Toner จำเป็นหรือสิ้นเปลือง?

49 13
Toner จำเป็นหรือสิ้นเปลือง
เป็นคำถามโลกแตกที่รักก็เจอคนรอบตัวถามมาเยอะพอสมควร
ส่วนตัวรักเองถ้าให้ตอบเลย
ก็คือทั้งจำเป็นและไม่จำเป็นในคราวเดียวกัน
หมายความว่ายังไง?
เรามาเริ่มจากนิยามก่อนเลยค่ะ

? Tonerคืออะไร
Toner ถ้านับเป็น รูปแบบทางยา (Pharmaceutical dosage form)
จะใกล้เคียงกับ Solution ซึ่งนิยามคือของเหลวใส ไม่มีตะกอน
อาจจะมีความข้นเล็กน้อย แต่ต้องใสและเทไหลได้

ที่ต้องบอกว่าใกล้เคียงกับ solution
เพราะว่าเดี๋ยวนี้ก็จะเจอ Toner ใสบ้าง ขุ่นบ้าง
แต่ที่ยังเหมือนเดิมคือความเหลวจ๋องแจ๋ง และมาขวดเทเหยาะๆ รูปแบบต่างๆ
และการใช้ก็คือใช้เช็ดทำความสะอาดผิวหลังจากล้างหน้า และก่อนลง Skin care
ซึ่งก็จะมาในสูตรต่างๆแล้วแต่ประเภทของผิวเลย

แต่โดยรวมแล้วนิยามที่คนทั่วไปรับรู้
Toner ก็คือ skin care ชนิดนึงที่มีไว้เช็ดทำคามสะอาดใบหน้า

#หน้าที่กว้างๆของ Toner ที่ทุกคนเข้าใจตามการโฆษณาในตลาดคือ 
1. ทำความสะอาด อีก 1 ขั้นตอนเพื่อขจัดคราบใดๆที่เหลือหลังจากล้างหน้า
2. ปรับสมดุล pH หลังจากล้างหน้าเพื่อให้ skin care ขั้นต่อไปซึมได้ดี
3. เป็น Skin care สำหรับบำรุงตามประเภทผิว เช่น กระชับรูขุมขนป้องกันการอุดตัน ควบคุมความมันบนผิว etc.

ทีนี้เรามาดูทีละมุมดีกว่าว่าเป็นยังไง มันจำเป็นหรือสิ้นเปลืองกันแน่นะ?

? การทำความสะอาด ?
รัก
ต้องขออนุญาตออกตัวก่อนเลยนะคะ
ว่าในการใช้เพื่อทำความสะอาด มุมนี้รักอาจจะไม่ค่อยเห็นด้วยค่ะ เนื่องด้วยหลายปัจจัยดังนี้

? ในแง่กฎหมายทางเครื่องสำอาง
ถ้าเราสังเกตฉลากภาษาไทยหรือจะภาษอังกฤษก็ได้
Toner จะถูกจัดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดค่ะ

? ในแง่ของสูตรส่วนผสม
ถ้ามาเช็กกันดีๆใน Ingredient list
ก็ไม่มี surfactant เลยซักตัวค่ะ
(ปล. สารลดแรงตึงผิว เป็นสารที่มีส่วนมีขั้วและไม่มีขั้ว
จับกับสิ่งสกปรกให้ออกไปพร้อมกับน้ำ)
เพราะฉะนั้นการทำความสะอาดจะมาจากการใช้สำลีที่มีน้ำ Toner เช็ด
ว่าง่ายๆ คือใช้แรงในการเช็ดออก
ไม่ได้ใช้สารสำหรับทำความสะอาดจริงๆในการล้างออกนั่นเองค่ะ
ไม่ได้อาศัยองค์ประกอบทางเคมีของสูตร ในการทำความสะอาดสักเท่าไหร่
แต่ถ้าสูตรเป็น Alcohol based อันนี้ก็อีกเรื่องนึงค่า

? ในแง่การทำความสะอาด
หากสาวๆคนไหนที่ใช้ Make up remover ก็แล้ว
ใช้โฟมล้างหน้าก็แล้ว แล้วมาใช้ Toner และพบว่าสำลีก็ยังคงดำอยู่
อย่าเพิ่งดีใจว่า Toner ที่เรากำลังใช้อยู่จะดีนะคะ
จริงๆแล้วรักว่าถ้ามามองย้อนกลับไปมันต้องมีอะไรผิดปกติ
ใน step ของการทำความสะอาดผิวแล้วหละ
แปลว่าแท้ที่จริงแล้วเรากำลังล้างหน้าไม่สะอาดกันอยู่รึเปล่า

เพราะฉะนั้นกลับไปเช็กที่ step ของการทำความสะอาดดูก่อน
ว่าผลิตภัณฑ์ที่เราเลือกมาทั้งหมด
มันทำหน้าที่ตาม function หลักของสูตรจริงๆใช่มั้ย
แล้วเราใช้อย่างถูกต้องด้วยหรือเปล่า

ละเมียดละไมใช้เวลามากพอในการทำความสะอาดจริงๆใช่มั้ย
เพราะถ้ามาเช็กและไขตรงนี้ทั้งจุดของ product และการใช้งาน
แล้วกลับมาใช้ Toner อีกรอบอาจจะพบว่าไม่มีรอยดำบนสำลีเลยก็ได้
สุดท้ายเราอาจจะตัด step Toner เพื่อการทำความสะอาดไปเลยก็ได้ค่ะ

? ปรับสมดุล pH หลังจากล้างหน้าเพื่อให้ skincare ขั้นต่อไปซึมได้ดี ?
อันนี้รักค่อนข้างเห็นด้วย แต่เห็นด้วยอยู่ครึ่งเดียวนะคะ

จริงอยู่ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวมี pH ค่อนไปทางด่าง
  และทำให้ผิวหน้าเสียสมดุลทาง pH อันนี้จริงค่ะ
ส่วน Toner ที่ถูกออกแบบสูตร ให้มี pH ให้ใกล้เคียงกับผิว
เพื่อที่จะเป็นขั้นแรกในการดึง pH ผิวลงมาในสภาวะปกติ อันนี้ก็จริงค่ะ

แต่มีข้อเท็จจริงนึงที่อยากจะบอกเกี่ยวกับความฉลาดของร่างกาย
ร่างกายเราสามารถปรับสมดุล pH ของผิวให้มาอยู่ในสภาวะปกติได้
จริงๆร่างกายเราปรับตัวค่อนข้างเก่งเลยหละ
ถ้าไม่ได้อยาในสภาวะที่ extreme จนเกินไป
ก็ปรับเข้าสู่สภาพปกติได้ไม่ยาก

เพราะฉะนั้นถ้าจะช่วยร่างกายในการปรับตัวตรงจุดนี้
ก็ถือว่าใช้ได้ในวงเล็บที่ว่า Toner นั้น
ต้องอยู่ใน pH ที่เหมาะสมกับผิวจริงๆ
ไม่ใช่ว่าใส่ Salicylic acid หรือสารอื่นๆ
ที่ทำให้ pH ต่ำมาเชียว
อันนี้ปรับ pH สวิงเกินไปมาก
จะพังไปซะอีกนะ

? นแง่ของการช่วยเตรียมผิว ?
รักเชื่อว่าอันนี้จริง จริงในกรณีที่ว่าอาบน้ำเสร็จแล้วขี้เกียจทาครีมแหละ
ขอเล่นเกมส์ ขอดูซีรี่ย์ก่อน แล้วค่อยมาทาครีมก่อนนจะนอนจริงๆ
ค่อยมาเริ่มขั้น Toner
การที่ผิวมีความชุ่มชื้นก่อนที่จะลง Skin care
ความชุ่มชื้นจะทำให้การซึมของ Skin care ดีขั้น อันนี้จริง

เพราะทำให้โตรงสร้างของผิวมันหลวมๆนิดนึง Skin care ก็จะยิ่งซึมได้ดีขึ้น
แล้วที่เราเคยได้ยินที่เค้าสอนๆกันมาว่า
ให้ทาครีมหลังอาบน้ำไม่เกิน 3 นาที มันก็เพราะเหตุผลนี้นี่แหละ
เพราะหลังอาบน้ำผิวมันจะชุ่มโชก soak ไปด้วยน้ำการซึมผ่านมันจะดีกว่ามาก
แต่ถ้าขี้เกียจทา Skin care หลังอาบน้ำทันที Toner ก็พอจะช่วยตรงนี้ได้ดีทีเดียว

ส่วนที่รักบอกว่าเห็นด้วยแค่ครึ่งเดียวในหัวข้อนี้ก็เพราะว่า
ถ้าเปลี่ยวิธีการจากเช็ดเป็นทาแล้วตบเบาๆ ทำ hand press ที่หน้า
อันนี้จะตอบโจทย์หน้าที่ของ Toner ในข้อนี้ได้อย่างดีเยี่ยมเลยหละ

? Toner จัดเป็น Skincare
อันนี้รักก็เห็นด้วยครึ่งนึงเหมือนเดิม
เพราะการบำรุงผิวให้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ควรมาด้วยวิธีการใช้สำลีเช็ดออก
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นวิธีทาแบบทาทิ้งไว้ (Skin care leave on)
ทาให้ผิวหน้ารู้สึก fresh ชุ่มชื้น ก็จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า
การใช้ Toner เพื่อหวังผลการบำรุงผิว เช่น กระชับรูขุมขน หรือคุมความมัน
มันก็จะได้ผลตามวัตถุประสงค์ของ Toner มากกว่าค่ะ

ก็สรุปเลยง่ายๆ
? ถ้าในมุมการทำความสะอาดรักมองว่าTonerสิ้นเปลือง
เราควรจะทำให้ขั้นตอนการทำความสะอาด มันมีประสิทธิภาพในขั้นตอนของมันเอง
มากกว่าเอา Skin care บำรุงผิวในรูปน้ำ มาเช็ดทำความสะอาด
ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของมันจริงๆ ทั้งในแง่ตัวสูตรและกฎหมาย
ยิ่งถ้าเป็น Toner มีแอลกอฮอล์
ก็จะไม่รู้เลยว่าจะทำความสะอาดผิวหรือจะทำร้ายผิวกันแน่

?การเตรียมผิว ปรับ pH และฤทธิ์แบบ Skincare
การปรับ pH โดยรวมจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย
เพราะร่างกายก็ปรับสมดุลเล็กๆน้อยๆได้ตามปกติอยู่แล้ว
แล้วถ้าเป็นสูตรที่มีความเป็นกรดมากกว่าปกติ
เช่น พวกสูตรคุมความมัน ลดการเกิดสิว
ก็จะทำให้ pH ของผิวเหวี่ยงมากกว่าเดิมไปอีก
.
แต่ถ้ามองเรื่องการปรับสภาพผิวก็อาจจะจำเป็น
ถ้าเราไม่ได้ทา skin care ทันทีหลังอาบน้ำ
การใช้ Toner ก็จะเป็นการทำให้ผิวชุ่มน้ำ
ทำให้โครงสร้างผิวเอื้ออำนวยก่อการดูดซึม skin care
แต่ก็ต้องมาให้รูปของการใช้แบบ Leave on นะ ไม่ใช่ทาแล้วเช็ดออก
ซึ่งถ้าใช้แบบ Leave on
เราก็จะหวังผลการเป็น skin care ของ Toner
ได้อย่างที่เราตั้งใจอีกด้วย
.
?สุดท้ายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า?
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ กับสิ่งที่สูตรเป็นจริงๆ
มันอาจจะไม่ได้แมตช์กันเสมอไป
#เราต้องมาคิดเวิเคราะห์บนความเป็นจริงที่สูตรนั้นต้องการทำก่อน
#พฤติกรรมการดูแลผิวของเราเป็นยังไง
#ประเภทผิวของเราเป็นยังไง
.
เพราะฉะนั้นขั้นตอนของ Toner
จะมีความจำเป็นหรือสิ้นเปลืองมันจะอยู่ที่เรานี่แหละ
ไม่ใช่ขั้นตอนบังคับ ที่ต้องทำอย่างที่คนอื่นๆทำ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเล่ากันมานะคะ

#เพราะรักจึงบอก
#รัก
#เภสัชกรเครื่องสำอาง


RukCosmeticsPharmacist

RukCosmeticsPharmacist

สวัสดีค่ะทุกคนๆๆ ภญ.อิศรีญา เพชรผ่องใส อายุ 30ปี >////<เรียกง่ายๆว่า "รัก"ได้เลยค่ะ
อาชีพของรัก คือ เภสัชกรเครื่องสำอางค่า ขอเล่าที่มาคร่าวๆตัวรักเองจบเฉพาะทางสาขาเครื่องสำอางมาจากรั้วจุฬาเป็นเด็กเภสัช 6 ปีรุ่นแรก ซึ่งก็มีความรู้เรื่องยาตามปกติ ต่อมารักทำงานเป็น R&D Pharmacist คิดสูตรเวชสำอางและนวัตกรรม ทำ skincare ส่งในประเทศและให้ต่างประเทศหลายๆแบรนด์ เช่น THE BODY SHOP, SOAP&GLORY etc.
จากประสบการณ์ทั้งหมดที่มีทั้งสองด้าน รักเลยอยากมาแชร์ความรู้ประสบการณ์เครื่องสำอาง ปัญหาผิวและยา ให้ทุกคนๆได้รู้แบบที่รักรู้เพื่อให้เกิดความตระหนักและใช้เครื่องสำอางอย่างสมเหตุสมผล นำไปสู่ความเชื่อว่าทุกคนดูดีในแบบที่ตัวเองเป็น และสนับสนุนความเชื่อที่ว่าเครื่องสำอางไม่มีเพศ เป็นสิ่งที่ทั้งชายทั้งหญิงรวมถึงเพศทางเลือกอื่นๆสามารถใช้ได้ และไม่ควรมีใครถูกบูลลี่จากการใช้เครื่องสำอาง
สุดท้ายนี้ รักก็ขอฝากคอนเทนต์ความรู้ที่รักตั้งใจเขียนมากๆจริงๆและฝากทุกๆคนช่วยกันผลักดันความเชื่อดีๆเกี่ยวกับเครื่องสำอาง และการใช้อย่างสมเหตุสมผลให้ออกไปสู่สังคมกว้างๆด้วยน้าา

FULL PROFILE