ย้อนปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่ของบันเทิงจีน - ฮ่องกงยุค 90s

54 8

ในบางครั้ง  เมื่อได้เห็นเด็กซ่าที่บ้านนั่งเล่น Minecraft อย่างใจจดใจจ่อ ก็ทำให้นึกถึงความรุ่งเรืองของวงการบันเทิงยุค 90s   ที่ช่วง primetime ของ TV ถูกครอบครองด้วยซีรีส์จีน  ชาวบ้านชาวช่องไม่ต้องไปไหน จองที่หน้าจอไม่ให้พลาดผลงานเหล่านี้



เปาบุ้นจิ้น  


สุดยอดปรากฏการณ์  สร้างกระแสล้นหลามตั้งแต่เพลง title   ท่าสั่งประหารของท่านเปาที่สร้างโมเมนท์สาแก่ใจไปทุกหย่อมหญ้า    แม้กระทั่งลักยิ้มองครักษ์สุดหล่อยังเป็นที่กล่าวขวัญ!


นี่คือผลงานจากไต้หวันที่สั่นสะเทือนไปหลายประเทศทั่วเอเชีย
เปาบุ้นจิ้นคือหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญของวงการ TV 90s ที่สามารถดึงให้ลูกหลานแทบทุกบ้านให้กลับบ้านไม่ไปเล่นเถลไถล  ครอบครัวได้ร่วมกิจกรรมเดียวกันคือนั่งลุ้นตัวโก่งไปกับอภิมหาซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น    ท่านเปาคือ Icon ทีคนที่ต้องได้รับผลกระทบจากการคอร์รัปชั่นต้องถวิลหา   ไม่ต้งบรรยายเนื้อให้มากมาย    แม้จะทำมาแล้วหลายเวอร์ชั่น เปลี่ยนตัวนักแสดงไปแล้วหลายคนยังไง    เปาบุ้นจิ้นที่มีจิน เชาฉฺวิน รับบทท่านเปาคือความลงตัวที่ยากจะหาที่ไหนเปรียบได้  ถึงขนาดว่าผ่านไปแล้วหลายปี  นักแสดงเข้าวัยกลางคนกันไปแล้วก็ยังกลับมาโกยเรตติ้งกันได้เป็นร้อยๆตอน  ( เฉพาะที่จิน เชาฉฺวินแสดงก็มากกว่า  700 ตอนเข้าไปแล้ว)


ยิ่งได้รู้ว่า แต่เดิม ผู้สร้างวางแผนปล่อยซีรีส์เรื่องนี้ออกมาเพียง 15 ตอน แต่กลับประสบความสำเร็จข้ามประเทศจนแตกสาขาออกมาเป็นร้อยๆตอนให้แฟนๆเกาะติด โโยการจุดประกายความโด่งดังนอกไต้หวันเริ่มที่สถานีโทรทัศน์ในฮ่องกงอย่าง ATV Home และ TVB คู่แข่งสำคัญได้ซื้อลิขสิทธิ์เปาบุ้นจิ้นมาฉาย และกลายเป็นสงครามเรตติ้งที่ดุเดือดขนาดที่ทั้งสองช่องฉายเปาบุ้นจิ้นตอนเดียวกันในเวลาเดียวกันเพื่อแย่งคนดู! แม้จะเป็นโชว์จากไต้หวัน แต่ในเปาบุ้นจิ้นภาคต่อตั้งแต่ปี 2008 ก็ได้ได้ production ที่จีนแผ่นดินใหญ่เป็นผู้สร้าง โดยที่มีทีมนักแสดงนำกลุ่มเดิมจากยุค 90s  นั่นชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ฝั่งแผ่นดินใหญ่ได้ยอมรับความสำเร็จของเวอร์ชั่นไต้หวันแล้วนั่นเอง







เมื่อเราได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วมองย้อนไปที่เหตผลที่เปาบุ้นจิ้นจึได้กลายมาเป็นตำนานซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จได้ล้นหลามถึงเพียงนั้นก็ไม่แปลกใจสักนิด  เพราะนอกจากความน่าติดตามจากการเขียนบทที่แสดงให้เห็นถึงความอยุติธรรมจากระบบศักดินาที่ผู้น้อยที่มีจิตใจซื่อสัตย์ต้องทนทุกข์กับการถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนเป็นใหญ่ที่ทำชั่วอย่างไร้ความละอาย  มันช่างบีบคั้นความรู้สึกถึงที่สุด  เมื่อใช้ความชิงไหวชิงพริบกันจนสามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษประหารสร้างความสาแก่ใจให้กับคนดู   ความสนุกสนานเช่นนี้เองที่สร้างความตรึงตราใจปนความถวิลหาว่า   หากในชีวิตจริง  มีฮีโร่ที่สามารถโค่นอำนาจมืดเพื่อปวงชนได้เหมือนท่านเปาแล้ว   สังคมเราจะดีขึ้นได้ขนาดไหน ?    
พอเราพูดถึง "ความติ่ง"  ลูกหลานในสมัยนี้คงคิดถึงการสนับสนุนศิลปินที่ปลาบปลื้มด้วยการติดตามผลงานและควักกระเป๋าซื้อของสะสมต่างๆเพื่อส่งกำลังใจให้กับไอดอลที่ชื่นชอบ   และหลายคนคงนึกไม่ออกว่า   จะติ่งท่านเปากันยังไง  ?


แหม่ คนยุค 90s นั้นทั้งสะสมสติ๊กเกอร์ในสมุดสะสม ( เหมือนการสะสมสติ๊กเกอร์จากการ์ตูนดังอย่างดรากอนบอล) เสื้อยืดสกรีนหน้าท่านเปา จั่นเจา หน้ากากสำหรับเด็กๆใส่อวดกัน ไหนจะพร็อพอื่นๆ เช่น ดาบ และสิ่งของจิปาถะที่ต้องแปะภาพเปาบุ้นจิ้นไว้ ที่สำคัญ เปาบุ้นจิ้นได้ยึดครองตลาดดนตรีและcomedyของไทยไว้เนิ่นนาน แม้ว่าคุณอาจจะเคยได้ยินเพลงล้อเลียนอย่าง "เปาบุ้นจิ้นชอบกินไข่เต่า ส่วนจั่นเจาชอบกินโอเล่" ที่มีคนแต่งเนื้อร้องไว้เรียกเสียงฮา แต่ที่จริงแล้ว มีผู้คนมากมายที่ฝึกร้องเพลงตามภาษาต้นฉบับได้ทั้งเพลงเปิดที่ชวนฮึกเหิม และเพลงตอนจบซึ้งๆ รวมไปถึงค่ายเพลงที่แปลเนื้อภาษาจีนเป็นไทยทำขายอย่างจริงจัง




องค์หญิงกำมะลอ

 
อาจจะไม่ได้ก้าวเข้ามาถึงขั้นฟีเวอร์ในบ้านเราเหมือนกับเปาบุ้นจิ้น แต่ก็ยังเป็นซีรีส์ที่ดังมากๆอยู่ดี   ในจีนและไต้หวัน ถือว่าเป็นผลงานระดับตำนานที่ยากจะโค่นสถิติเลยทีเดียว    องค์หญิงทั้งสองสวยน่ารักชวนหลงสุดๆ   แม้เนื้อหาจะไม่ต่างจากสารพัดซีรีส์เกี่ยวกับฝ่ายในของพระราชวังเรื่องอื่นๆ    ทั้งความน่าสงสารของที่นางเอกต้องเผชิญกับอุปสรรคถูกกลั่นแกล้งนานัปการ  และความรักของหนุ่มสาวที่ต้องฝ่าอุปสรรคแห่งความเป็นราชนิกูล      องค์หญิงกำมะลอยังมีเนื้อหาครบรส ทั้งตลก ตื่นเต้น และดราม่าน้ำตาสิบลิตร เสน่ห์ของพวกเธอทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดังสนั่น    ถึงจะremake มาแล้วก็ไม่ใกล้เคียงกับความสำเร็จของเวอร์ชั่นยุค 90s ได้

องค์หญิงกำมะลอในซีซันแรกไม่ได้มีงบประมาณการถ่ายทำสูงและปิดกล้องจบที่ 24 ตอนเท่านั้น นักแสดงนำก็ไม่ได้รับค่าตัวกันมากมายเท่าใด ทั้งยังต้องเร่งถ่ายทำกันหามรุ่งหามค่ำจนนักแสดงแทบไม่ได้นอน เฉลี่ยแล้วตลอดห้าเดือน จะได้นอนวันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง ( เจ้าเวยเหนื่อยหนักถึงกับอาเจียน) แต่ความลำบากเหล่านี้ดูเกินคุ้มค่า เมื่อความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามารามกับปาฏิหารย์ นางเอกอย่างเจ้าเวยและซินซินหรูได้พุ่งสู่เส้นทางนักแสดงระดับ top แม้กระทั่งฟ่านปิงปิงที่รับบทสมทบก็ยังกลายมาเป็นนักแสดงทรงอิทธิพลของจีนในปัจจุบัน

ต้องเล่าให้ฟังกันก่อนว่า  หลายปีหลังจากที่บทเสี่ยวเยี่ยนจื่อแห่งองค์หญิงกำมะลอทำให้เจ้าเวยโด่งดังอลังการชั่วข้ามคืนก็ได้มีคนปล่อยข่าเสียหายออกมาว่า มีพ่อบุญทุ่มที่ตามจีบเธอยัดเงินให้กับผู้สร้างหลายล้านหยวนเพื่อให้เธอได้รับบทนี้ ทั้งๆที่หลินซินหรูที่เล่นเป็นจื่อเว่ยถูกวางตัวให้แสดงเป็นเสี่ยวเยี่ยนจื่อตั้งแต่แรก  แต่ก็ฝ่ายถูกพาดพิงก็ได้โต้ข่าวอย่างหนักแน่นว่า มันไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน   สิ่งหนึ่งที่น่าจะหักล้างข้อกล่าวหานี้ได้คือ   ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและบุคลิกของนางเอกทั้งสองที่ดูสอดคล้องกับบทบาทได้อย่างเหมาะเจาะที่สุด  



เจ้าเวยภาพที่เข้ากับบุคลิกสดใสน่ารักแสนซนตรงกับเสี่ยวเยี่ยนจื่อที่ทำให้ผู้คนหลงรัก ความห้าวหาญไม่ค่อยเป็นกุลสตรีนั้นเป็นจุดขายของซีรีส์เลยทีเดียว

ส่วนหลินซินหรูดูเป็นสาวที่อ่อนหวานนุ่มนวล ตรงกับบทจื่อเว่ย (เจ้าหญิงตัวจริง)ที่แสนดีและมีชะตากรรมที่น่าสงสาร โดยเฉพาะฉากถูกทรมานด้วยเข็มนั้นได้ถูกยกมาเปรียบเทียบกับความโหดร้ายที่หญิงสาวต้องพานพบ ในนิยายบางเรื่องก็ได้นำฉากนี้มาเป็น reference เลยทีเดียว


ถ้าถามถึงกระแสการตอบรับขององค์หญิงกำมะลอ   นอกจากจะกวาดเรตติ้งถล่มทลายที่จีน ไต้หวัน ก็ยังโด่งดังมากๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  หรือสร้างความเซอร์ไพรส์ในในเกาหลีใต้ เพราะสถานีที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายไม่ได้โด่งดังมากนัก แต่กลับดึงเรตติ้งไปที่ 4 %  ช่องCTV ที่ไต้หวันสร้างกำไรมหาศาล จากการถ่ายทำภาคแรกที่ต้องรัดเข็มขัดเต็มที่ แต่กลับได้รับความนิยมในระดับ fever ยาวไปถึงซีซันที่ 2 แบบไม่แผ่วแม้แต่น้อย   ส่วนในจีน  ตอนแรกการขายลิขสิทธิ์นั้นดูขลุกขลัก เพราะช่องยักษ์ใหญ่ต่างไม่แน่ใจว่ามันจะโกยเรตติ้งได้จริงหรือไม่  แต่กลายเป็นว่าพอซื้อไปแล้วดังสั่นหวั่นไหว  ฉายrerun ก็ยังขึ้นเป็นซีรีส์เรตติ้งอันดับ 1     เอากับเค้าสิ!   ซีซัน 2 เรตติ้งพุ่งไปที่ 50 %  บางตอนมีคนดูเยอะถึง 65%   และพวกเราต่างก็รู้กันดีว่าประชากรของจีนมีมากมายแค่ไหน!

ส่วนนางเอกอย่างเจ้าเวยได้กลายมาเป็น "ไอดอลแห่งชาติ" เธอได้รับจดหมายนับแสนฉบับ งานเข้ามากมายนับกันไม่ไหว แต่ไม่ต่างกับไอดอลในยุค social media เมื่อดังมากก็มีคนคอยตามจับผิดวิจารณ์ ทั้งเหตุการณ์ที่เด็กๆเลียนแบบฉากพยายามเสี่ยวเยี่ยนจื่อแกล้งผูกคอตายจนได้รับอัตรายไปจริงๆ หรือเด็กที่อยากพบเจ้าเวยมากจนหนีออกจากบ้านเพื่อตามไปดักเจอเธอ หลายคนโทษว่าเธอเป็นตัวอย่างที่ย่ำแย่สำหรับเด็กๆ ด้วยบทของเจ้าหญิงที่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตนและเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ และโยนให้เธอเป็นผู้รับผิดชอบกระแสความคลั่งไคล้ที่ยากเกินควบคุมของเหล่าแฟนๆ


วันวานเหล่านั้นไปผ่านพ้นไป ทั้งเจ้าเวยและหลินซินหรูก้าวขึ้นสู่ระดับ top ของวงการแสดง และยังไม่ได้โลดแล่นที่หน้าจอเท่านั้น ยังมีงานโพรดิวซ์ กำกับหนัง สร้างบริษัท production ก้าวไกลจากภาพไอดอลในยุค 90s มาเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจอย่างเต็มตัว




ผู้หญิงข้า ใครอย่าแตะ


หนังฮ่องกงที่ให้กำเนิดไอคอนตลอดกาล   สร้างอิทธิพลรุนแรงต่อวัยรุ่นยุค 90s
หนังฮ่องกงเป็นสื่อบันเทิงแรกๆที่สอนให้เรารู้ซึ้งว่า เรื่องราว romance ที่ซาบซึ้งใจไม่จำเป็นต้องมี happy ending เสมอไป    จากตอนแรกที่คิดว่า ผู้หญิงฆ่าใครอย่าแตะ  เป็นเพียงหนังนักเลงตีกันอีกเรื่อง (ซึ่งแนวนี้มีอยู่แล้วเกลื่อน)  และที่จริง โทนตลกๆด้วยสไตล์การพากย์เสียงภาษาไทยก็น่าจะทำให้โทนของหนังมันซึ้งน้อยลง    แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็โดนใจวัยรุ่นยุคนั้นสุดๆ        
พอจะหาเหตุผลว่า เพราะอะไรบทหนุ่มแกงค์มอเตอร์ไซค์ดูไม่เอาถ่าน เอาแต่ใช้ความรุนแรงทะเลาะเบาะแว้งกับอริจึงดูเท่ปักใจผู้คนถึงเพียงนี้ คำตอบอาจจะอยู่ตรงที่ตัวคนแสดงรึเปล่านะ เมื่อเป็นพี่หลิว ก็ไม่ต้องหาเหตุผลมาบรรยายมากมาย เพราะไม่ว่าจะขยับท่าไหนก็ดูเท่ไปหมด เมื่อจับคู่กับอู๋เชี่ยนเหลียนที่สวมบทเป็นคุณหนูผู้ไร้เดียงสาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เคมีก็พร่างพรู แม้ว่าพล็อทความรักต่างชนชั้นนี้จะไม่ได้มีบทพูดหวานซึ้งมากมาย แต่พระเอกที่แสดงออกอย่างเย็นชาแต่ในใจรักนางเอกสุดๆทำให้ผู้ชมต้องสั่นไหวตามไปด้วย จุด climax ที่บีบคั้นน้ำตายังเป็นที่จดจำมาถึงเดี๋ยวนี้




ช่วงที่หนังดังเป็นพลุกแตก เรายังไม่โตเท่าใดนัก แต่จำได้แม่นว่า เด็กสาวที่อายุมากกว่าพร่ำเพ้อถึงพี่หลิวกันขนาดไหน แม้จะไม่ได้มีภาพของหนุ่มที่พึ่งพาได้ เพราะถ้าไม่ซิ่งรถก็เอาแต่แก้แค้นกับแกงค์อื่นจนเลือดสาด แต่พล็อทหนุ่มนักเลงกับสาวใสตกหลุมรักกันยังเป็นสิ่งที่สดใหม่ในยุคนั้น เมื่อบวกกับความมาดแมนของพี่หลิว วัยรุ่นก็ยกให้เขาเป็นฮีโร่เลยทีเดียว  ได้ยินมาว่า  โรงหนังทั้งหลายต้องเสริมเก้าอี้ให้เพียงพอกับจำนวนคนดูที่แทบจะล้นโรงทุกรอบ    ประสบการณ์ในการดูผู้หญิงข้าใครอย่าแตะบนจอของเราก็คือ ตอนมีงานฉลองอะไรสักอย่าง แล้วมีคนจ้างหนังกลางแปลงมาฉาย  คนแน่นขนัดเช่นกัน!     
การถ่ายภาพ pre wedding ด้วย theme ผู้หญิงฆ่าใครอย่าแตะเป็นเรื่องที่เห็นได้ตามปกติ  มีแม้กระทั่ง figure พี่หลิวก็ทำออกมาขาย   ส่วนที่บ้านเรานั้น  นอกจากเพลงประกอบก็เปรี้ยงปังมาก คนหาซื้อเทปของเถื่อนมาฟังให้พรึ่บ     ใครที่พ่อแม่ทีกำลังทรัพย์เพียงพอก็อาจจะขอให้ซื้อรถรุ่นเดียวหรือรุ่นที่คล้ายกับในหนัง ใครมีสาวน่ารักมาซ้อนท้ายได้จะถูกมองด้วยสายตานับถือจากกลุ่มเพื่อนฝูง  นั่นมันความเท่ในระดับพี่หลิวเชียวนะ!  


หนังของฉีเคอะแทบทุกเรื่องในช่วงนั้น

ตัวเลือกของหนังชนโรงในยุคนั้น ถ้าไม่ดูหนังวัยรุ่นไทยๆ ก็จะเป็นหนังแนวแฟนตาซีและแนวactionกำลังภายในฮ่องกง ถ้าไม่ได้ดูในโรง ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวช่อง 7 เอามาฉายช่วงวันหยุด


เดชคัมภีร์เทวดา
เดชไอ้อ้วน
โปเยโปโลเย (คาถาติดปากลูกเล็กเด็กแดงก่อนที่จะได้รู้จัก Harry Potter)
หวงเฟยหง
และอีกมากมาย
หากใครเกิดไม่ทันก็คงต้องอธิบายกันก่อนว่า  สมัยนั้นเราแทบจะหาหนังที่มี subtitle ภาษาไทยดูไม่ได้    เมื่อเป็นหนังจีน ก็ย่อมต้องชมหนังที่เป็นเสียงของทีมพากย์พันธมิตรและทีมพากย์อินทรี ซึ่งเอกลักษณ์การพากย์แบบไทยๆนั้นคือการเสริมมุกตลกเข้าไปแบบไม่ยั้ง  แม้ตัวละครจะไม่ขยับปาก  คนดูก็ฮากันไปแล้ว

ฮ่องกง/จีนมีทรัพยากรไอเดียในการสร้างหนังมหาศาล จากวรรณกรรมเก่าแก่ที่ผู้สร้างสามารถตีความและดัดแปลงตัวละครต่างๆมาทำเป็นเวอร์ชั่นตัวเอง และยังมีนักประพันธ์หน้าใหม่เกิดขึ้นอีกมากมาย ผู้คนได้ให้ความสำคัญต่อศิลปะการประพันธ์ ผลงานที่โด่งดังจะมียอดขายเป็นล้านเล่ม และเฝ้าติดตาม adaptation ของนวนิยายเหล่านั้นไปด้วย ไม่ต่างจากญี่ปุ่นที่มีมังงะเป็นต้นแบบของหนัง live action

ในตอนนั้น   ตัวเลือกการชมหนังซีรีส์ที่บ้านเรายังไม่หลากหลายนัก  หนังฮ่องกงจึงมีอิทธิพลต่อคนยุค 90s มากพอดู    แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง  ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่อบันเทิงได้ง่ายดาย  หากจะอธิบายก็คือ   เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน  คนทั่วไปอาจจะนึกภาพซีรีส์จากสเปนไม่ออก  แต่หากเป็นตอนนี้ แค่ไถหน้าจอไม่กี่ครั้งก็ได้ชมหนังจากยุโรปได้แล้ว  ฝั่ง Hollywood ยังได้พัฒนาไม่หยุดยั้ง บวกกัล Korean Wave  ที่เข้ายึดครองความนิยมจากคนรุ่นใหม่  ทำให้หนังฮ่องกงไม่สร้างกระแสตอบรับที่บ้านเรามากเหมือนแต่ก่อน   อย่างไรก็ตาม  อุตสาหกรรมหนังที่เติบโตในฮ่องกงที่เองที่ทำให้นักแสดงจีนได้ก้าวเข้าไปสร้างความโด่งดังที่  Hollywood เช่น เฉินหลง โจวเหวินฟะ    หลี่ เหลียนเจี๋ย  เจิ้น จื่อตัน  เป็นต้น






ไมเคิล หว่อง 


  หนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-จีนคนนี้ได้ลัดขอบฟ้ามาก้าวมาสร้างชื่อเสียงที่ฮ่องกง และเรียกเสียงกรี๊ดให้กับสาวไทยด้วยการเข้าร่วมเล่นหนัง action ไทย และปล่อย single "ฉันมาไกล"  เพลงภาษาไทยที่ติดหูสุดๆ

การที่นักแสดงชื่อดังของเอเชียมาร่วมงานกับ production ไทยไม่ใช่เรื่องที่เห็นกันได้บ่อยๆ บางคนอาจจะมองว่า Michael Wong ไม่ได้โด่งดังเทียบเท่าหลิว เต๋อหัว (รายนั้นเล่นหนังมาแล้วนับร้อย กวาดรางวัลจนต้องมีโกดังเก็บ) แต่เมื่อพูดถึง background ที่เป็นคนอเมริกันและมีพื้นฐานภาษาน้อยมากต้องมาเรียนภาษากวางตุ้งในกองถ่าย และฝ่ากำแพงอคติที่มองว่าเขาเป็น "คนนอก" และก้าวมาสร้างชื่อเสียงจนคว้ารางวัลการแสดงของฮ่องกงได้ก็เรียกได้ว่าไม่เบาเลยทีเดียว  




หลินจื้ออิง


ไอดอลไต้หวันที่ดังเปรี้ยงทั้งในฮ่องกงและบ้านเรา

ทีเด็ดในยุคนั้นก็คือ     superstar จากไต้หวันอย่างหลินจื้ออิงได้บินข้ามฟ้ามาทำงานที่บ้านเรา   เค้าเป็นไอดอลที่ได้รับความนิยมสูงมาก ไม่เฉพาะแต่ไต้หวันเท่านั้น   ยังมีผลงานประสบความสำเร็จที่ฮ่องกง และแผ่นดินใหญ่     และมีแฟนๆชาวไทยในยุค 90s จำนวนมากมายเลยทีเดียว     ในช่วงผู้เขียนยังเรียนมัธยม   เพื่อนๆรอบตัวต่างก็คลั่งไคล้หลินจื้ออิ่งทั้งนั้น   เพียงแต่ว่า เรายังไม่มี social media  ที่ช่วยให้เชื่อมต่อกับผู้อื่นเพื่อรวมตัวเป็น fanclub ได้เท่านั้นเองค่ะ
ชาวติ่งยุค 90s  ก็ต้องขวนขวายหาของสะสมเพื่อแสดงความรักต่อไอดอลเช่นกัน   หากเป็นติ่งสาย ฝ.  อาจจะสะสมของที่ระลึกที่มีภาพ Leonardo Dicaprio    ถ้าติ่งญี่ปุ่น อาจจะตามเก็บ Takky  หรือไม่ก็ Takeshi Kaneshiro *     แต่ถ้าะพูดถึงไอดอลไต้หวัน   จัดมาสิคะ!   แม่เหล็กติดตู้เย็น  การ์ด  โปสเตอร์    ต้องหลินจื้ออิงเท่านั้น  



*Takeshi โด่งดังจากหนังฮ่องกงมาก่อนแต่มาแจ้งเกิดสุดปังในเมืองไทยจากซีรีส์ญี่ปุ่นยุค ITV แล้วกลับไปสร้างความสำเร็จที่แผ่นดินใหญ่ต่อ

แตกต่างจากปัจจุบัน   ช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีนักร้องนักแสดงชายจากไต้หวัน ฮ่องกง และจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีบุคลิกใสๆน่ารักตาหวานแบ๊วแบบหลินจื้ออิง  ความหล่อแบบหนุ่มตี๋ขาวใสยิ้มใจละลายนั้นโดนใจแฟนๆที่เมืองไทยมาก  ยิ่งได้รับบทนำในเดชเซียวฮื้อยี้  ก็ดูทะเล้นเหมาะเข้าอีก   ถึงปัจจุบันนี้ เขาอาจจะเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่มีครอบครัวแล้ว แต่ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากแฟนๆอย่างเหนียวแน่น  (เหนียวขนาดที่หลายคนยังออกอาการไม่ชอบใจในตัวภรรยาของเค้ามาจนถึงทุกวันนี้)


และคงไม่ลืม  เต๊ะ ศตวรรษ  ที่แฟนๆที่ไทยและไต้หวันต่างเห็นพ้องต้องกันว่ามีความหล่อน่ารักที่ละม้ายคล้ายคลึงหลินจื้ออิงมาก และยังได้ร่วมงานกันในเดชเซียวฮื่อยี้ ภาค2  มาแล้วอีกต่างหาก!




จางป๋อจือ


นางเอกฮ่องกงขวัญใจหนุ่มไทย

แม้ช่วง 90s จะเป็นเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นชีวิตนักแสดงของสาวสวยคนนี้   จากฉายา "เด็กเฮียโจว"   (นางเอกสาวที่ได้เล่นหนัง comedy ในหนังโจวซิงฉือ จะถูกมองว่าเป้นเด็กป๋าดัน)  เธอก็เริ่มสร้างชื่อเสียงดด่งดังด้วยโดยไม่ต้องผูกติดกับพระเอกดังอีก   ช่วงที่จางป๋อจืออยู่ในวัยสาวใส    เธอได้รับความนิยมจากคนไทยมากเชียวล่ะ  ด้วยความที่สวยโดดเด่นแบบธรรมชาติ   มีออร่าที่ไม่ต่างกับหลินจื้ออิง  ถ้าให้มาเดบิวท์ในปัจจุบันก็คงจะโด่งดังเช่นกัน

ภาพจางป๋อจือใส่ชุดนักเรียนทำงานเป็นสาวบาร์ในหนัง "คนเล็กไม่เกรงใจนรก" ทำให้เธอสร้างเสียงกล่าวขวัญที่ฮ่องกง  ผู้ชมรู้สึกประทับใจในความงามอันโดดเด่น ผิวเธอขาวเนียนราวกับหิมะ ตาก็ชุ่มชื่นมีประกายน้ำเคลือบใสปิ๊งตลอดเวลา   รวมไปถึงเครื่องหน้าที่สวยเหมือนกับตุ๊กตา



ไม่เพียงแค่สวยน่ารักสะกดสายตา  จางป๋อจื่อยังเคยคว้ารางวัลการแสดงมาแล้วหลายครั้งและเคยอยู่ในกลุ่มนักแสดงที่มีรายได้สูงสุดของฮ่องกง   อย่างไรก็ตาม เรื่องชีวิตส่วนตัวได้ดึงดูดความสนใจของผู้ชมไปจากการแสดงของเธอไม่น้อยลง


บางคนอาจจะสัมผัสได้ว่าเธอมีรูปลักษณ์ที่ดูเป็นคนตะวันตกอยู่พอสมควร  นั่นเป็นเพราะแม่ของเธอเป็นลูกครึ่งจีน-อังกฤษค่ะ  เธอมาโด่งดังสุดๆในช่วงต้น 2000s  จนมาเจอกับมรสุมชีวิตเมื่อภาพเปลือยที่เธอถ่ายไว้ให้กับเฉินกว้านซี ผู้เป็นอดีตแฟนหนุ่มได้หลุดออกมาสู่โลกออนไลน์  นอกจากจะอับอายขายหน้า ผู้คนได้มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอคติ  จากสมัยวัยรุ่นที่ถูกยกให้เป็นนางฟ้าหน้า innocent ก็ถูกกกระหน่ำว่าเป็นพวกใจง่าย  และมีคนปล่อยข่าวลือเสียหายในขณะที่เธอใช้ชีวิตแต่งงานกับพระเอกดัง เซียะถิงฟง และยังมีลูกด้วยกันแล้ว     พวกเค้าหย่าขาดจากกัน 3 ปีต่อมาหลังจากที่เกิด scandal ภาพหลุด แม้หลายปีที่ผ่านมาเธอจะมีผลงานในวงการอยู่บ้าง  แต่ก็เปรียบเทียบกับยุคเรืองรองของเธอไม่ได้เลย 

ตอนที่แจ้งเกิดในหนังโจวซิงฉือ  เธอรับบทเป็นสางบาร์กร้านโลก  แต่เมื่อเอาเครื่องสำอางสีเข้มออกไปหลงเหลือแต่ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติก็ทำให้หลายคนหลงไหลในความสวยใสที่ดูไร้เดียงสา  แต่เมื่อค่อยๆไต่ระดับความโด่งดังขึ้นมา จางป๋อจือก็แสดงออกชัดเจนว่า เธอไม่ใช่สายแบ๊ว (จนชาวจีนฮ่องกงหลายคนอาจจะมองว่าแรง)  พอมาเจอ scandal เข้าไป  เจ้าตัวต้องตราหน้าจากสังคมด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ  หลายคนเชื่อว่า ภาพที่หลุดมาคือหลักฐานมัดตัวว่าเธอนอกใจสามีไปมีอะไรกับ playboy แห่งวงการ  หนักที่สุดก็ข่าวลือเรื่องลูกชายเป็นลูกชู้ไม่ใช่ลูกเซียะถิงฟง  แต่ก็มีการค้านกลับว่า นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะแต่งงานกับเซียะถิงฟง   กว่าจะข่าวนี้จะจางหายไปได้ก็ตอนที่ลูกๆของเธอโตขึ้นและมีหน้าไปทางพ่อกันทั้งสองคน 



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE