เรื่องน่ารู้ของดาราเชื้อสาย AsianในยุคทองHollywood

56 11
ลองจินตนาการวงการหนัง Hollywood เมื่อหลายสิบปีก่อน  คำว่า diversity ยังไม่ปรากฏ   แต่เมื่อผู้กำกับอยากทำหนังเกี่ยวกับคนเอเชียน  เรื่องของ casting จะออกมาเป็นรูปแบบใด? 



ใช่ค่ะ.. เค้าจับดาราหนังผิวขาว  มาแต่งเป็นคนเอเชียน  แล้วเล่นเป็นกลุ่มแกงค์ทรงอิทธิพลใน China Town!

 Netizen จีนเคยฮือฮากับภาพของนางเอกดังจากผลงานหนังในยุค 30s ว่ามีใบหน้าด้านข้างเหมือนกับฟ่านปิงปิงราวกับเป็นคนเดียวกัน  และบรรยายว่า  หรือนี่จะเป็นชาติก่อนของฟ่านปิงปิงกันแน่
แต่แท้จริงแล้ว  เธอเป็นนางเอกสาวผิวขาวดวงตาสีอ่อนที่ไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับนางเอกจีนตัวแม่แห่งยุคปัจจุบันนัก    แต่ต้องใช้เทคนิคการแต่งหน้าหลายชั่วโมงในการสวมบทบาทเป็นสาวเอเชียน  ไม่ต่างจากพระเอกและนักแสดงคนอื่นๆในหนังเรื่องนี้  
หรือจะเป็น icon อย่าง  Katharine  Hepburn   ที่เคยใช้เทคนิคการแต่งหน้าแปลงร่างเป้นสาวจีนในหนังเรื่อง Dragon Seed

ดูออกกันไหมว่า นี่คือ Marlon Brando  พระเอกในตำนานที่ใช้ special effect เพื่อแปลงกายเพื่อแปลงกายเป็นหนุ่มญี่ปุ่นหนัง The Teahouse of the August Moon   ในยุค 50s
ในยุคปัจจุบันที่ผุ้คนจำนวนมาได้ให้ความสำคัญกับ Political Correctness  หากมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น คงไม่พ้นกระแสโจมตีจนถูก cancel    (  อย่าว่าแต่ white-washing หรือรับบทไม่ตรงกับ race   ทุกวันนี้ เมื่อนักแสดงที่มีร่างกายปกติมารับบทผู้พิการยังถูกวิจารณ์เสียๆหายๆ)     แต่ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน  นี่เป็นสิ่ง "ปกติ"   นักแสดงเชื้อสายเอเชียนที่ก้าวมาสร้างชื่อเสียงโด่งดังมีจำนวนพอจะนับหัวได้เท่านั้น

ถึงกระนั้น ก็ยังมีนักแสดงเชื้อชายเอเชียนสร้างชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่ยุคหนังเงียบ เรื่องราวการไขว่คว้าสู่เส้นทางความเป็นดาว Hollywood จะน่าสนใจเพียงใด ลองมาติดตามกัน



Sessue Hayakawa


หนุ่มญี่ปุ่นที่คว้าตำแหน่งพระเอกสุด sexy เมื่อร้อยกว่าปีก่อน!

คุณอาจจะต้องประหลาดใจเมื่อได้ทราบว่า  พระเอกหนุ่มที่สร้างความคลั่งไคล้จนรุ่นหลังเปรียบเทียบว่า เขาคือ Sex Symbol ลำดับต้นๆในวงการหนังอเมริกา  ไม่ได้เป็นหนุ่มผิวขาวที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่  แต่เป็นชายชาตรีที่เดินทางมาจากญี่ปุ่น   เขาประสบความสำเร็จสูงมากจนได้ก้าวเข้ามาอยู่ในกลุ่มพระเอกค่าตัวแพงที่สุดในปี 1919 ที่หนังเงียบกำลังได้สร้างกระแสฮือฮา  ถึงปัจจุบันนี้ ชือของเขาก็ยังปรากฏบันทึกลงที่  Hollywood Walk Of Fame ที่นักแสดงจำนวนมาก Hollywood ปรารถนา  เพราะนั่นคือสัญลักษณ์ที่ชี้ความสำเร็จในวงการมายาแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน

ชีวิตที่พลิกผันทำให้ลูกชายแห่งตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสูงและมีฐานะมีอันจะกินเกือบต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือตนเอง       เขาเติบโตด้วยการเลี้ยงดูอย่างเช้มงวดด้วย วิถีแห่งนักรบซามูไร  และได้รับการปลูกฝังให้ไขว่ค้าสร้างเกียรติยศความก้าวหน้าจากการสมัครเข้าทัพเรือ   แต่เพราะอุบัติเหตุในระหว่างการดำน้ำทำให้ร่างกายบาดเจ็บจนไม่ตรงกับคุณสมบัติที่ทัพเรือได้กำหนดไว้  สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้พ่อของSessue  (หรือชื่อจริงคือ Kintaro) มองว่าเขาเป็นความล้มเหลวที่นำความเสื่อมเสียมาให้ครอบครัว   ความกดดันนี้ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยวิธีเซ็ปปูกุหรือคว้านท้องทั้งๆที่มีอายุได้เพียง 18 ปี  แต่เพราะยังไม่ถึงคราว ทำให้พ่อแม่ได้มาพบก่อน   หลังจากบาดแผลจากการพยายามฆ่าตัวตายได้หายดีแล้ว   Sussue ได้เดินทางมายังอเมริกาเพื่อศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยตามความคาดหวังใหม่ของครอบครัวที่ต้องการให้เขาเข้าทำงานในสายการเงินการธนาคาร แต่กลับเดินสายสู่วงการแสดงที่ LA   และออกห่างจากความหวังของครอบครัวออกไปไกลไม่หวนกลับมา


ทั้งๆที่ความขัดแย้งจากสงครามโลกทำให้กระแสต่อต้านความเป็นญี่ปุ่นในอเมริกาก่อตัวรุนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ   แต่ผลงานหนังเงียบของ Sussue  ประสบความสำเร็จตั้งแต่เรื่องแรกๆ ห   โดยเฉพาะความสำเร็จจาก The Cheat  ที่ทำให้แฟนๆชาวอเมริกันปักใจในภาพของหนุ่มญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์แบบ bad boy และอันตรายแต่ก็เบ้ายวนจนห้ามใจไม่ไหว    เขาน่าจะเป็นนักแสดงเอเชียนคนแรกที่ได้รับบทนำในหนังรัก  แม้จะเป็นบทที่ร้ายกาจเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม
อาชีพนักแสดงของ Sussue พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดและสร้างรายได้มากมายไม่ต่างจากนักแสดงระดับท็อปในปัจจุบัน  แต่เขาต้องพบกับความอึดอัดคับข้องใจเพราะนายทุนให้ความสำคัญกับกระแสแอนตี้ญี่ปุ่น  แม้ว่าเขาจะมีสถานะหนุ่มร้อนแห่งวงการหนังเงียบ  แต่ไม่สามารถออกจากกรอบ stereotype คนญี่ปุ่นที่ถูกตัดสินด้วยอคติว่า เป็นชนชาติที่ร้ายกาจ  ภาพลักษณ์นี้ทำให้ Sussue โหยหาบทนำที่แสดงความเป็นฮีโร่ จึงตัดสินใจสร้างบริษัท production ขึ้นมาเพื่อการสร้างหนังที่ตรงกับความใฝ่ฝัน   แต่แม้ว่าจะเคยทำเงินมามากมายก่ายกอง  แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่อง lifestyle สุดฟุ่มเฟือย  ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มเงินซื้อของราคาแพงไปจนถึงละลายทรัพย์ในบ่อนการพนัน  เขาจึงยืมเงินจากเพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยถึงหนึ่งล้านเหรียญมาตั้งบริษัทของตัวเอง และทำเงินได้มากพอจ่ายหนี้คืน    เขาสร้างอิทธิพลได้มากจนได้รับการเชื้อเชิญให้พบประธานาธิบดีแห่งอเมริกา เคยทัวร์การแสดงในฝรั่ง รวมถึงการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ของกษัตริย์อังกฤษ
อคติต่อคนญี่ปุ่นในอเมริกาส่งผลกระทบต่อการสานต่ออาชีพนักแสดงในยุคของหนังที่มี sound  แต่เขาสามารถโลดแล่นต่อในวงการจนได้รับเล่นบทพันเอก Saito ใน The Bridge on the River Kwai  และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลOscar สาขานักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยม และใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบที่ดินแดนอาทิตย์อุทัยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน



Anna May Wong



สาวแซ่บที่ทำให้คำว่า American Asian เลื่องลือ



เพราะเกิดในครอบครัว immigrant ชาวจีน แต่concept ของชาวอเมริกันเชื้อสายจีนยังแปลกใหม่มากสำหรับผู้คนในยุค 1920s ทำให้ Anna May Wong ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนก้าวมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักแสดงเชื้อสายเอเชียนรุ่นใหม่ คุณเชื่อไหมว่า ช่วงเริ่มต้นที่เธอพยายามสร้างชื่อเสียงนั้น เธอไม่สามารถแสดงบทจูบหรือแสดงความรักด้วยการสัมผัสกับนักแสดงผิวขาวได้ เพราะนั่นขัดต่อกฎหมาย!

แม้ว่าเธอจะได้รับข้อเสนอให้ร่วมเล่นหนัง Hollywood แต่ Anna May ต้องพบกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะผู้สร้างหนังไม่เปิดใจให้เธอรับเล่นบทอื่น นอกจากสาวเอเชียนตัวร้ายอันเป็น stereotype ของ Hollywood ในขณะนั้น


เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อดังอเมริกันว่า

"บทที่ฉันได้รับแสดงทำให้ฉันต้องเหนื่อยใจมาก ทำไมคนจีนต้องได้เล่นเป็นแต่ตัวโกงในหนัง ต้องแสดงเป็นคนจิตใจโหดร้าย ชอบเข่นฆ่าผู้อื่น เป็นอสรพิษร้ายกาจ เราไม่ได้เป็นแบบนั้นนะคะ "

ภาพของนางร้ายจีนที่ติดตามผู้ชมทำให้เธอเล่นตลกร้ายหลายครั้งว่า ไม่ว่าจะเล่นหนังเรื่องใดถึงตอนจบก็ต้องตายอยู่ดี



แม้จะสร้างความฮือฮาจากบทนำหนัง Daughter of Shanghai และสร้างชื่อจากการทัวร์การแสดงในเยอรมนีและอังกฤษ แต่ Anna May ต้องพบกับความรวดร้าวใจ เมื่อผู้สร้างนักบอกปฏิเสธเธอในการ cast หนัง The Good Earth ที่ตัวละครจากหนังสือต้นฉบับเป็นสาวชาวจีน แต่นางเอกที่ถูกเลือกให้แสดงบทนี้คือ Luise Rainer ที่ไร้ความเป็นเอเชียนในตัว ในยุคที่เรื่องของ yellow face ไม่ได้เป็นเรื่องขัดต่อศีลธรรมความเชื่อของคนหมู่มาก Anna May อาจจะต้องชอกช้ำไปกว่าเดิม เมื่อ Luise Rainer คว้ารางวัล Oscar จากการแสดงเป็นทาสสาวชาวจีน โดยที่ผู้บริหาร MGM ได้ให้เหตุผลว่า "ระบบของนักแสดงอเมริกันไม่ได้เอื้อให้เธอเอื้อมถึงบทนี้" แตเหตุผลดังกล่าวได้ขัดกับคำพูด producer ผู้คัดเลือกที่ให้ความเห็นว่า "เธอไม่สวยพอที่จะรับบทนี้ " มีรายงานว่า ทาง studio ได้เสนอให้เธอรับอนุภรรยาผู้ยั่วยวนแทน แต่เธอยืนหยัดว่ต้องการรับบทนางเอกเท่านั้น และเรื่องราวก็ไม่ได้จบที่ happy ending ของเธอ  แต่เป็นนางเอกอีกคน

นักวิจารณ์บางคนมองว่า นอกจากปัญหาเรื่องการแบ่งแยกเชื้อชาติ ภาพลักษณ์ที่แหวกกรอบค่านิยมของ Anna May อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้นักสร้างหนังที่ล้วนแต่เป็นชายทรงอิทธิพลละเลยต่อความสามารถของเธอเพราะข่าวฉาวจากชีวิตที่โลดโผน ทำให้เกิดอคติว่า ไม่เพียงแต่จะเป็นนางร้ายผู้ยั่วยวนในจอเท่านั้น นอกจอ สื่อกอสสิปตีข่าวฉาวว่าเธอลอบคบชู้กับผู้กำกับทั้งๆที่ยังเป็นสาววัยทีนทำให้เธอมีภาพลักษณ์สาวอันตรายที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้สามีพวกเธอเข้าใกล้ ทั้งยังมีกฎหมายต่อต้านการแต่งงงานข้ามเชื้อชาติในหลายรัฐที่ทำให้ผู้คนมองเธอเป็นพวกแหกคอก บทนางเอกที่เธอใฝ่ฝันจึงปลิดปลิวไปจากอคติของสังคม




แท้จริงแล้ว Anna May ต้องพบกับการ bully  จากคนในสังคมที่ไม่เปิดใจยอมรับความแตกต่าง  เธอเคยเรียนร่วมกับเด็กอเมริกัน(คนขาว) แต่ก็รัมือกับการกลั่นแกล้งไม่ไหว จนต้องย้ายไปที่โรงเรียนจีน  แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ละเลยภาษาอังกฤษแต่อย่างใด เธอเติบโตขึ้นมาแบบสองวัฒนธรรม  และไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดฉุดรั้งความฝันที่จะเป็นนักแสดง   แม้ว่าพ่อที่ยังเคร่งครัดเรื่องจารีตดั้งเดิมของจีนจะขัดขวางไม่ให้เธอไปออดิชั่นหนัง ถึงขั้นกักขังไว้ในห้องก็ยังไม่สามารถหยุดเธอได้   Anna May ได้เป็นนักแสดงสมใจ    และใฝ่เรียนรู้ภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสจนพูดได้คล่องแคล่วทั้งๆที่ไม่ได้รับการศึกษาสูงนัก  เมื่อเดินทางไปแสดงละครเวทีที่อังกฤษ   สำเนียงสาวแคลิฟอร์เนียนของเธอเรียกเสียงวิจารณ์จากผู้ชมอย่างหนัก  แต่เธอสามารถพลิกสถานการณืได้โดยการเทรนกํบโค้ชเพื่อพูดสำเนียงผู้ดี   เมื่อได้รับข้อเสนอให้ประชันบทบาทกับนางเอกอังกฤษก็ร้อนแรงจนสื่อฮือฮาว่าแย่งซีนนางเอกไปหมด


ในอเมริกายังตั้งแง่ขนาดนี้   ที่จีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้ตอบรับกับชื่อเสียงของ Anna May อย่างอบอุ่นนัก    เพราะจารีตประเพณีแบบดั้งเดิมก็ต่อต้านผู้หญิงที่ "ปีกกล้าขาแข็ง" ไม่ยอมทำตัวว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว    แต่ Anna May  ไม่ได้ยอมแพ้ต่ออคตินั้น    หลังจากเล่นหนังดังมาแล้วหลายเรื่อง   เธอก็เดินทางไปยังดินแดนที่พ่อแม่จากมา  แม้ว่าจะได้เป็นนักแสดงที่ชาวจีนภาคภูมิใจ และตั้งแง่ว่าเธอดูเป็นสาวอเมริกันที่แรงจนเกินไป  แต่นอกจากจะตามไปพบครอบครัวในจีนและศึกษาวัฒนธรรมที่เป็นรากเดิมของเธอ   Anna May ยังได้ตั้งกองทุนและออกเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแผ่นดินใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม   
Anna May ยังเป็นตัวแทนของสาวผู้รักเสรีแห่งศตวรรษที่ 20      เธอประกาศอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่แต่งงาน  เหตุผลน่ะเหรอ


"ฉันใช้ชีวิตอย่างเปิดกว้างมากเกินที่จะยอมรับทัศนคติของคนจีนในการปฏิบัติกับภรรยาราวกับง่าพวกเธอเป็นสิ่งของ ฉันยังดูแตกต่างมากเกินไปที่จะแต่งงานกับคนที่ได้อยู่ในกลุ่มคนจีน" เธอน่าจะพูดเป็นนัยๆเรื่องกฎหมายห้ามแต่งงานระหว่างคนเอเชียนกับผู้ชายผิวขาวนั่นเองค่ะ ถ้าไม่ fit in สักที่  ก็จะแต่งไปทำไม  ?



ถ้าเธอได้สร้างความโด่งดังในยุคนี้  เธอจะโลดแล่นไปได้ไกลมากขนาดไหนนะ ?





Merle Oberon



นางเอกอังกฤษที่ต้องปิดบังชาติกำเนิดเพราะสังคมที่ไม่ยอมรับความแตกต่าง

การสร้างตัวตนใหม่ด้วยคำโกหกในยุคนี้อาจจะต้องทำให้หลายคนต้องพบกับพิษสงของ cancel culture อย่างกรณีภรรยาของ Alec Baldwin เพิ่งถูกแหกว่าสร้าง story เรื่องย้ายจากสเปนมาเรียนต่อที่อเมริกาตอนวัยทีน ปลอมสำเนียงสแปนิช และแสร้งว่านึกคำว่าแตงหวาในภาษาอังกฤษไม่ออก แต่มีการยืนยันจากอดีตเพื่อนในโรงเรียนและเพื่อนบ้านว่า เธอเกิดและเติบโตในครอบครัวที่ร่ำรวยในอเมริกา และเดินทางไปพักผ่อนที่สเปนหลายครั้งเท่านั้น ตลอดหลายวันมานี้ สื่อกอสสิปชื่อดังได้ขยี้เรื่องความลวงไปพร้อมกับเสียงเย้ยหยันจากชาวเน็ท ในขณะที่เจ้าตัวพยายามหาทางลง แต่ก็ถูกตอกกลับด้วยหลักฐานจนดูไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป


แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน เชื้อสายเอเชียนคืออุปสรรคสำคัญของนักแสดง Hollywood แม้ว่าจะมีนักแสดงเอเชียนในวงการมาก่อนแล้ว แต่ดังที่ได้อธิบายไว้ว่า การแต่งงานระหว่างคนผิวขาวกับคนเชื้อชาติอื่นเป็นสิ่งผิดกฎหมายในหลายรัฐเป็นเวลาร้อยๆปี หากเปิดเผยชาติกำเนิดว่าเป็นลูกครึ่ง ความฝันทีมีชื่อเสียงในฐานะนักแสดงดังอาจจะต้องถูกปิดฉากลงก็เป็นได้




นางเอกที่ได้รับการยกย่องว่าติดอันดับสาวงามที่สุดใน Hollywood ได้ระบุโพรไฟล์ว่าเกิดที่แทซเมเนีย ออสเตรเลีย และอุบัติเหตุไฟไหม้ทำให้เธอไร้เอกสารยืนยันสถานที่เกิด สำเนียงอังกฤษที่นุ่มนวลและรูปลักษณ์ของสาวผิวขาวไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกสะกิดใจกับการเปิดเผยข้อมูลของเธอ

แต่แท้จริงแล้ว เธอได้ปิดบังเชื้อสายเอเชียนของตัวเองอยู่เบื้องหลังศิลปะภาพยนตร์ที่ยังเป็นสีขาวดำ   นักวิจารณ์บางคนเชื่อว่า  ผู้กำกับ Alexander Korda ที่กลายมาเป็นสามีของเธอในภายหลังได้ใช้เทคนิคการถ่ายทำให้ผิวของเธอดูสว่างขึ้นในจอ  บวกกับการใช้ makeup ที่ขาวกว่าเฉดผิวจริงช่วยให้เธอมีลุคของนางเอกสาวจากอังกฤษโโยไม่มีใครตั้งข้อสงสัย
การลงรายละเอียดว่าเกิดที่ดินแดนแสนไกลอีกฟากโลกอย่างแทซเมเนียช่วยให้เธอหลบเลี่ยงไม่ให้คนอื่นใส่ใจตามหาชาติกำเนิด   เธอสามารถเก็บงำความเป็นจริงที่ว่า ตัวเองเกิดที่มุมไบได้เกือบตลอดชีวิต     ยิ่งมีความพยายามขุดค้นหาตัวตนของเธอลึกลงไปเท่าไร  ก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจมากขึ้น
มีการเปิดเผยภูมิหลังของครอบครัวทางแม่ Merle ว่าเป็นชาวแองโกลอินเดียน  หรือกลุ่มชาวอินเดียนที่สืบเชื้อสายผสมสานจากชาวอังกฤษที่เดินทางเข้ามาในช่วงอาณานิคม   แต่ผู้ที่เธฮเข้าใจว่าเป็นแม่มาหลายปี  กลับเป็นยายที่ยังอยู่ในวัยสาว   ถูกต้องแล้ว  Merle เป็นทายาทของผู้หญิงที่เป็นคุณแม่วัยทีนต่อกันสองรุ่น   เริ่มตั้งแต่ยายของเธอที่ให้กำเนิดบุตรสาวด้วยวัย 14 ปีเท่านั้น    ไม่ทันที่ยายจะเข้าวัยสามสิบ   Merle ก็ถือกำเนิดจากแม่ที่เป็นเพียงเด็กหญิงวัย 12    ส่วนพ่อที่ระบุในใบทะเบียนคือวิศวกรชาวอังกฤษฝ่ายซ่อมบำรุงทางรถไฟผู้เป็นคนรักของยาย     ยายของเธอพยายามปิดบังเรื่องนี้ไว้ด้วยการเลี้ยงดู Merle ในฐานะลูกสาวเสียเอง   ทำให้ Merle เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ว่า  แม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงเป็นพี่สาว  หลังจากผู้เป็นพ่อได้เจ็บป่วยจนเสียชีวิต   ครอบครัวเธอก็ต้องทนลำบาก อาศัยในห้องเล็กๆในมุมไบ  จนค่อยๆฟื้นฟูฐานะขึ้นมาจนเธอได้เดินทางไปยังอังกฤษเป็นครั้งแรกตอนที่อายุ 17 ปี


( บางแหล่งข่าวตีความว่า  พ่อของเธออาจจะเป็นคนรักวิศวกรชาวอังกฤษของยายที่ทำบัดสีกับลูกเลี้ยงวัย 12 จนตั้งครรภ์ แต่บางแห่งก็เชื่อว่า  ยังไม่สามารถฟันธงตัวตนพ่อทางสายเลือดของMerle ได้อย่างชัดเจน)
มีรายงานว่า

- นักแสดงอังกฤษคนหนึ่งได้ถูกตาต้องใจ Merle จนขอเธอออกเดท แต่เมื่อได้ค้นพบอย่างบังเอิญว่า แม่ของเธอคือหญิงผิวเข้มที่อาศัยที่บ้าน (แท้จริงคือยายของเธอ เพราะแม่ที่ให้กำเนิดเธอนั้นแต่งงานใหม่มีครอบครัวไปแล้ว) เขาก็ขอยุติความสัมพันธ์ เพราะไม่สามารถยอมรับชาติกำเนิดของหญิงสาวเลือดผสมได้

- เลื่องลือว่า เธอจะแนะนำแขกที่มาหาที่บ้านว่าหญิงผิวสีเข้มในบ้านเป็นสาวรับใช้ของเธอ


- มีการสันนิษฐานว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการปั้นตัวตนขึ้นมาใหม่เพื่อปกปิดเชื้อสายที่แท้จริงคือผู้กำกับที่กลายมาเป็นสามีเธอนั่นเอง นั่นรวมไปถึงคำลวงที่ว่า พ่อผู้เป็นทหารกล้าได้เสียชีวิตไป เธอจึงได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ทูนหัวที่เป็นชนชั้นสูงในอินเดีย

- น้องชายต่างพ่อ (ซึ่งเชื่อมาตลอดว่าเธอคือน้าสาว) ได้ค้นพบความจริงจากใบทะเบียน และพยายามขอเข้าพบเธอ แต่เธอปฏิเสธ

- เธอตัดชื่อของหลานชายคนหนึ่งเพราะเขาเขียนหนังสืออัตชีวประวัติครอบครัวที่เปิดเผยเรื่องบ้านเกิดที่แท้จริงของเธอ





- คำกล่าวอ้างว่าเกิดในออสเตรเลียได้กลับมามัดตัวเธอในช่วงที่เข้าวัยกลางคน จากการเดินทางเยือนซิดนีย์เพื่อโพรโมทผลงาน สื่อออสซีก็รุมตั้งคำถามเรื่องนี้จนเธอแสดงความอึดอัด และยกเลิกงานโพรโมทด้วยเหตุผลของความเจ็บป่วย ช่วงบั้นปลายของชีวิต เธอได้รับคำเชืญจากผู้ว่าการเมืองหลวงในแทซเมเนียให้มาเยือน "ถิ่นเกิด" อีกครั้ง แต่หนนี้กลับแตกต่างไป ผู้ว่าการได้ค้นพบเพียงไม่นานก่อนจะเปิดงานกาล่าตืนสู่เหย้าว่า เธอไม่ได้เกิดที่ออสเตรเลีย แต่เขาก็ยินดีที่จะ "เนียน" เพื่อรักษาหน้าตาให้กับนางเอกดัง แต่เพราะความกดดันทำให้เธอพลิกเรื่องไปอีกแบบ เธอปฏิเสธว่าไม่ได้เกิดที่แทซเมเนีย แต่อาศัยอยู่ที่เกาะไม่กี่ปีหลังจากพ่อของเธอเจ็บป่วย และใช้ข้ออ้างเดิมในการปิดคำถามคือ ปวยจนไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้

- หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้วหลายสิบปีจึงมีการยืนยันจากน้องชายต่างพ่อกับสื่อออสเตรเลียในเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริง ข้อมูลตรงกับคนวงในเพียงไม่กี่คนที่รู้เบื้องลึกถึงเชื้อชาติของเธอ รวมไปถึงคนจากโรงเรียนที่อินเดียก็ยังจดจำเธอได้

อีกสิ่งที่สร้างความฮือฮาในยุคนั้นคือรอบแผลเป็นบนใบหน้าของ Merle  แน่นอนว่าใบหน้าเป็นสิ่งสำคัญในการโลดแล่นใน Hollywood    หากมีรอยแผลเป็นไม่น่ามองขึ้นมาก็อาจจะทำให้ชีวิตนางเอกดังต้องถึงทางตัน  Merle เคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และมีการแพ้เครื่องสำอาง+ยาร่วมกัน  แม้ว่าจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  แต่ก็ไม่สามารถทำให้รอยแผลเป็นเลือนหายไปได้   Lucien Ballard ช่างภาพถ่ายหนัง (ว่าที่สามีคนที่สอง)  จึงได้ใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่ตั้งใจให้แสงเงากระทบที่ใบหน้าอำพรางรอยแผลเป็นได้เนียนสนิท และยังดูงดงามแปลกตา และตั้งชื่อเทคนิคนี้ว่า The Obie ที่เป็นชื่อเล่นจากนามสกุลของเธอนั่นเอง

   หลายคนถือว่า  Merle เป็นนักแสดงเชื้อสายเอเชียนคนแรกที่ได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัล Oscar ในบทนำจากหนัง The Dark Angel     แต่สิ่งที่ทำให้เศร้าใจคือ  รูปลักษณ์ของฝรั่งผิวขาวคือเหตุผลสำคัญที่เธอประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุคที่กีดกันผู้ที่เกิดจากพ่อแม่ต่างเชื้อชาติ   ทั้งๆที่เป็นหญิงงามในระดับที่เธอยังออกปากว่า ตัวเองไม่มีทักษะที่ช่วยให้โด่งดังในวงการแสดงมากนัก แต่สิ่งที่ทำให้แจ้งเกิดในวงการได้คือใบหน้าอันสวยงาม เธอจำต้องเก็บความลับเรื่องเชื้อชาติไว้      และถึงแม้ว่าแม่ (ยาย) ชาวแองโกลอินเดียนจะมีความสำคัญกับเธอเพียงใด    ก็ไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้

นับแต่ช่วงยุค 60s เป็นต้นมา  "ตราบาป" ที่ลูกครึ่งถูกยัดเยียดให้ต้องรู้สึกอับอายก็ได้จางหายไปเรื่อยๆ  จากความสำเร็จของ Nancy Kwan   สาว sexy ลูกครึ่งฮ่องกง - สก็อท  ที่คว้าบทนำจากหนัง Hollywood เรื่องแรกก็ดังเปรี้ยง  บท Suzie แห่ง The World of Suzie Wong   ทำให้ Nancy ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รูปร่างหน้าตาที่ดึงดูดใจทำให้ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นฺBrigitte Bardot  เวอร์ชั่นจีน  และกลายเป็นนางเอกนำติดต่อกันในหนังหลายเรื่อง   แม้จะยังต้องพบกับเรื่อง stereotype คนเอเชียนในการทำงานวงการแสดงมาโดยตลอด  เธอจึงหันมาเขียนบทและร่วมสร้างหนังเพื่อให้ผู้คนได้เข้าใจคนเอเชียนมากขึ้นอีกด้วย



The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE