภาพ และทั้งสองชอบออกไปเดินเล่นและถ่ายรูปกันที่ชายหาด Marie จำได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวนั้น Marie มีความสุขมาก เหมือนตัวเองได้เป็นวัยรุ่น และใช้เวลาเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปจริงๆ ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 2008 Marie มีอายุ 18 ปีพอดี ซึ่ง Marie มีตัวเลือกที่จะอยู่กับ Peggy ต่อไปก็ได้ แต่ Marie เลือกที่จะย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเอง และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของใครอีก Peggy นั้นเข้าใจและยังช่วยเหลือ Marie โดยการ research หาข้อมูลต่างๆ จนไปเจอกับ “Project Ladder” องค์กรที่ช่วยเหลือคนหนุ่มสาว ที่เคยอยู่ภายใต้ระบบ foster care มาตลอด ให้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง **Project Ladder จะสอนทักษะการใช้ชีวิตต่างๆ เช่นการไปซื้อของชำ การใช้บัตรเครดิต การเก็บออม หรือแม้แต่การเลือกซื้อรถ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ให้คิดดูว่าคนที่เติบโตมา ไม่มีใครมานั่งพร่ำสอนเรื่องทักษะการใช้ชีวิต พออายุ 18 ต้องออกมาอยู่เองข้างนอก เพราะถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมาย มันคงดีไม่น้อยที่มีคนให้ปรึกษา และพูดคุยถามเรื่องพวกนี้ด้วย นอกจากจะให้คำปรึกษาแล้ว Project Ladder ยังสนับสนุนคนที่มีคุณสมบัติมากพอ ให้สามารถอยู่อาศัยในอพาร์ทเม้นท์เอื้ออาทรของโครงการได้โดยแต่ละคนจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้อง apartment ที่มีขนาด 1 ห้องนอน ซึ่ง Marie โชคดีที่มีห้องว่างพอดี เธอจึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ใน Alderbrooke Apartment แถบเมือง Lynwood พร้อมกับเริ่มงานแรกไปด้วย Marie ทำงานเป็นคนแจก sample อาหารในห้าง Costco เธอตื่นเต้นที่จะทำงานนี้และไม่มายด์ที่ตัวเองจะต้องยื่นคุยและยื่น sample ให้กับลูกค้าเป็นเวลา 6 ชั่วโมงต่อวัน Marie ชอบคุยกับผู้คน และนี่เป็นความอิสระแรกที่ Marie ได้รับ ดูท่าแล้ว ชีวิต Marie จะไปได้สวยเลยทีเดียว ….จนถึงค่ำคืนนึงในวันที่ 11 สิงหาคม ปี 2008 ไม่กี่เดือนหลังจากที่ Marie ย้ายออกมาอยู่คนเดียว ***************************************************** ❗️เกิดอะไรขึ้น?: 1 เช้าวันที่ 11 สิงหาคม ปี 2008 ตำรวจและเจ้าหน้าที่ถูกโทรเรียกตามตัวให้มาที่ Alderbrooke Apartment ตอนที่ตำรวจมาถึง Marie นั่งรอตำรวจอยู่หน้า Apartment โดยมี Peggy กับ คนดูแลเคสของ Marie จาก Project Ladder คอยอยู่เป็นเพื่อน Marie เล่าให้ตำรวจฟังว่า ในคืนก่อนหน้านี้ Marie นอนคุยโทรศัพท์กับ Jordan ก่อนที่จะหลับไป และตื่นขึ้นมาเพราะมีชายแปลกหน้าเข้ามาในห้องพร้อมกับเอามีดมาขู่เธอไว้ ชายแปลกหน้าคนดังกล่าว มัดมือ มัดขาเธอไว้ เอาผ้าอุดปากเธอ เอาผ้าปิดตา และลงมือข่มขืน Marie Marie คิดว่าชายคนร้ายนั้นสวมถุงยางแต่ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก นอกจากว่าชายคนดังกล่าวเป็นชายผิวขาวและสวมเสื้อ sweater สีเทา Marie ยังบอกตำรวจอีกด้วยว่า หลังจากที่ถูกทำร้าย Marie รอจนชายคนร้ายจากไปแล้ว เมื่อมั่นใจจึงพยายามเอาเท้าเปิดตู้ลิ้นชักล่างสุดเอากรรไกรออกมาพยายามตัดเชือกที่ผูกมือ ผูกเท้าตัวเองอยู่ แล้วโทรหา Jordan เมื่อ Jordan ไม่รับสาย Marie โทรหา Peggy และเพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นบน เพื่อนบ้านคนดังกล่าวเป็นคนเดินลงมาหา Marie และโทรแจ้งตำรวจ ตำรวจส่งตัว Marie ไปตรวจร่างกายที่โรงพยายาล เจ้าหน้าที่ Mason และ Rittgarn เป็นคนรับผิดชอบคดีของ Marie ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมกับสุนัข K-9 และเริ่มตรวจสอบทั้งใน apartment และรอบๆตึก ในห้องของ Marie ตำรวจพบกับประตูบานเลื่อนที่ไม่ได้ล็อกและเลื่อนออกเล็กน้อย มีรอยรองเท้าอยู่ตรงระเบียงที่ปีนเข้าไปทางประตูห้องของ Marie ในห้องของ Marie มีเชือกรองเท้าถูกวางทิ้งอยู่ เชือกดังกล่าวเป็นเชือกที่มาจากรองเท้าของ Marie และเป็นเชือกที่คนร้ายนำมามัด Marie นั้นเอง (ยังมีเชือกอีกเส้นที่ผูกเข้าไปกับกางเกงใน ใช้เอาไว้อุดปาก Marie) บนเตียงมี กระเป๋าสตางค์ของ Marie วางอยู่ แล้วไม่รู้ทำไม ใบอนุญาตเรียนขับรถ (learner Permit) ของ Marie ถึงไปอยู่บนขอบหน้าต่าง ผลการตรวจร่างกายของ Marie พบว่าเธอมีรอยฟกช้ำที่ข้อมือทั้งสองข้างและบางส่วนที่อวัยเพศ แต่สภาพจิตใจของ Marie นั้นดูปรกติดี เธอดูตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย และพูดจารู้เรื่อง หลังจากที่ได้รับยาทั้งหลายแหล่ที่ให้กับเหยื่อที่โดนข่มขืนแล้ว Marie ก็ถูกปล่อยตัวให้กลับบ้านได้ 1 ***************************************************** ?แล้วทำไมเรื่องมันดูแปลก? Shannon: หลังจากที่ Marie ถูกปล่อยตัวกลับบ้านจากโรงพยาบาล Marie โทรหา Shannon ซึ่ง Shannon นั้นถึงจะตกใจ แต่ก็แปลกใจมากกว่า Marie โทรมาบอกเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความตื่นกลัว หรือร้องไห้ใดๆเลย แถมวันรุ่งขึ้นเมื่อ Shannon มาหา Marie ที่ห้องเพื่อพาไปซื้อผ้าปูเตียงใหม่ Marie ยังอยากได้ผ้าปูเตียงแบบเดิมที่ตำรวจเอาไปเก็บเป็นหนึ่งในหลักฐาน (แถมยังออกอาการโมโหเมื่อหาผ้าปูแบบเดียวกันไม่เจอ) ใครจะไปอยากได้ผ้าปูแบบเดิม บนเตียงที่เกิดเหตุร้ายกันเล่า??? นอกจากนี้แล้ว Marie ยังดูไม่เหมือนคนที่พึ่งผ่าน trauma มา Marie ยิ้ม หัวเราะ และเล่นกลิ้งตัวไปบนหญ้า เหมือนเมื่อวานนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย Peggy: Marie โทรหา Peggy ทันทีหลังจากที่เกิดเรื่อง เสียงของ Marie นั้นเล็กแหลม และเธอร้องไห้จน Peggy นั้นฟังแทบจะไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนแรก พอไปถึงที่ห้องของ Marie นั้น Peggy เห็น Marie นั้งร้องไห้อยู่บนพื้นห้องและพยายามเล่าเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Marie แต่มันดูเหมือนเรื่องที่ Marie เล่า และวิธีที่ Marie เล่านั้น มันเหมือนหนังในทีวียังไงยังงั้นเลย พูดง่ายๆเลยคือ Peggy สงสัย 1 สงสัยอะไร? สงสัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นความจริง และ Marie กุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธอและคนรอบข้าง อาทิตย์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง Marie ไปปิกนิกที่สวนสาธารณะกับ Peggy แฟนของ Peggy และลูกอุปถัมป์สามคนของ Peggy (หลังจาก Marie ย้ายออกไป Peggy ก็รับอุปถัมป์เด็กเพิ่ม) และมันดูเหมือนว่า Marie พยายามจะเรียกร้องความสนใจเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจ Mason และ Rittgarn: ไม่เพียงแค่ Shannon กับ Peggy เท่านั้นที่สงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่สืบสวนคดีของ Marie ทั้งสองคน เริ่มข้องใจในเรื่องราวของ Marie ? เรื่องของ Marie ไม่สอดคล้องกัน หลังจากเกิดเหตุหนึ่งวัน Marie มาที่สถานีตำรวจเพื่อเขียนคำให้การ คำให้การของ Marie มีความยาวแค่เพียงหนึ่งหน้ากระดาษ (แล้วจะให้ยาวไปถึงไหน??? ไม่ได้เขียนสมุดคำตอบส่งข้อสอบนะ) ในคำให้การ Marie บอกว่าหลังจากที่คนร้ายไปแล้ว เธอหยิบโทรศัพท์มาพยายามโทรหา Jordan เมื่อโทรหา Jordan ไม่ติด จึงพยายามโทรหา Peggy และเพื่อนบ้าน แต่ในวันที่เกิดเหตุ Marie ให้การว่าเธอตัดเชือกที่มัดมือมัดขาตัวเองออกก่อน แล้วจึงพยายามโทรขอความช่วยเหลือ ? ตำรวจไปคุยกับ Jordan ในวันถัดมา Jordan ไม่ได้พูดกับตำรวจว่า ตัวเองนั้นสงสัย Marie แต่ Marie บอกกับเขาว่าในวันที่เกิดเหตุ Marie พยายามโทรหา Jordan โดยใช้นิ้วเท้ากด (ซึ่งไม่ตรงกับคำให้การที่บอกกับตำรวจไว้ถึงสองครั้ง) ? หนึ่งวันหลังจากที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ Mason ได้รับโทรศัพท์นิรนาม เพื่อแจ้งว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับ Marie อาจจะเป็นการสร้างสถานการณ์และไม่ได้เกิดขึ้นจริง Marie อาจจะกุเรื่องขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจ และก่อนหน้านี้ Marie บ่นว่าไม่ค่อยพอใจกับ apartment ห้องดังกล่าวเท่าไหร่และอยากย้ายออก ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า Marie เลยกุเรื่องขึ้น …..คนที่โทรไปให้เบาะแสกับตำรวจ คือ Peggy นั้นเองค่ะ **Peggy ให้เหตุผลว่า เธอไม่อยากให้ตำรวจเสียเวลาไปกับการสืบสวนอะไรที่ไม่เกิดขึ้นจริง และไม่อยากให้การโกหกดังกล่าวกลับมาทำร้าย Marie ในภายหลัง (โหหหหห ป้าาา อะไรเนี่ย) ***************************************************** ?เพราะอะไรฉันถึงต้องเจ็บปวด? เมื่อดูจากรูปการณ์และคำให้การที่ขัดกันไปมาของ Marie นักสืบทั้งสองเชิญตัว Marie มาให้ปากคำอีกทีที่สถานีตำรวจ สามวันหลังจากเกิดเหตุกับ Marie พอ Marie มาถึงที่สถานีตำรวจ นายตำรวจทั้งสองแจ้งกับ Marie ว่า เรื่องของเธอดูขัดแย้งกันไปมา และไม่ตรงกัน Marie เล่าเรื่องให้กับนายตำรวจทั้งสองฟังอีกครั้ง หากแต่ในครั้งนี้ Marie ดันพูดว่า เธอ “เชื่อ” ว่า เธอถูกข่มขืน แทนที่จะบอกว่าเธอถูกข่มขืนจริงๆ เมื่อถูกเค้นสอบปากคำหนักเข้าๆ Marie น้ำตาไหลและพูดเกี่ยวกับเรื่องอดีตของตัวเอง เรื่องที่ต้องย้ายบ้านอุปถัมป์หลายครั้ง และแม้แต่ตอนที่ถูกข่มขืนเมื่อมีอายุเพียงแค่ 7 ขวบ นายตำรวจบอกกับ Marie ว่า พวกเขาไม่เชื่อว่า Marie ถูกข่มขืนจริงๆ เพราะหลักฐานกับคำให้การของ Marie นั้นไม่ตรงกัน คราวนี้บอกมาตรงๆเลยดีกว่า ว่ามีคนร้ายจริงๆที่เราต้องไปตามจับหรือไม่???? “No” Marie ตอบ เสียงแผ่วเบา และก้มหน้าหลบสายตาคนทั้งสอง ทั้งๆที่ไม่ได้อ่านสิทธิของผู้ต้องหาให้กับ Marie ฟัง (เคยได้ยินในหนังไหมคะ ที่แบบ you have the right to remain silent…. อะไรประมาณนั้น เดี๋ยวคราวหน้ามาเขียนเรื่องเกี่ยวกับ Miranda’s right ให้อ่านนะคะ) เจ้าหน้าที่ให้ Marie เขียนคำสารภาพ ยอมรับว่าตัวเองโกหก (ง่ายๆเลยคือให้ยอมรับว่าให้การเท็จนั้นเองค่ะ) แล้วทิ้ง Marie ไว้กับฟอร์มใบนึง Marie เขียนชื่อ ที่อยู่ รายละเอียดตัวเอง ก่อนที่จะเขียน statement “I was talking to Jordan on the phone that night about his day and just about anything. After I got off the phone with him, I started thinking about all things I was stressed out and I also was scared living on my own. When I went to sleep I dreamed that someone broke in and raped me.” 1 ง่ายๆเลยคือ Marie คิดว่าตัวเองหลับแล้วฝันไปว่ามีคนเข้ามาข่มขืนตัวเอง แต่มันยังไม่ดีพอ เมื่อนายตำรวจเอาคำให้การมาอ่าน พวกเขาเห็นว่า Marie บรรยายถึงความฝันตัวเอง แบบนี้ก็ไม่ได้สิ!!! ทำไมไม่เขียนว่าตัวเองโกหก และให้การเท็จ??? Marie นั่งร้องไห้ เธอเชื่อว่าตัวเองถูกข่มขืนจริงๆ (อีกรอบ) แต่ตำรวจก็เค้นอีกว่าเชื่อ หรืออยากจะเชื่อว่าโดนข่มขืน??? ในที่สุด Marie หลับตาลง เธอถอนหายใจ กล่าวคำขอโทษกับตำรวจ ก่อนจะเขียนคำให้การใหม่ “I have had a lot of stressful things going on and I wanted to hang out with someone and no one was able to so I made up this story and didn’t expect it to go as far as it did. … I don’t know why I couldn’t have done something different. This was never meant to happen.” มันจบลงแล้ว Marie คิด เธอแค่อยากให้มันจบๆลงสะที เธอจะได้กลับบ้าน ออกจากห้องนี้ไป และไม่ต้องตอบคำถามซ้ำไปซ้ำมา วันรุ่งขึ้น Marie กลับมาที่ อพาร์ทเม้นท์และเจอเข้ากับ Wayne คนที่เป็นคนดูแลเคสของ Marie ที่ Project Ladder หลังจากคุยกับ Wayne เสร็จ Marie พึ่งเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป (ยอมรับว่าให้การเท็จนั้นแหละค่ะ) จน Marie อยากคุยกับทนาย Wayne กับเจ้าหน้าที่จาก Project Ladder อีกคนพา Marie กลับไปที่สถานีตำรวจเพื่อถอนคำให้การที่พึ่งยื่นไปเมื่อวาน Marie กลับเข้ามาพบกับตำรวจทั้งสองคนอีกครั้งเพื่อยินยันว่าเธอถูกข่มขืนจริงๆ Marie ร้องไห้และขอตำรวจว่าให้พาเธอเข้าเครื่องจับเท็จเลย เธออยากพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้โกหก นายตำรวจ Mason บอกเธอว่า หากเข้าเครื่องจับเท็จแล้วเธอไม่ผ่าน ตำรวจจะจับเธอเข้าคุก และนอกจากนั้นแล้ว เขายังจะไปบอกกับ Project Ladder ให้ถอนสิทธิการเข้าพักใน apartment เอื้ออาทรของเธออีกด้วย Marie เดินออกมาจากห้องสอบสวน และมีนายตำรวจเดินตามมาส่งเธอ เมื่อ Wayne กับเจ้าหน้าที่จาก Project Ladder อีกคนถามเธอว่าสรุปแล้วเธอโดนข่มขืนจริงๆหรือไม่ Marie ตอบสั้นๆว่า “NO” 2 **จากข้างบนนี้มันมี error ในขั้นตอนและกระบวนการหลายอย่าง จริงๆแล้วตำรวจไม่ควรขู่ใครว่า จะจับขังคุก หรือจะไปบอกให้คนอื่นให้หรือไม่ให้สิทธิได้ ไม่ควรพูดแบบนี้ออกมาเลย แต่ดูเหมือนแค่นั้นยังไม่พอ เมื่อยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่กุขึ้น Marie ยังต้องขอโทษคนอื่นเพิ่มเติม คนเหล่านั้น (ใช่แล้ว พหูพจน์) คือคนทั้งตึกที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่ Marie อาศัยอยู่ Marie ต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่ Project Ladder เกณฑ์คนทั้งตึกมานั่งเป็นวงกลมเพื่อมานั่งฟังเรื่องของ Marie จุดประสงค์นะเหรอ? เพื่อที่ทุกคนจะได้เชื่อมั่นว่าตึกนี้มีความปลอดภัย ไม่มีใครถูกข่มขืนหรอก เลิกกลัวและหวาดวิตกกันไปได้แล้ว “เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่ฉันกุขึ้น” “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกลัวกันไปหรอกนะ” หลังจากนั้น Marie เดินล่องลอยไปตามถนนหนทาง เธอเดินผ่านสะพาน และเป็นครั้งแรกที่เธออยากโดดลงไปเพื่อฆ่าตัวตาย และเพื่อให้ทุกอย่างมันจบๆไปสักที แต่ Marie ก็ตัดสินใจไม่ทำ ในตอนที่เธอคิดว่าเรื่องมันจบไปแล้ว เธอเดินไปข้างหน้าทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แต่ กลายเป็นว่า Marie นั้นคิดผิด ? ปลายเดือนนั้นมีหมายศาลมาหา Marie ถึงที่บ้าน จากกรมตำรวจ Lynwood เจ้าหน้าที่แจ้งความข้อหาให้การเท็จกับ Marie และ Marie ต้องไปขึ้นศาลตามวันและเวลาที่กำหนด Marie ไปขึ้นศาล มีเพียงแค่ทนายที่แต่งตั้งโดยรัฐไปด้วยเท่านั้น ไม่มีเพื่อน ครอบครัว หรือคนรู้จักไปด้วย Marie ยอมรับข้อเสนอจากทางตำรวจว่า Marie จะเข้ารับการบำบัดทางจิตโดยแพทย์ ไม่ก่อเหตุอาชญากรรม เพื่อแลกกับการไม่ติดทัณฑ์บน และ Marie ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมศาล $500 **ปรกติแล้วตำรวจถึงแม้จะทำได้ แต่จะไม่มายื่นฟ้องอะไรหยุมหยิมเล็กๆน้อยๆแบบนี้นะคะ ดูจาก timeline แล้ว ไม่ได้เสียเวลาตำรวจอะไรขนาดนั้นด้วย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไปทำไม หลายๆคนที่ให้สัมภาษณ์ก็บอกไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในเคสนี้ตำรวจเลือกที่จะแจ้งข้อหา แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ Mason เขาแค่บอกว่า ก็เขามั่นใจว่า Marie โกหก และกฎหมายนั้นบอกว่าการให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่เป็นความผิดตามกฎหมาย เขาก็เลยส่งฟ้อง ทำตามกฎหมาย แค่นั้นแหละ (@$%$#^!!!!) ? หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเรื่องการโดนข่มขืนของ Marie เป็นเรื่องโกหก ถึงแม้จะไม่มีชื่อ Marie แต่คนที่รู้จักกับ Marie ก็รู้ว่าเป็นใคร ? หลังจากโดนข่มขืนไม่กี่วัน Marie ต้องลาออกจากงาน เธอไม่อาจทนยืนมอง หรือยืนพูดคุยกับคนได้อีกต่อไป เธอไม่กล้าออกไปข้างนอก และรู้สึกเหมือนตัวเองโดนตาม โดนจ้องมองตลอดเวลา ? เพื่อนสนิทของ Marie สมัยเรียนมัธยม คนที่สอน Marie ถ่ายภาพ สร้างเพจ Myspace ที่มีชื่อว่า “ Marie ขี้โกหก” พร้อมกับเอารูป Marie เอารายงานตำรวจ (ไม่รู้ไปเอามาได้ไง) และข่าวไปลง (น่าตบมากกกกกกกก) ? Project Ladder ยื่นคำขาดกำหนด curfew ให้ Marie เพื่อให้กลับมายัง apartment ภายใน สามทุ่มของทุกวัน และต้องเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ขององค์กรบ่อยขึ้นกว่าเดิม ? Shannon กับ Peggy นั้นไม่ได้ทอดทิ้ง Marie เลยสะทีเดียว แต่อะไรก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป Marie รู้ว่า Shannon กับ Peggy ไม่ได้เชื่อเธอ 100% ตั้งแต่ก่อนที่ตำรวจจะสอบปากคำเธอแล้ว นอกจากนี้แล้ว Shannon ยังต้องบอกข่าวร้ายกับ Marie ก่อนหน้านี้ Marie มักจะมาหา Shannon ที่บ้านบ่อยๆ ทั้งคู่จะออกไปเดินในป่าหลังบ้านด้วยกัน ไปล่องเรือด้วยกัน และบางครั้ง Marie จะนอนค้างที่บ้าน Shannon แต่หลังจากที่เกิดเรื่อง สามีของ Shannon ไม่อยากเสี่ยงถูกเข้าไปพัวพันกับข้อก้าวหาที่ Marie “อาจจะ” กุขึ้น เพราะฉะนั้นเป็นการดีกว่า หาก Marie จะไม่มานอนค้างที่บ้านอีก ซึ่งเมื่อ Shannon บอกกับ Marie ถึงความจำเป็นดังกล่าว มันทำให้ทั้ง Marie กับ Shannon ปวดใจมากเหลือเกิน ***************************************************** ?เรื่องมันไม่ได้จบแค่นี้หรอกนะ: ในวันที่ทุกคนสงสัย และมั่นใจว่า เรื่องของ Marie ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้นเอง มีรายงานข่าวว่ามีหญิงวัย 65 ที่อาศัยอยู่ในเมืองอีกเมืองชื่อว่าเมือง Kirkland อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักจากเมือง Lynwood หญิงคนดังกล่าวโดนคนร้ายบุกเข้าไปในบ้าน ใช้มีดขู่เธอและทำการข่มขืน คนร้ายสวมหน้ากากบังหน้า เอาเชือกรองเท้ามัดมือมัดขาเธอไว้ คนร้ายถ่ายรูปเหยื่อไว้ ก่อนจะขู่ว่าห้ามไปบอกใครหรือแจ้งตำรวจ ไม่งั้นจะเอารูปไปประจานทาง internet และสองสามเดือนที่ผ่านมา เหยื่อรู้สึกเหมือนมีใครตามจ้องดูเธออยู่ตลอดเวลา Shannon เห็นข่าวดังกล่าว แล้วคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับ Marie เอ๊ะ? หรือ Marie จะไม่ได้โกหกจริงๆ Shannon โตมากับครอบครัวที่มีพ่อเป็นตำรวจ เธอตัดสินใจโทรหาสถานีตำรวจใน Kirkland และขอให้ตำรวจช่วยติดต่อกับตำรวจในเขต Lynwood เพื่อดูว่าคนร้ายเป็นคนเดียวกันกับในเคสของ Marie หรือเปล่า และแนะนำให้ Marie โทรหาตำรวจ Kirkland เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ตำรวจใน Kirkland ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจใน Lynwood ก่อนจะได้รับการยืนยันจากตำรวจว่าเรื่องของ Marie เป็นเรื่องโกหก ทั้งเพ และ Marie ก็ยอมรับแล้วด้วย!!!! ตำรวจใน Kirkland เลยไม่ได้ตามสืบคดีของ Marie ต่อ ส่วนตัวของ Marie นะเหรอ? เธอกลัวค่ะ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา Marie กลัวตำรวจไปแล้ว ไม่มีใครเชื่อเธอหรอก ทุกคนบอกว่าเธอโกหก เธอไม่เอาอีกแล้ว และสุดท้าย Marie ก็ไม่ได้โทรหาตำรวจที่ Kirkland
แล้วมารู้ความจริงได้อย่างไรว่า Marie ไม่ได้โกหก?: เราขอให้ทุกคนลบเรื่องของ Marie ไปก่อนนะคะ เราจะเท้าความถึง “The Story of Rape” ของคนอื่น ก่อนจะย้อนกลับมาที่ เรื่องของ Marie ค่ะ ?เหยื่อรายที่ 1: Golden, Colorado วันที่ 11 มกราคม ปี 2011 นายตำรวจหญิง Stacy Galbraith เดินลัดเลาะไปยังทางเดินในตึก apartment แห่งนึงใน Colorado Stacy มาที่นี่เพื่อสืบสวนคดีที่ผู้หญิงคนนึงโดนข่มขืน เหยื่อยืนรอ Stacy อยู่ข้างล่าง มือของเหยื่อกุมกระเป๋าไว้แน่น เธอยืนอยู่ท่ามกลางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานที่เดินสวนกันไปมา พยายามเก็บหลักฐานจากที่เกิดเหตุ Stacy เชิญเหยื่อรายนี้ไปนั่งคุยกันในรถ เพื่อความเป็นส่วนตัว (ขอเรียกชื่อเหยื่อรายนี้ว่า Daisy) Daisy เล่าให้กับ Stacy ฟังว่า เธอเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยใกล้ๆนี้ เมื่อคืน เธอกำลังนอนดูหนังแบบมาราธอนก่อนจะหลับไป เวลาประมาณ 8 โมงเช้า อยู่ดีๆมีผู้ชายคนนึงกระโดดขึ้นมานั่งทับบนตัวเธอ ชายคนดังกล่าวสวมหน้ากาก และชักปืนออกมาขู่เธอไว้ “อย่าร้อง อย่าขัดขืน ไม่งั้นจะโดนยิงแน่” ชายคนร้ายมัดมือ Daisy ไว้ข้างหลัง ก่อนจะเปิดกระเป๋าใบใหญ่สีดำที่เอามาด้วย ในกระเป๋า ชายคนร้ายดึงถุงน่องสูงเหนือเข่า ส้นสูง น้ำยาหล่อลื่น ทิชชู่เปียก และขวดน้ำออกมา ก่อนจะลงมือข่มขืน Daisy เป็นเวลาติดต่อกันถึง 4 ชั่วโมง และระหว่างนี้ก็ถ่ายรูป Daisy ไปด้วยพร้อมกับขู่ว่าหาก Daisy ไปแจ้งตำรวจ เขาจะเอารูปเธอไปประจานลง internet (โห อิคนสารเลว) หลังเสร็จกิจ เขาบังคับให้ Daisy อาบน้ำ แปรงฟัน และจากไปพร้อมกับผ้าปูที่นอนของ Daisy Daisy จำได้อย่างเดียวว่าชายคนนั้นมีรอยปานขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่อยู่ที่ขา Stacy นั่งคุยกับ Daisy พร้อมกับเอา Cotton Swab มาปาดหน้าเธออย่างแผ่วเบาเพื่อหา DNA ที่อาจจะหลงเหลืออยู่ ก่อนจะขับรถพา Daisy ไปส่งที่โรงพยาบาล ก่อนที่ Daisy จะเดินจากไปพร้อมกับนางพยาบาล Daisy หันมาบอกกับ Stacy “I think he’s done this before.” Stacy วกกลับมายังที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานพบกับรอยเท้าที่ลัดเลาะมาจากเขตป่าใกล้ๆกับ apartment เมื่อเก็บหลักฐานไปแล้ว Stacy ได้แต่ครุ่นคิด ชายคนร้ายเป็นใคร และเธอจะตามจับเขาได้ยังไง?? 2 Stacy นั้นมักจะอาสาเป็นคนรับผิดชอบเคสคดีข่มขืนเอง ด้วยความที่เธอเป็นหนึ่งในตำรวจนักสืบหญิงเพียงไม่กี่คนในพื้นที่ และเธอยังเป็นแม่ เป็นภรรยา เธอจึงเข้าใจและมีความเห็นใจต่อผู้หญิงด้วยกันที่ผ่านเหตุการณ์อะไรแบบนี้ได้ดีกว่า เพราะเหยื่อส่วนมากนั้นเป็นผู้หญิง แต่ก็มิได้หมายความว่า Stacy จะเชื่อหมดทุกคน หรือเชื่อทุกเรื่องนะคะ ตามที่รู้กัน คดีข่มขืนนั้นเป็นหนึ่งในคดีที่ยากมากที่จะไขคดี เหตุเพราะบางทีมันมีเส้นบางๆระหว่าง “สมยอม” หรือ “ข่มขืน” และบางทีมันก็ยากที่จะพิสูจน์ หลักๆเลย Stacy จะเลือกที่จะรับฟังแล้วเอามาเทียบกับพยานหลักฐานที่ได้จากที่เกิดเหตุมากกว่า เมื่อกลับมาบ้าน Stacy พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานกับสามีตัวเอง ซึ่งเป็นตำรวจเหมือนกัน แต่ประจำอยู่อีกท้องที่นึง ส่วนมากแล้วสามีของ Stacy ก็จะชิน เพราะเป็นเรื่องอาชญากรรมเหมือนกับที่เขาได้ยิน ได้เห็นมาบ่อยๆ แต่คืนนี้มันต่างจากเดิม หลังจากฟังเรื่องของ Stacy เสร็จ สามีของ Stacy ขอให้ Stacy เข้าไปคุยกับตำรวจอีกคนที่รับผิดชอบคดีๆหนึ่งในท้องที่ของเขาเอง เพราะอะไรนะเหรอ?? เพราะเขาฟังแล้ว เหมือนกับว่าคดีที่เจ้าหน้าที่อีกรายรับผิดชอบอยู่นั้น มันช่างคล้ายกับคดีของ Stacy เหลือเกิน 3 ?เหยื่อรายที่ 2: Westminster, Colorado Stacy ส่งอีเมล์หาเพื่อนร่วมงานของสามีที่เป็นตำรวจผู้รับผิดชอบคดีและประจำอยู่ที่สถานีตำรวจ Westminster โดยส่งรายละเอียดเบื้องต้นให้พร้อมกับขอเข้าไปคุย 1 ตำรวจหญิง Edna Hendershot เป็นคนรับผิดชอบคดีดังกล่าว ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม ปี 2010 Edna เข้าไปสอบสวนคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในอพาร์ทเม้นท์แห่งนึง เหยื่อรายนี้เป็นหญิงสาวอายุ 59 ปี ที่พึ่งเสียสามีไปในปีก่อนหน้านี้ (ขอเรียกชื่อเธอว่า Laurie) Laurie เล่าให้ Edna ฟังว่า ขณะที่เธอกำลังนอนหลับอยู่ มีผู้ชายส่วมหน้ากากสีดำ กระโดดขึ้นมานั่งทับบนหลังของเธอ มัดมือเธอไว้ข้างหลัง ก่อนจะลงมือข่มขืนเธอ และใช้กล้อง Sony สีชมพูของ Laurie เองถ่ายรูปเธอไว้ เมื่อเสร็จกิจ ชายคนร้ายบังคับให้ Laurie อาบน้ำ โดยเอาที่จับเวลาจากในครัวมาวางไว้หน้าห้องน้ำ และกำชับให้ Laurie เดินออกมาได้หลังจากที่เครื่องจับเวลาดังขึ้นเท่านั้น 1 “I guess you won’t leave your windows open in the future,” ชายคนร้ายทิ้งท้ายก่อนจะหายตัวไป ?เหยื่อรายที่ 3: Aurora, Colorado ในตอนที่ Edna ไปสืบคดีของ Laurie นายตำรวจอีกนายที่อยู่ทีมเดียวกัน บอกกับ Edna ว่า คดีนี้ทำให้นึกถึงอีกคดีนึงที่เกิดขึ้นที่เมือง Aurora ในเดือนตุลาคม ปี 2009 (ขอเรียกชื่อเหยื่อว่า Sophie) โดย Sophie เหยื่อที่ถูกข่มขืนนั้นมีอายุ 65 ปีแล้ว คนร้ายโดดทับหลังเธอตอนที่เธอกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง คนร้ายใช้ผ้าพันคอปิดหน้าไว้ เขาใช้ริบบิ้นผูกมือของ Sophie ไว้ แล้วถ่ายรูปขณะทำร้าย Sophie ไว้ด้วย พร้อมกับขู่ว่าจะเอารูปพวกนั้นไปลง internet ประจาน หาก Sophie แจ้งตำรวจ ช่วงที่ชุลมุนกันอยู่นั้น คนร้ายเอามือปัดไปโดนตุ๊กตาหมีที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นถึงความคล้ายคลึงของคดีทั้งหลาย Edna,Stacy และ Scott (นายตำรวจสืบสวนจากเขต Aurora) นัดประชุมกันเพื่อแชร์ข้อมูลในคดี ถึงแม้ว่าส่วนมากแล้ว ตำรวจพยายามจะไม่ให้ข้อมูลของคดีรั่วไหลไปยังคนนอก แม้จะเป็นตำรวจด้วยกันเองก็ตาม แต่ในคดีนี้ตำรวจมั่นใจว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนคนเดียวกันแน่ๆ “Let’s do what we can do to catch him.” Stacy และ Edna เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาช่วยไขคดี Cr.https://www.propublica.org/.../false-rape-accusations-an... ***************************************************** ? ขบวนการสืบสวนสอบสวน: ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่จากสามหน่วยเข้าร่วมมือกันพยายามหาตัวคนร้าย แต่มันก็ไม่ง่ายเลย เหยื่อในเคสของ Stacy ที่มีชื่อว่า Daisy นั้นค่อนข้างจะคุมสติได้ดีในตอนที่ถูกทำร้าย นอกจากจะสังเกตเห็นปานดำของคนร้ายที่ขาแล้ว Daisy ยังเห็นด้วยว่าคนร้ายใช้กล้อง Sony สีชมพูถ่ายรูปเปลือยของเธอไว้ เจ้าหน้าที่เริ่มจากการพยายามจับตาดูรถที่ผ่านและเข้าออกแถวๆรอบๆ apartment ของ Daisy เหยื่อในเคสของ Stacy เจ้าหน้าที่จับตาดูรถมากกว่า 200 คัน เพื่อที่จะดูความเป็นไปได้ จนมาเจอกับรถกระบะสีขาวยี่ห้อ Mazda ที่ขับรถวน เข้าออกแถวๆ apartment มากกว่าสิบครั้งในวันที่เกิดเหตุ เป็นไปได้ไหมว่ารถคันนี้จะเป็นรถของคนร้าย? โชคไม่ดีของตำรวจที่ไม่สามารถตรวจดูทะเบียนรถใกล้ๆได้ ไม่ว่าตำรวจจะพยายามเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะเจอทางตันไปหมด จนกระทั่งหลายอาทิตย์ผ่านไป ปลายเดือนมกราคม ปี 2011 Edna ให้นักวิเคราะห์อาชญากรรมของเขต Westminster สแกนคดีที่มีลักษณะคล้ายๆกันในบริเวณเมืองใกล้เคียง จนนักวิเคราะห์อาชญากรรมไปเจอเข้ากับคดีนึงในเมืองที่มีชื่อว่า Lakewood ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Colorado มากนัก ?เหยื่อรายที่ 4: Lakewood, Colorado Edna ถูกตามตัวให้มาคุยรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำเมือง Lakewood ซึ่งในตอนแรก คดีนี้ไม่ถูกโยงกับคดีอื่นๆที่เกิดขึ้นตามเมืองที่ใกล้เคียง เพราะคดีนี้ถูกระบุเป็นคดี “บุกรุก” แทนที่จะเป็นคดีข่มขืน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันช่างคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน เดือนกรกฎาคม ปี 2010 หญิงสาววัย 46 ปี (ขอเรียกว่า Jenny) เจอเข้ากับชายแปลกหน้าที่บุกเข้ามาในบ้านของเธอ ชายคนร้ายสวมหน้ากากสีดำ และพยายามจะมัดข้อมือของ Jenny ไว้ แต่ในตอนที่คนร้ายเผลอ Jenny วิ่งออกมาจากเตียงแล้วกระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องนอน (Yassssssssss!!!!!) และถึงแม้จะซี่โครงหักถึงสามซี่ และปอดทะลุจากการโดดลงมาจากความสูง 7 ฟุต แต่ Jenny ก็หนีรอดออกมาได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและโชคดีที่คืนก่อนหน้านั้น ฝนตกอย่างหนักแถว Lakewood ในวันที่เกิดเหตุ ตำรวจจึงสามารถเก็บรอยเท้าที่อยู่แถบนอกหน้าต่างห้องนอนของ Jenny ได้เยอะ และตำรวจยังเจอลายที่เป็นเหมือนรังผึ้ง อยู่ตามขอบหน้าต่างอีกด้วย ที่น่าตื่นเต้นสำหรับตำรวจที่ตามสืบคดีคือ ลายรองเท้าที่อยู่นอกห้องของ Jenny ไปตรงกับรอยรองเท้าที่อยู่นอกห้องของ Daisy (Stacy จึงส่งรอยรองเท้านั้นไปตรวจหายี่ห้อและขนาดของรองเท้ากลายเป็นว่าคนร้ายสวมใส่รองเท้า Adidas ZX 700 ที่วางขายตั้งแต่ปี 2005) และรอยรังผึ้งที่อยู่ตามขอบหน้าต่าง ไปตรงกันกับพยานหลักฐานที่เจอเหมือนกันในคดีของ Laurie ที่ Edna ดูแลอยู่ และตำรวจเชื่อว่า รอยดังกล่าว มาจากรอยถุงมือออกกำลังกายยี่ห้อ Under Amour 1 ในตอนนี้ตำรวจสามารถเชื่อมต่อเหยื่อของคนร้ายในเขตชานเมืองของ Denver ได้แล้วสี่ราย ทั้ง Stacy และ Edna หันไปพึ่ง DNA เพื่อยืนยันว่าคนร้ายจากคดีทั้งหมดเป็นคนคนเดียวกัน และเขาเป็นใคร? แต่พูดก็ง่ายกว่าทำ แม้ว่าตำรวจจะเก็บหลักฐานทุกอย่างมาแล้ว แต่ดูเหมือนคนร้ายจะรู้วิธีทำลายหลักฐานที่เป็น DNA เป็นอย่างดี เขาใช้ทิชชู่เปียกทำความสะอาดของเหลวที่ออกมาจากร่างกาย สั่งให้เหยื่ออาบน้ำ และยังเอาเสื้อผ้ากับผ้าปูเตียงเหยื่อไปอีกด้วย เอ๊ะ? หรือคนร้ายจะเป็นตำรวจ??? แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่มีใครเพอร์เฟค ระบบตรวจหา DNA ที่เรียกว่า “touch DNA” หรือ DNA ที่ได้มาจากการสัมผัส โดยเก็บได้จากหลักฐานสามอย่างด้วยกัน 1. ตัวจับเวลาในครัวที่ได้มาจากเคสใน Westminter 2. DNA ที่ได้มาจากผิวของ Daisy เหยื่อจากเคสใน Golden และ 3. Teddy Bear ที่ถูกปัดตกโต๊ะจากเคสใน Aurora แต่ DNA ดังกล่าวไม่ได้ระบุตัวคนทำแบบเฉพาะเจาะจง แต่แค่ช่วยตีวงคนร้ายให้แคบลง โดยระบุเป็นสายครอบครัวเท่านั้น ดังนั้นผล DNA ดังกล่าว จึงไม่สามารถถูกนำไปใส่ในระบบของ FBI เพื่อหาตัวคนร้ายได้ (ลุ้นแล้วลุ้นอีก) ***************************************************** ?The final break through: ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 (เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานเร็วมากเลยนะคะ) เจ้าหน้าที่ตำรวจจากทุกเคสร่วมกับเจ้าหน้าที่ FBI ที่ถูกส่งตัวมา รวมตัวกันเพื่อตามหาเบาะแส หรืออะไรก็ได้ที่จะช่วยให้พบตัวคนร้ายคนนี้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ คนร้ายจะก่อเหตุอีกครั้ง ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังประชุมอยู่ มีเจ้าหน้าที่วิเคราะห์อาชญากรรมจากเขต Lakewood เดินออกมาพร้อมกับเสนอเบาะแสอันนึงที่ในตอนแรก เธอลังเลไม่แน่ใจว่าจะบอกดีหรือเปล่า แต่เธอคิดว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกัน หลังจากเกิดเรื่องที่ Lakewood เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ตรวจดูรายละเอียดจากกล้องวงจรปิด เพื่อหาดูรถยนต์ต้องสงสัยที่อยู่แถวๆ apartment ของเหยื่อภายใน 6 เดือนก่อนที่จะเกิดเรื่อง จนเธอไปเจอเข้ากับเบาะแสอันนึง 3 อาทิตย์ก่อนจะเกิดเหตุที่ Lakewood มีผู้หญิงคนนึงโทรมาแจ้งว่ามีรถยนต์น่าสงสัยจอดอยู่แถวบ้านเธอและมีผู้ชายคนนึงนั่งอยู่ในรถเป็นเวลานาน เมื่อตำรวจมาถึง ชายคนนั้นหายตัวไปแล้ว เจ้าหน้าที่ได้แต่จดรายละเอียดและส่งรายงานไปตามระเบียบ ที่น่าสนใจคือรถคันนี้จอดอยู่ติดกับรั้วที่กั้นระหว่างพื้นที่ป่ารกร้างที่ติดกับหลังห้องนอนของเหยื่อ และรถคันดังกล่าวคือรถกระบะ Mazda สีขาว ปี 1993 รถยนต์คันดังกล่าว จดทะเบียนภายใต้ชื่อของ Marc Patrick O’Leary ทีมตำรวจหัวใจพองโตและเต้นระรัว Marc คือผู้ต้องสงสัยหลักในตอนนี้ เขาจะเป็นคนที่ตำรวจกำลังตามหาหรือเปล่า?? ตำรวจพยายามจะดูว่ารถของ Marc มีลักษณะคล้ายกับรถกระบะที่ได้มาจากภาพกล้องวงจรปิดหรือไม่? หนึ่งในนายตำรวจ ณ เขตเมือง Lakewood รีบบึ่งกลับไปที่สถานีตำรวจของตัวเองเพื่อดึงข้อมูลบางอย่างออกมา ข้อมูลนั้นดึงมาจากรถตำรวจของเมือง Lakewood ในรถสายตรวจทุกคันของเมือง Lakewood จะมีกล้อง ซึ่งจะจับภาพและป้ายทะเบียนของรถที่ขับผ่านไปผ่านมาหน้ารถสายตรวจไว้ได้ (โดยเรียงตามสถานที่และเวลา) และหากคีย์ข้อมูลป้ายทะเบียน ภาพจากกล้องของรถตำรวจจะสามารถเลือกและดึงภาพของป้ายทะเบียนที่จับไว้ได้ออกมา และ Bingo! ภาพจากหน้ากล้องรถสายตรวจจับภาพรถของ Marc และ Marc ได้ ขณะที่เขายืนอยู่ที่หน้าบ้านตัวเอง 2 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุในเขต Westminster **อ่านไปทึ่งไป อะไรกันนี่ 1 และเมื่อดึงภาพชัดๆของรถคันดังกล่าวมาเทียบกับรถที่ได้จากภาพกล้องวงจรปิดก็จะเห็นว่า รถคันดังกล่าวมีรอยตำหนิที่กันชนเหมือนกัน (น่าจะเป็น sticker) และกระจกฝั่งผู้โดยสารยังแตกเหมือนกันอีกด้วย ใช่แล้ว นายคนนี้แหละ คนร้ายที่เราตามหามานาน!!! เจ้าหน้าที่ไปดึงรูป Marc จากใบขับขี่มาดูและพบว่า เขาถ่ายรูปเพื่อขอใบขับขี่ใหม่เพียงแค่ 4 ชั่วโมงหลังจากที่มีเหตุข่มขืนเกิดขึ้นที่เมือง Westminster Marc ใส่เสื้อยืดสีขาว เขามีตาสี Hazel สูง 6’1 และหนักประมาณ 220 ปอนด์ และในวันเกิดเหตที่เมือง Westminster เหยื่อยังบอกกับเจ้าหน้าที่อีกด้วยว่า คนร้ายที่เข้ามาข่มขืนเธอนั้น ใส่เสื้อยืดสีขาว 1 ช่วง 24 ชั่วโมงต่อมาหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างเร่งสปีดเต็มที่เพื่อหาจุดเชื่อมโยง และพยานหลักฐานเพื่อจะเข้าจับกุม Marc เท่าที่ตรวจสอบดู Marc ประวัติขาวสะอาด ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม และเคยเป็นทหารมาก่อน ถึงจะมั่นใจยังไง เจ้าหน้าที่ต้องการหลักฐานที่ระบุตัว Marc ว่าเป็นคนก่ออาชญากรรม และหลักฐานสำคัญชิ้นนั้นคือ DNA นั้นเอง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ซุ่มแอบดู Marc อยู่แถวหน้าบ้านเพื่อรอโอกาสที่จะเก็บ DNA บ้านของ Marc เป็นบ้านเล็กๆอยู่ในย่านที่ไม่ค่อยดีมากนัก ในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่เห็น Marc ขึ้นรถไปกับผู้หญิงอีกคนนึง ก่อนจะขับออกไปยังร้านอาหารที่ไม่ไกลมากนัก เมื่อทั้ง Marc และหญิงคนดังกล่าวออกจากร้านไปแล้ว เจ้าหน้าที่รีบบึ่งเข้าไปเก็บแก้ว เพื่อจะเก็บตัวอย่าง DNA ของ Marc ในขณะที่เจ้าหน้าที่ส่วนนึงซุ่มเก็บตัวอย่าง DNA จากร้านอาหาร เจ้าหน้าที่อีกหน่วย คิดว่าจะเข้าไปติดกล้องสอดแนมแถวๆบ้าน Marc เลยไปเคาะประตูบ้านดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนอยู่ แต่ Jackpot มีผู้ชายหน้าตาเหมือน Marc เดินมาเปิดประตู!!! เจ้าหน้าที่ก็เอ๋อเลย เพราะตอนแรกมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่บ้าน เจ้าหน้าที่เลยแสร้งทำเป็นว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากกรมตำรวจ ถูกส่งมาเตือนบ้านแถวนี้เพราะมีเหตุยกเค้าบ่อย คนที่เปิดประตูก็เลยแนะนำตัวเอง เขาชื่อ Marc และอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับพี่ชายที่มีชื่อว่า Michael (สรุปแล้ว Marc กับ Michael เป็นพี่น้องกัน ตำรวจไม่รู้มาก่อนว่า Marc อาศัยอยู่กับ Michael และคนที่ขับรถออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารก็ตือ Michael ขับรถออกไปกับแฟน ตำรวจตามผิดคนนั้นเองค่ะ) ตอนนี้ตำรวจตัดสินใจเอา DNA ที่เก็บได้จากแก้วของ Michael ไปเทียบกับ DNA ที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุ และกลายเป็นว่า DNA ที่เอามาตรวจทั้งสองอันนั้นมีความตรงกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า Michael เป็นคนทำ มันหมายความว่า ผู้ชายในครอบครัวนี้ มึคนใดคนนึง DNA ตรงกันกับคนร้าย แต่คนไหนละ? พอได้ผลตรวจ DNA มาแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่มีเหตุให้ขอหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านของ Marc ได้ เมื่อผู้พิพากษาเซ็นหมายค้นแบบเร่งด่วน เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกไปยังบ้านของ Marc และสิ่งแรกที่ทำคือ เลิกขากางเกง Marc ขึ้นมาดู Jackpot! Marc มีปานดำใหญ่ขนาดเท่าไข่ไก่อยู่ที่ขา เหมือนกับที่ Daisy ให้การไว้กับตำรวจก่อนหน้านี้ 1 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 2011 ตำรวจเข้าจับกุมและแจ้งข้อหายาวเป็นหางว่าวต่อ Marc O’Leary Marc ตอนโดนจับเข้าคุก Cr. https://www.propublica.org/.../false-rape-accusations-an... เมื่อตำรวจเข้าไปตรวจค้นในบ้านของ Marc ภายในบ้านนั้นสะอาดและเป็นระเบียบมาก (น่าจะมาจากตอนที่เข้าฝึกเป็นทหาร) และตำรวจเจอเข้ากับหลักฐานหลายอย่างที่เชื่อมโยงไปยังที่เกิดเหตุ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้ายี่ห้อและรุ่นตรงกับรอยพิมพ์รองเท้าที่ตรวจเจอ กระเป๋าเป๋ใบใหญ่ที่บรรจุทิชชู่เปียกกับน้ำยาหล่อลื่น ปืน .380 และกางเกงชั้นในผู้หญิงอีกจำนวนนึง (น่าจะเก็บมาจากแต่ละที่เกิดเหตุ) ที่เด็ดสุดเลยน่าจะเป็นกล้อง Sony สีชมพูที่ซ่อนอยู่ในเครื่องเสียงที่วางอยู่ในตู้เสื้อผ้าของ Marc 1 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Marie?: ***************************************************** ⚖️ Justice for Marie: ต้นเดือนมีนาคมปี 2011 เจ้าหน้าที่สามารถดึงข้อมูลที่อยู่ใน hard drive ของ Marc ได้ ในนั้นเจ้าหน้าที่เจอกับแฟ้มรูปภาพที่มีชื่อว่า “Girls” เมื่อเปิดดูทีละรูป ก็พบกับรูปของเหยื่อที่เจ้าหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่เมื่อเปิดดูรูปไปเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่พบกับรูปภาพของเด็กสาวคนนึง เธอดูอายุน้อยมาก ดูเหมือนจะเป็นแค่วัยรุ่นด้วยซ้ำ ในรูปเธอถูกมัด ถูกปิดตาและถูกอุดปาก เธอดูกลัวมากทีเดียว แล้วเธอเป็นใคร? เจ้าหน้าที่จะหาเธอได้ที่ไหน??? เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรอคำตอบนานเพราะหนึ่งในภาพดังกล่าว มีรูปภาพใบอนุญาตเรียนขับรถของเด็กสาวดังกล่าว ถูกวางไว้บนหน้าอกของเหยื่อแล้วถ่ายรูป รูปใบนั้นทำให้ตำรวจจาก Colorado ประสานงานมายัง เมือง Lynwood รัฐ Washington ตำรวจเจอเข้ากับคนร้ายที่เข้าไปทำร้าย Marie แล้วนั้นเอง (นอกจากจะเชื่อมโยงมายังคดีของ Marie ได้แล้ว ยังเชื่อมไปได้อีกคดีนึงที่เกิดขึ้นหลังจากคดีของ Marie ที่เกิดขึ้นในเมือง Kirkland นั้นเองค่ะ) หลังจากที่มีหลักฐานแบบชัดๆเต็มตาว่า Marie เป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถุกข่มขืนจริงและเธอไม่ได้โกหก ไม่เพียงเท่านั้น Marie น่าจะเป็นเหยื่อรายแรกของ Marc และหากตำรวจใส่ใจสักนิด Marc อาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยตั้งแต่แรก และน่าจะไม่มีเหยื่อรายต่อๆมา <<<อันนี้ Marc เป็นคนพูดเอง นอกจากนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจที่เมือง Lynwood ยังถูกสอบสวนเกี่ยวกับการดำเนินการ หรือการสอบปากคำเหยื่อในคดีอาชญากรรมทางเพศแบบนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่จะทำผิดแบบไม่น่าให้อภัยแล้ว ยังซ้ำเติมเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปอีก 2 ปี ครึ่งหลังจากที่ Marie ถูกข่มขืน เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมือง Lynwood ตามหาตัว Marie จนเจอ เพื่อจะแจ้งกับ Marie ว่า คนที่ข่มขืน Marie นั้นโดนจับแล้ว พร้อมกับยื่นซองที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเยียวยาสภาพจิตใจเหยื่อให้ และคืนค่าขึ้นศาลอีก $500 ให้กับ Marie เจ้าหน้าที่ Mason ซึ่งยังทำงานกับสถานีตำรวจ Lynwood กล่าวขอโทษ Marie ต่อหน้าเธอ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ Rittgarn เกษียณไปแล้วและไม่ยอมแม้แต่ให้สัมภาษณ์หรือกลับมาขอโทษ Marie เลย (แน่นอน ตอนหลังกรมตำรวจ โดน Marie ฟ้อง และมีการตกลงยอมความกันที่ค่าเสียหายจำนวน $150,000) Marc นั้นถูกนำตัวขึ้นศาลและพิจารณาคดีให้จำคุกทั้งสิ้น 327 ปี กับอีก 6 เดือน และน่าจะไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกแล้ว **Marc เคยเป็นทหารมาก่อน เขารู้ดีว่า DNA ตัวเองอยู่ในระบบอยู่แล้ว จึงทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มี DNA ตัวเองหลงเหลืออยู่ พร้อมกับตั้งใจก่อเหตุในเมืองต่างๆกัน เพราะรู้ว่าส่วนมากแล้วตำรวจจะไม่แชร์ข้อมูลกัน และคิดว่าจะไม่มีใครตามเขาทัน ***************************************************** ?ฟ้าหลังฝนของ Marie: ก่อนที่จะออกจากรัฐ Washington Marie ไปสอบใบอนุญาตและทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกระยะทางไกล (เจ๋งโคตร) ก่อนจากไปทำงาน Shannon กับ Peggy ขอโทษที่เคยสงสัย Marie โดยเฉพาะ Peggy ที่โทษตัวเองว่า หากเธอหุบปากเงียบซะ ตำรวจก็น่าจะดำเนินการสอบสวนต่อ (คิดไม่ผิดนะ Peggy) หลังจากนั้นมา Marie ก็แต่งงานและมีลูกสาวถึงสองคนด้วยกัน เธอเลิกที่จะหลบซ่อนและอยู่ด้วยความกลัวอีกต่อไป 1 “He didn’t take my life away,” Marieให้สัมภาษณ์ในปี 2019. “ฉันไม่อยากหลบอยู่ในมุมมืด ไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำลายชีวิตฉัน ฉันจะไม้ให้เขาชนะหรอก เขาทำลายฉันไม่ได้ ” เมื่อถูกถามว่า ในตอนที่เกิดเรื่อง Marie เคยคิดบ้างไหมว่าจะไม่แจ้งตำรวจ? “ไม่เลย” Marie ตอบ เธออยากพูดความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น และอยากบอกทุกอย่างกับตำรวจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ “So nobody else would get hurt,” Marie กล่าว. “They’d be out there searching for this person who had done this to me.” เรื่องของ Marie ได้กลายมาเป็น serie ชื่อดังที่มีใน Netflix ชื่อว่า “Unbelievable” บอกตรงๆเราไม่ได้ดู อึดอัด เรากลัวน้ำตาแตก แต่ดู trailer หลายอันแทนก็คิดว่าน่าดูมากค่ะ ตัวเรื่องดำเนินไป focus ตรงการทำงานของตำรวจแบบ “ถูก”และ แบบ “ผิด” และมีกิมมิก GIRL POWER ด้วยการชูโรงตำรวจหญิงทั้งสองคนที่ช่วยกันไขคดีเพื่อหยุดตัวอาชญากรคนนี้ (ผู้กำกับ, producer และคนเขียนเป็นผู้หญิงหมดเลยด้วย) จบปิ้ง: อ่านแล้วเหนื่อยไหม? 5555 เราเขียนไปยังเหนื่อยไป แต่ทำไงได้ start ไปแล้วหยุดไม่ได้แล้วจ้าาาาา เรื่องนี้พออ่านแล้วอยากแชร์ให้ทุกคนรู้ว่า: ? คนเรามีวิธีที่รับมือกับเรื่องหนักๆในชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนฟูมฟายจะเป็นจะตาย บางคนเก็บเอาไว้ข้างในคนเดียวไม่แสดงออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่เงียบๆ เขาจะไม่เสียใจ ไม่กลัว ไม่ตกใจ อย่าตัดสินคนเพียงแค่เรื่องแบบนี้ 2 ในเคสของ Marie ลองคิดดูสภาพแวดล้อมที่ Marie ต้องเติบโตมา มันทำให้ Marie เจอกับเรื่องแบบนี้และรับมือในแบบที่เธอรับมือได้ ไม่มีใครให้หันหน้าไปหา แถมคนที่ดูเหมือนจะต้องปกป้องและเป็นที่พึ่งให้กับ Marie ดันไม่เชื่อเธออีก ? เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานเป็น First Responder ต้องได้รับการอบรมในการรับมือเหยื่ออาชญากรรมแนวนี้ใหม่ (เอาจริงๆที่อเมริกาก็เทรนดีมากแล้วนะ) ไม่รู้ที่อื่นเป็นเหมือนกันไหม แต่ที่นี้ หากเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเพศ นอกจากจะมีทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจ พยาบาลที่โรงพยาบาล ที่ถูกอบรมมาโดยเฉพาะ รัฐจะยังส่งที่ปรึกษามาช่วยดูแลอีกด้วย แต่เราคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของแต่ละคน จะเห็นได้ว่า พอเคสมาอยู่ในมือตำรวจผู้หญิง การรับมือกับคดีแบบนี้พลิกเป็นอีกแบบนึง ตั้งแต่คุยกับเหยื่อจนถึงพาเหยื่อไปส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเอง การเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ ไม่ควรถูกเค้นสอบเหมือนเป็นอาชญากร หรือเหมือนโดนข่มขืนอีกทีนึง 1 ?หากเราต้องผ่านสถานการณ์แบบนี้ ขออย่างเดียวให้มีสติ เมื่อรอดชีวิตมาได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว มีคนและองค์กรอีกมากมายที่พร้อมจะรับฟังและช่วยเหลือเรา อย่าไปคิดว่าเรานั้นทำอะไรผิด อย่าไปคิดว่ามันเป็นตราบาป หาคนคุย หาคนระบาย ความทุกข์เมื่อแชร์ออกมา มันจะค่อยๆหายไป ? อาชญากรรมและความรุนแรงทางเพศไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้หญิงอย่างเดียว เด็ก ผู้ชายหรือ LGBTQ อยู่ในความเสี่ยงหมด ดูแลตัวเองและคนรอบข้างให้ดี เป็นที่พึ่งให้กันและกัน