[รีวิวเจาะลึก] T'else เอสเซ้นส์ชา ตัวท็อปในเกาหลี !! ตอบโจทย์ทุกผิวพัง

102 16
WITH <strong>T'else</strong> / ร่วมงานรีวิวกับแบรนด์ :)

สวัสดีค่า มาเจอกันอีกแล้ว 


วันนี้โดนัทมีผลิตภัณฑ์ที่กำลังมาแรงมากจากแบรนด์ T’else ซึ่งเป็นสายคลีนบิวตี้จากเกาหลี  

เน้นความเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ธรรมดาตรงที่มีงานสิทธิบัตร และงานวิจัยรองรับถึงผลลัพธ์ชัดเจน 

แปลว่าเราสามารถหวังผลจากผลิตภัณฑ์ได้จริงค่ะ 


ซึ่งทั้ง 2 ขวดนี้ เป็นเอสเซ้นส์ที่มีความสามารถที่ดี เหมาะกับผิวเริ่มแก่ชรา เจออะไรก็ระคายเคืองง่าย ไม่ชุ่มชื้น และรู้สึกว่าต้องการการบำรุงพื้นฐานเพื่อทำให้ผิวแข็งแรง และสมดุลขึ้น 


ซึ่งก่อนที่จะได้ลองเอสเซ้นส์จากแบรนด์ T’else คือโดนัทมีความตื่นเต้นมาก >< 

เพราะว่าโดนัทได้อ่านข้อมูลของผลิตภัณฑ์มาว่า Neopharm เป็นผู้ผลิต 

 (บริษัท  Neopharm   เค้าเป็นบริษัทที่มาตรฐานสูงมากในด้านผลิตภัณฑ์ค่ะ)

ดังนั้นบทความนี้โดนัทขอแบ่งเป็น Chapter เพื่อแยกให้อ่านง่ายนะคะ เพราะว่าบทความอาจจะยาวค่ะ

  • Neopharm คือใคร 

  • รู้จักแบรนด์ T’else 

  • ข้อมูลของ T’else Kombucha Teatox Essence / ผลลัพธ์หลังใช้

  • ข้อมูลของ T’else Jeju Artemisia True Essence / ผลลัพธ์หลังใช้

  • สรุปความสามารถของ Essence ทั้ง 2 ตัว  << ใครอยากอ่านสรุปเลื่อนไปด้านล่างหัวข้อนี้ได้เลยค่ะ

Neopharm คือใคร ?

Neopharm เป็นบริษัทเครื่องสำอางที่โด่งดังในเกาหลี ผลิตภัณฑ์ที่หลายๆคนอ่านแล้วต้องนึกออกถึงเทคโนโลยี MLE เสริมชั้นผิวให้แข็งแรงนั่นเองค่ะ

บริษัท Neopharm เค้ามีการทำสิทธิบัตรหลายฉบับ และสกินแคร์ของแบรนด์ก็เป็นอันดับ 1 ด้านการดูแลผิวระคายเคืองง่ายในเกาหลีถึง 10 ปีติดต่อกัน  

แบรนด์ T’else คืออะไร ?

นี่คือเหตุผลที่โดนัทเองตื่นเต้นมากตอนที่จะลองผลิตภัณฑ์ 2 ชิ้น ที่มาจากแบรนด์ T’else (ที-เอ๊ลส์)

ที่มีความหมายตรงตัวว่า 

TEA + ELSE = T’else

ชาจากธรรมชาติ        +  ส่วนประกอบที่มีการยืนยันทางคลินิกว่าดีต่อผิว = องค์ประกอบรวมของของชาและส่วนประกอบที่ดีเพื่อดูแลปัญหาผิว

โดยสิ่งหนึ่งที่ประทับใจมากก็คือ เค้าโน้มเข้าสู่วิถีทางธรรมชาติทั้งในส่วนประกอบของตัวผลิตภัณฑ์เอง ที่เน้นความน้อยแต่มาก ให้ผิวเราได้เจอแต่สิ่งที่จำเป็นสำหรับผิวจริงๆ 

อย่างที่เค้าบอกว่า Little thing changes everything 

นั่นคือสิ่งเล็กๆย่อมนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง 


โดยทาง T’else อยากให้การเปลี่ยนแปลงเล็กๆนี้มีผลในด้าน

  • เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อาจยิ่งใหญ่สำหรับผิว
  • เปลี่ยนแปลงโดยการคัดเลือกส่วนประกอบบำรุงผิวจากธรรมชาติ
  • เปลี่ยนแปลงในด้านแพ็คเกจจิ้งเพื่อความยั่งยืนของธรรมชาติ

ตั้งแต่น้ำที่ใช้ในสูตรก็ลดการใช้น้ำปกติลง ใช้เป็นน้ำที่มาจาก Plant origin water ในที่นี้คือน้ำชา

และแพคเกจจิ้งที่ใช้ก็พยายามจะใช้กระดาษreusable 

นอกจากนั้นบนขวดจะมีบริเวณว่างให้เราเขียนวันที่เปิดได้อีกด้วย

Products ทั้งหมดของ T’else มี 4 ชิ้นค่ะ

Kombucha Teatox Essence

#TeaToxEssence #GlowingSkin


Jeju Artemisia True Essence

#JejuArtemisiaEssence #CalmingEssence


Kombucha Teatox Essence Mask

#TeaToxMask #MoisturizingCalmingMask 


Lavender Relief Hydrogel Mask

#SoundSleepMask #RealPetalMask


และ 2 ผลิตภัณฑ์ที่โดนัทได้ใช้มาและอัพเดทตลอดใน IG Story คือ Essence เบอร์ 1 และ 2 นั่นเองค่ะ

ดังนั้นโดนัทเลยจะขอมารีวิว 2 ชิ้นเด็ดนี้ให้อ่านกันนะคะ 

Kombucha Teatox Essence

Tea +else = T’else

Kombucha + Hyaluronic Acids = Sensitivity teatox &Moisture filling

Kombucha Teatox Essence  เหมาะกับใคร ?

ถ้าเช็คได้ 1ใน 3 ข้อนี้ ถือว่าเหมาะค่ะ 

  1. ผิวดูหมอง
  2. รู้สึกผิวหยาบกร้าน
  3. มีสิว หรือสิวขึ้นง่าย ผิวมัน 
  4. ผิวหมองคล้ำ

ส่วนประกอบอะไรในสูตรที่ช่วยดูแลปัญหาผิว ?

ในสูตรใช้ตัวชูโรงคือ Kombucha ถึง 74% ในสูตร นอกจากนั้นจะเป็น Hyaluronic acids และ base สร้างเนื้อเอสเซ้นส์ค่ะ

เรามารู้จัก Kombucha กัน

Kombucha (คอมบูฉะ) เป็นเครื่องดื่มชาผ่านการหมักซึ่งใครที่เป็นสายสุขภาพต้องรู้จักแน่นอน

ซึ่งการนำชามาใช้ข้อดีคือเราจะได้ส่วนประกอบดีๆ ของตัวชาเอง และได้ by products ในขั้นตอนของการหมัก 

ซึ่งคอมบูฉะ สกัดมาจากชา ดังนั้นจึงได้ประโยชน์เต็มๆจากสารสกัดจากใบชา (Camellia Sinensis Extract) ซึ่งจะมีสารสำคัญนั่นคือกลุ่ม Polyphenol, Catechin เช่น EGCG 

โดยสารสกัดจากใบชามีข้อมูลการศึกษามากมายว่ามีฤทธิ์ทั้งด้านแอนตี้ออกซิแดนท์, ยับยั้งเอนไซม์ที่สลายไฮยาลูรอน  (Anti-hyaluronidase) , ต้านอาการอักเสบ (Anti-inflammatory), ปกป้องผิวจากการทำร้ายโดยรังสี UV (Photoprotective) 

และยังมีฤทธิ์ลดการหลั่งน้ำมันบนผิว ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับรูขุมขนที่ดูเล็กลง 

ซึ่งทางแบรนด์ T’else เอง ก็ได้มีการทดสอบกับอาสาสมัคร ซึ่งพบว่า หลังจากใช้ 2 อาทิตย์ พื้นที่รูขุมขนของอาสาสมัครลดลง 7.2% ค่ะ 

สำหรับกระบวนการผลิต Kombucha จะใช้ชา และการหมักบ่ม โดย

  1. สกัดชาจากใบชา (ในกรณีของ T’else ใช้ใบชาอัสสัม ที่รู้จักกันว่าเป็นชาที่ดีที่สุด 3 ลำดับแรกของโลก)
  2. แล้วนำมาหมักใน Onggi นั่นก็คือโอ่งดินเผาของเกาหลี ซึ่งในกระบวนการหมักบ่มจะใส่น้ำตาลเพื่อเป็นอาหารของเชื้อ และใส่เชื้อตั้งต้น หรือ SCOBY (symbiotic colony of bacteria and yeast) แล้วรอเวลา  ( ปกติการหมักบ่มจะอยู่ในช่วง 3 วัน และมากสุดที่ 60 วัน)
  3. เราจะได้ Kombucha พร้อมกับแผ่นที่คล้ายๆเจล ที่เรียกว่า SCOBY ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเกิดจากการที่แบคทีเรียสร้างเส้นใยเซลลูโลสขึ้น เพื่อปกป้องระบบจากรังสี UV
  4. ตอนนี้ในกระบวนการต่างๆของยีสต์และแบคทีเรีย จะทำให้ชาที่หมักมี pH ที่ต่ำลงและควรหยุดกระบวนการหมักที่ pH ประมาณ 4.2 เพื่อไม่ให้มีการผลิต Acetic Acid ที่มากเกินไป 
  5. ซึ่งสารอาหารเพิ่มมากขึ้น ทั้ง Prebiotics, Amino acids, Probiotics เช่น Lactobacillus sp., Lactococcus sp., Leuconostoc sp., Bifidobacterium sp., Thermus sp., and Allobacullum sp.,

สรุปคือ เราจะได้สารบำรุงมากมายใน Kombucha นั่นเองค่ะ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจะขึ้นอยู่กับชนิดชา วิธีการหมัก และ เชื้อตั้งต้นค่ะ

ส่วนประกอบของแบคทีเรียและยีสต์ใน Kombucha

Amino Acids ที่อยู่ใน SCOBY

สำหรับการศึกษาของ Kombucha กับผิวจะยังมีจำกัด ซึ่งที่เจอจะเป็นการทดสอบในหลอดทดลอง พบว่ามีความสามารถในการยับยั้งเชื้อราในกลุ่ม Malassezia ซึ่งจะต้องนำไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อคอนเฟิร์มว่าสามารถยับยั้งหรือแก้ปัญหาผิวหนังที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อ Malassezia ได้


เนื่องจากเชื้อราตัวนี้เมื่อเจริญเติบโตมากกว่าปกติจะก่อปัญหาของรูขุมขนอักเสบจากยีสต์ หรือที่เราเรียกกันว่า สิวยีสต์ได้ค่ะ   ดังนั้นเราคงต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อคอนเฟิร์มผลกันต่อไปนะคะ

ซึ่งในส่วนประกอบอื่นนอกจาก Kombucha แล้วยังมี Hyaluronic Acid ตั้งแต่ 


  1. SODIUM HYALURONATE
  2. HYDROLYZED HYALURONIC ACID
  3. HYDROXYPROPYLTRIMONIUM HYALURONATE
  4. SODIUM ACETYLATED HYALURONATE

นั่นคือการผสานไฮยาลูรอนหลายๆขนาดโมเลกุล เพื่อให้แต่ละขนาดโมเลกุล ให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ในหลายๆชั้นผิว ตั้งแต่เติมให้ผิวอิ่มฟู ไปจนถึงเคลือบเพื่อดึงความชุ่มชื้นจากอากาศเข้าสู่ผิวค่ะ 

นอกจากนั้นกลุ่ม Postbiotics ในสูตรมี


BIFIDA FERMENT FILTRATE 

LACTOBACILLUS FERMENT

LACTOBACILLUS FERMENT LYSATE


โดย Bifida Ferment Lysate นี้มีความสามารถปกป้องผิวจากการทำลายของ UV ในงานวิจัยพบว่าสามารถเพิ่มความแข็งแรงของผิว เพิ่มเกราะปราการผิว และทำให้ผิวระคายเคืองลดลง 

เช่นเดียวกันกับ  Lactobacillus Ferment ที่มีผลลดปัญหาผิวที่เกิดจากการทำลายของรังสี UV ค่ะ

และยังมี CALENDULA OFFICINALIS FLOWER EXTRACT

ที่มีฤทธิ์ Anti-inflamatory (ลดการอักเสบ) , ลดการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้น

ADENOSINE ที่มีฤทธิ์ปลอบประโลมผิว (soothing) และนอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ให้พลังงานแก่ผิวเพื่อผิวดูอ่อนเยาว์

และ  ARGININE ที่เป็นกรดอะมิโน มีฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนท์ค่ะ 

และในสูตรมี Oil จากธรรมชาตินั่นคือ BERGAMOT FRUIT OIL, ORANGE PEEL OIL, CLARY OIL, TANGERINE PEEL EXTRACT, CYMBOPOGON MARTINI OIL อยู่ท้ายๆสูตร 

ซึ่งทางแบรนด์มีการวิเคราะห์ออกมาแล้วพบว่ามีปริมาณ Fucocoumarin ต่ำมาก (0.00000009942%) เพื่อยืนยันว่าเมื่อใช้แล้วผิวจะไม่ไวต่อแสงค่ะ 

ซึ่งสูตรนี้มี pH อยู่ ที่ประมาณ 5 ซึ่งถือว่าพอเหมาะกับผิวค่ะ

เนื้อสัมผัส

เป็นเนื้อเอสเซ้นส์ที่หนืดเล็กน้อย ใช้ง่าย ไม่เหลวมาก กลิ่นอ่อนหอมละมุนกลิ่นชาหอมๆเลยค่ะ 

เวลาทาลงบนผิวแล้วรู้สึกได้ว่าเนื้อเอสเซ้นส์มีบอดี้ สามารถทิ้งความชุ่มชื้นบนผิวได้ดี เมื่อกดลงผิวจะรู้สึกถึงความชุ่มได้ และความชุ่มชื้นนั้นส่วนหนึ่งซึมสู่ผิว อีกส่วนรู้สึกได้ถึงความชุ่มชื้นบ้างๆที่แผ่อยู่บนผิวค่ะ

ถือเป็นเนื้อสัมผัสที่ดี โดนัทชอบมากโดยส่วนตัว และคิดว่าทุกสภาพผิวน่าจะชอบค่ะ

วิธีใช้

ตามที่แบรนด์แนะนำ จะแยกเป็นเช้า และเย็นค่ะ


ตอนเช้า

เราจะเทเอสเซ้นส์ชุ่มๆบนสำลีแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า


ตอนกลางคืน

เน้นบำรุงเข้มข้น เราจะเทลงบนฝ่ามือ แล้วกดประคบลงบนผิวหน้า


และเนื่องจากเนื้อสัมผัส และประสิทธิภาพสามารถ Adapt ได้อีก 

จึงสามารถใช้ในเวลาที่ไม่สบายผิวได้

นั่นคือ เวลาผิวระอุ หรือมีอาการแสบ ระคายเคือง สามารถเทเอสเซ้นส์ลงในเม็ดมาส์กให้ชุ่มแล้วมาส์กหน้า หรือถ้าไม่มีเม็ดมาส์กสามารถเทลงบนสำลีแปะลงบนหน้าผาก, แก้ม, รอบปาก แล้วทิ้งไว้ 5-10 นาทีได้ค่ะ

ผลลัพธ์หลังใช้

หลังจากที่ลองใช้ 2 แบบ 

  1. ใช้เป็นบำรุงชิ้นเดียวช่วงกลางวัน รู้สึกว่าเอสเซ้นส์สามารถให้ความชุ่มชื้นได้ทั้งวัน และทำให้ผิวดูฉ่ำ 
  2. ใช้แทรกเข้ามาในรูทีนช่วงกลางคืน ช่วงนั้นมีอาการระคายเคืองผิวจากการออกแดดนานๆค่ะ หลังใช้รู้สึกได้ว่าผิวสลบลง 
  3. เมื่อใช้ต่อเนื่องติดกันเป็นเวลา 1เดือน รู้สึกได้ว่ารูขุมขนดูกระชับขึ้น ผิวมันน้อยลง โดยรวมดูสมดุลดีมากขึ้น


สรุปคือชอบมากตั้งแต่ฟีลลิ่งในการใช้ไปจนถึงผลลัพธ์หลังใช้เลยค่ะ 

และเรามารู้จักกับเอสเซ้นส์ชิ้นที่ 2 กันค่ะ  นั่นคือ 


Jeju Artemisia True Essence

Tea +else = T’else

Jeju Artemisia + Panthenol = Skin trouble relief, Hydrating



สำหรับสูตรนี้ใช้ Minimal Ingredients จริงๆค่ะ เพราะมีส่วนประกอบแค่ 3 ชนิด 

นั่นคือ 


Jeju Artemisia 98% ในสูตร 

มี Panthenol หรือวิตามิน B5 1.98% 

และที่เหลือ 0.02% คือ Acrylates/C10-30 Alkyl Acrylate Crosspolymer ที่ช่วยปรับ Texture และ pH ให้ใช้แล้วรู้สึกสบายค่ะ

Jeju Artemisia True Essence เหมาะกับใคร ?


คนที่ผิวเซ้นซิทีฟ ไวต่อการกระตุ้น ผิวแดง ผิวแพ้ระคายเคืองง่าย

คนที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์บำรุงที่ทั้งใช้ความชุ่มชื้น และปลอบประโลมผิว

ที่มีความสามารถลดอาการระคายเคืองเด่นๆ


และทุกคนที่ต้องการใช้ สามารถใช้เสริมลงในรูทีนปกติของเราได้นะคะ 

ส่วนประกอบอะไรในสูตรที่ช่วยดูแลปัญหาผิว ?

 

แน่นอนค่ะ ตามชื่อเค้าเลยคือ Artemisia ที่เค้าใช้เป็น Genus Scoparia โดยถูกใช้เป็นยามายาวนาน

ในตัวของพืชเองมีน้ำมันหอมระเหยในตัว และมีฤทธิ์ทางยาตั้งแต่ลดไข้, ฆ่าเชื้อ และต้านแบคทีเรีย เป็นต้นค่ะ

ซึ่ง Artemisia ที่ใช้ถูกปลูกที่เกาะเจจู ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่สะอาด มีลมทะเลพัดตลอดเวลา และดินก็มีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์


ซึ่งเค้ามีวิธีการเก็บเกี่ยวและสกัดโดย เก็บเกี่ยวช่วงเดือน พค.- มิ.ย.ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอุ่นที่เกาะเจจู ซึ่งเป็นช่วงที่ต้น Artemisia เจริญเติบโตดี  แล้วนำมาทำให้ปลอดเชื้อที่อุณหภูมิ 70 C แล้วจึงนำมาสกัด แล้วจึงกรองเพื่อกำจัดเชื้อจุลชีพออก เพื่อให้ได้แต่ Active Ingredients 

สำหรับสารสกัด Artemisia มีสิทธิบัตรที่ทำในเกาหลี เป็นภาษาเกาหลี ชื่อว่า Biologically active Artemisia extract 

ซึ่งในสิทธิบัตรเป็นการหาข้อมูลด้าน Anti-inflammatory หรือต้านอาการอักเสบ และ Antioxidant หรือต้านอนุมูลอิสระ 

ของสารสกัดจากใบ Artemisia capillaris และ Artemisia scoparia  ที่สกัดใน Solvents ต่างๆกัน 

ซึ่งผลลัพธ์พบว่า Artemisia scoparia มีความสามารถทั้ง  Anti-inflammatory และ Antioxidant ที่ดี

ดังนั้นจึงสามารถใช้เพื่อลดอาการอักเสบของผิวได้ดีค่ะ 

สำหรับส่วนประกอบเด่นอีกตัวในสูตรคือ Panthenol หรือวิตามินบี 5 ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว (TEWL)  และช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรง 



ซึ่งสูตรนี้มี pH อยู่ ที่ประมาณ 5 ซึ่งถือว่าเหมาะกับผิวค่ะ

เนื้อสัมผัส

เป็นเอสเซ้นส์ที่ค่อนข้างเหลว เวลาทาลงบนผิวรู้สึกเย็นผิว และก็สามารถซึมลงสู่ผิวได้ดี ทิ้งความชุ่มชื้นบนผิวไว้บางๆ 

ไม่ทิ้งความหนึบ เหนอะหนะใดๆ และกลิ่นจะเป็นกลิ่นใบชาบางๆเลยค่ะ 

ซึ่งข้อดีของเนื้อสัมผัสแบบนี้คือการเสริมแทรกลงในรูทีน จะเป็นไปได้ง่าย และสบายผิวมาก ทุกสภาพผิวใช้ได้

วิธีใช้

เช่นเดียวกันกับ Kombucha Teatox Essence  เลยค่ะ 

ตามที่แบรนด์แนะนำ จะแยกเป็นเช้า และเย็นค่ะ


ตอนเช้า

เราจะเทเอสเซ้นส์ชุ่มๆบนสำลีแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้า

ตอนกลางคืน

เน้นบำรุงเข้มข้น เราจะเทลงบนฝ่ามือ แล้วกดประคบลงบนผิวหน้า


และเนื่องจากเนื้อสัมผัส และประสิทธิภาพสามารถ Adapt ได้อีก จึงสามารถใช้ในเวลาที่ไม่สบายผิวได้

นั่นคือ เวลาผิวระอุ หรือมีอาการแสบ ระคายเคือง สามารถเทเอสเซ้นส์ลงในเม็ดมาส์กให้ชุ่มแล้วมาส์กหน้า หรือถ้าไม่มีเม็ดมาส์กสามารถเทลงบนสำลีแปะลงบนหน้าผาก, แก้ม, รอบปาก แล้วทิ้งไว้ 5-10 นาทีได้ค่ะ

ผลลัพธ์หลังใช้

เนื้อสัมผัสเค้าเหลว ดังนั้นเวลาใช้กับเม็ดมาส์กจะง่ายมากๆค่ะ แล้วก็ช่วยลดอาการผิวแดงๆ ผิวระคายเคืองได้ดี นอกจากนั้นใช้กู้ผิวหลังจากเกิดอาการระคายเคืองได้ดีมาก หลังใช้ต่อเนื่องโดนัทรู้สึกว่าผิวไม่ค่อยจะแสบแดงง่ายเท่าเดิม ถือว่าดีมากและชอบมากเลยค่ะ

Tips เด็ดๆเพิ่มเติมสำหรับการใช้คือ ทั้ง 2 ชิ้นสามารถใช้เป็น

  1. FIRST STEP CARE 

เพื่อปลอบประโลมผิว และให้ฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนท์ต่อผิว และเพื่อเตรียมผิวสำหรับการรับการบำรุงในขั้นตอนถัดไป

  1. DAILY CARE

การพกใส่ขวดสเปรย์เพื่อสเปรย์ระหว่างวัน ถือว่าดีมากๆ ทั้งช่วยลดอุณหภูมิผิวและลดอาการผิวแดง ผิวแสบ ระคายเคือง สำหรับใครที่ออกแดดตอนกลางวันแล้วแสบผิว คัน ระคายเคืองผิวค่ะ

  1. BODY CARE 

สามารถทาผิวบริเวณที่มีอาการระคายเคือง เช่น ผิวที่โดนแดดจนมีอาการระคายเคือง เพื่อทำให้ผิวสงบลง

สรุปความสามารถสั้นๆของแต่ละตัวกันอีกทีนะคะ

1. Kombucha 

จากส่วนประกอบจะเด่นด้านแอนตี้ออกซิแดนท์ เพื่อป้องกันปัญหาผิวในอนาคต และยังทำให้ผิวไม่ชราไว Anti-aging รวมทั้งทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย

       สำหรับคนที่เป็นสิวก็จะได้ประโยชน์จากส่วนประกอบของใบชาเช่นกันในแง่การลดความมัน สิวก็จะดีขึ้น และยังทำให้รูขุมขนดูเล็กลง 

และในแง่ของการเติมความชุ่มชื้นแบบบางเบาก็มาจากกลุ่มไฮยาลูรอนในหลายขนาดโมเลกุล และยังมีส่วนประกอบกลุ่ม Postbiotics ที่ช่วยซ่อมแซม และลดความเสียหายของผิวจากรังสี UV ได้อีกด้วยค่ะ

2. Artemisia

ด้วยส่วนประกอบที่มี 3 ชนิด ทำให้ใครที่กังวลเรื่องผิวแพ้ง่าย หรือระคายเคืองง่าย สามารถตัดสินใจลองได้ง่ายเลยล่ะค่ะ 

โดยความเด่นของตัวนี้โดนัทยกให้เป็นเรื่องการลดอาการระคายเคือง ผิวอักเสบ ผิวแดง ช่วยปลอบประโลมให้ผิวเราสบายขึ้น 

และนอกจากนั้นก็ยังมีฤทธิ์แอนตี้ออกซิแดนท์ดีๆอีกด้วยค่ะ


    สรุปว่านี่คือเอสเซ้นส์ 2 ขวดที่โดนัทชอบมาก และตั้งใจอยากเก็บข้อมูลมาให้ครบเพื่อยืนยันว่าอยากให้ทุกคนได้ลองใช้กันนะคะ    


หวังว่าจะชอบบทความนี้นะคะ ขอบคุณที่รับชมค่า  


donut

donut

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะทุกคน
ชื่อโดนัทนะคะ ชอบอัพเดทเครื่องสำอาง และสกินแคร์
รวมทั้งสารใหม่ๆที่ใช้ผลิตเครื่องสำอาง ?
.
เรื่องเครื่องสำอางและสกินแคร์คือเรื่องถนัดที่สุดในชีวิตแล้ว ? (เรื่องอื่นไม่ได้อะไรแล้ว 55555)
.
ยังไงจะมาอัพเดทบทความสนุกๆบ่อยๆนะค้า ❤️

FULL PROFILE