Forbes เปิด WAR เดือด กล่าวหา Kylie หลอกลวงเรื่องความรวยพันล้าน!

58 13
Mouth On The Web เคยเสนอไปในหลายคอนเทนท์ที่ผ่านมาว่า สถานะ Self- Made Billionaire  ของ Kylie Jenner บนหน้าปกนิตยสาร  Forbes  คือหนึ่งในดราม่าที่สั่นสะเทือนโลก Gossipแห่งปี 2019    สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างล้นหลามถึงประเด็นคำว่า Self - Made นั้นเหมาะสมกับการสร้างอาณาจักรในรูปแบบของสมาชิครอบครัวคนดังหรือไม่


แต่กระแสความฮือฮาจากคำว่า Self - Made ที่ได้สร้างความข้องใจให้กับผู้คนมากมายนั้นอาจจะทำให้น้อยคนให้ความสำคัญกับคำถามที่ว่า


"จริงหรือที่ Kylie สามารถสร้างเงินพันล้านจาก Kylie Cosmetics ได้ในเวลาไม่กี่ปี ?"

 
สื่อดังแทบทุกเจ้า ให้เครดิตข้อมูลของ Forbes เต็มที่ และไม่ได้สวนกระแสตั้งข้อสงสัยเรื่องคำว่า Billionaire  แม้จะมีชาวเน็ทบางคนได้ทักท้วงว่า   นี่อาจจะเป็นความผิดพลาดในการคำนวณทรัพย์สินของ Forbes   เพราะสื่อเจ้านี้เคยมีประวัติกลับคำพูดหลังจากนำเสนอความร่ำรวยของมหาเศรษฐีจนรวยเกินจริง    ยกตัวอย่าง คือ Donald Trump และ Wilbur Ross     pattern ที่สื่อดังใช้ก็คือ   เมื่อค้นพบหลักฐานว่า นักธุรกิจผู้ร่ำรวยเหล่านั้นไม่ได้ส่งหลักฐานที่โปร่งใสเพื่อให้พวกเค้าคำนวณ และแต่งตัวเลขเพื่อปั่นมูลค่าทรัพย์สินตัวเองให้ดูรวยขึ้น  Forbes จะส่งบทความออกมาแฉด้วยความมั่นใจในหลักฐานในมือด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบ  เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือจากตอนที่ยกย่องในตอนแรกเลยล่ะ


ยิ่งตอนที่ Kylie ขายหุ้นครึ่งหนึ่งให้กับนายทุนใหญ่อย่าง Coty ด้วยราคา 600 ล้านเหรียญ หลายคนก็เชื่อมั่นเต็มที่ว่า ไม่ว่ายังไง เมื่อรวมกับทรัพย์สินเดิมของเธอ ก็จะทำให้ Kylie มีสถานะ Billianaire อย่างสมบูรณ์ และฟันธงว่า มูลค่าของ Kylie Cosmetics ย่อมสูงถึง 1200 ล้านเหรียญ สองเท่าของราคาตามข้อตกลงกับ Coty


แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ... ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "ภาษี" อยู่

ก่อนที่ Forbes จะออกตัวแรงในการกล่าวหาเธอว่าโป้ปด ก็เคยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการการเงินได้แสดงความคลางแคลงใจในตัวเลขนี้มาแล้ว บางคนฟันธงอย่างมั่นใจเต็มที่ว่า หลังจากเธอได้รับการยอมรับจาก Forbes การเจรจาทำสัญญากับนายทุนใหญ่เพื่อขายหุ้นจะต้องผ่านฉลุยในเร็วๆนี้

และไม่กี่เดือนต่อมาก็มีการเปิดเผยจำนวนเงินมหาศาลที่ Coty ทุ่มซื้อหุ้นจาก Kylie Cosmetics ทำให้สังคมทึ่งกับตัวเลขรายได้ที่จะวิ่งเข้าบัญชีธนาคารของเธอ แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงภาษีที่เธอจะต้องจ่ายกันมากนัก Fox รายงานว่า เธออาจจะต้องจ่ายภาษีสูงถึงครึ่งหนึ่ง และเมื่อธุรกิจของเธอมีบริษัทดังเป็นผู้จัดการ การเข้าถึงตัวเลขรายได้จากยอดขาย product จึงไม่ใช่การได้รับสารจากปากเจ้าของธุรกิจเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป มันทำให้ Forbes มีโอกาสตรวจสอบตัวเลขผลประกอบการในช่วงเวลาหกเดือนที่ผ่านมาของ Kylie Cosmetics และกลายเป็นว่า พวกเค้าได้ค้นพบกับข้อมูลที่สร้างความมั่นใจมากพอให้มาเปิด warกับ นักธุรกิจสาววัย 22



แล้วข้อมูลอะไรล่ะที่ทำให้ Forbes มั่นใจจนลุกขึ้นมาฉะกับเซเลบสาวผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ ?



เมื่อต้องนายทุนก้าวเข้ามาเป็นpartner ทุ่มเงินทุนบริหารจัดการเพื่อขยายแบรนด์จาก startup สู่ความเป็น Global  ตัวเลขรายได้ของกิจการจะไม่เป็นการประกาศปากเปล่าอีกต่อไป


ที่ผ่านมานั้น   มูลค่าจริงๆของ  Kylie Cosmetics มีมากมายเท่าใด    เราก็ได้รับข้อมูล "คร่าวๆ"  ผ่านสื่อต่างๆ ที่ได้รับการยืนยันตัวเลขมาจากทีมงานของ Kylie มาเท่านั้น   แต่เมื่อบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านเข้ามาถือหุ้นครึ่งหนึ่งเพื่อขยายแบรนด์ให้ยิ่งโกยรายได้ในระดับโลก  แต่ก็ยังมีเสียงทักท้วงตามมาว่า  Coty กำลังเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยการทุ่มหมดหน้าตักให้กับ Kylie  Cosmetics ทั้งๆที่มันอาจจะเป็นไปได้ว่า  ยอดขายอลังการงานสร้างของเธอจะเป็น "ราคาคุย"  ไม่ใช่ "ราคาจริง"

แต่ประธาน Coty ได้ยืนยันเจตนารมณ์ในการลงทุนกับ Kylie ว่า

"ไคลี่คือตัวแทนแห่งยุคโมเดิร์น เธอมีสัญชาตญาณยอดเยี่ยมในเรื่องผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ความงาม"  





แต่ Forbes ได้แย้งว่า ...


"แต่จากรายละเอียดสัญญา ความจริงที่อาจจะไม่สวยงามเหมือนที่เคยเห็นก็ได้ปรากฏ   เมื่อ Coty ยื่นเอกสารทางการเงินต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาก็ได้เปิดเผยความลับที่ครอบครัวคนดังได้ร่วมกันปกปิดมาเป็นปีๆได้อย่างหมดเปลือก    ธุรกิจของ Kylie  ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตและทำกำไรมากเท่ากับที่พวกเค้าพยายามชี้นำให้วงการเครื่องสำอางและสื่อต่างๆให้หลงเชื่อ และยังรวมไปถึง Forbes ด้วย"


"แน่นอนเหลือเกินว่าเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว การได้รับการยกเว้น และความจอมปลอม เป็นสิ่งที่ไม่ผิดความคาดหมายไปจากครอบครัวที่ดูเลิศเลอและถูกประเมินค่าสูงถึงปานนั้น เป็นความโด่งดังในรูปแบบ " สร้างความดังจากความป็นคนดัง ไม่ใช่ผลงาน" แต่ก็คล้ายคลึงกับกรณีของ Donald Trump ผู้หมกมุ่นกับการสร้างภาพความร่ำรวยให้เกินจริงยาวนานข้ามทศวรรษ Kylie เองก็หันมามุ่งมั่นในแนวที่ธรรมดานี้บ้างเหมือนกัน ทั้งเชิญให้ทีมงาน Forbes ไปยังที่คฤหาสน์ของครอบครัวและออฟฟิศของผู้ตรวจสอบบัญชี ทำแม้กระทั่งสร้างเอกสารแบบแสดงรายการภาษีที่น่าจะเป็นการปลอมแปลงขึ้นมา แสดงถึงความปรารถนาของคนรวยที่อยากจะดูรวยมากกว่าเดิมแบบเอาเป็นเอาตาย"



( สื่อเจ้านี้ เวลาจะอวยก็อวยจนชาวบ้านหมั่นไส้ว่าทำประจบประแจงเกินไป แต่เวลาจะด่า ก็ทำเหมือนลากมาตบกลางสี่แยก!)


ข้อมูลสรุปย่อๆ จาก Forbes

-  Kylie เล่าว่าได้ใช้เงินทุนส่วนตัวสร้างผลิตภัณฑ์ Lip Kit ขึ้นมา 15,000 ชิ้น และตั้งราคาไว้ที่ 29เหรียญ   " ของขายหมดก่อนที่ชั้นจะกด refresh หน้าเพจอีกค่ะ"




 -  ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Kylie  เริ่มวิ่งเต้นเพื่อจะทำให้เธอขึ้นปก Forbes ให้ได้  พวกเค้าส่งข่าวมาบอกว่า  ดำเนินธุรกิจมาได้เพียงปีครึ่ง ก็ทำรายได้สูงถึง 400 ล้านเหรียญ  และ Kylie ก็คว้ากำไรไปเหนาะๆถึง 250 ล้าน    และยังนำเสนอเอกสารเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในระหว่างการนัดประชุมที่บ้านของแม่ Kris  


- นักบัญชียังได้แสดง tax return ที่มีตัวเลขเงิน 307 ล้านเหรียญ จากปี 2016 รวมกับทรัพย์สินส่วนตัวของ Kylie จำนวน 110 ล้าน และตัวเลขที่รวมกันเกินสี่ร้อยล้านนี้ก็น่าจะทำให้เธอถูกรวมเข้าไปอยู่ในlist มหาเศรษฐีเซเลบของ Forbes แต่ Forbes ยังไม่ปักใจเชื่อ ในเรื่องราวที่ได้รับฟัง แม้เอกสารจะดูน่าเชื่อและมีลายเซ็นของ Kylie รับรอง เพราะการสร้างธุรกิจที่ทำเงินได้มากกว่าสามร้อยล้านด้วยเงินทุนเพียงเท่านั้นฟังดูยากที่จะทำใจเชื่อได้
- Forbes ติดต่อนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญแห่งอุตสาหกรรมความงามหลายคนและได้รับความพ้องต้องกันว่า  คำกล่าวอ้างของบ้าน Jenner  ไม่น่าเชื่อถือ   และได้สรุปตัวเลขรายได้ของเธอในปี 2017 ไว้ที่ 41 ล้านเหรียญ     นักประชาสัมพันธ์ของบ้านนี้ก็ได้เหวี่ยงกลับมาว่า Kris รู้สึกขัดข้องใจอย่างมากมาย    ทั้งๆที่พวกเค้าพยายามแสดงให้เห็นอย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่เพียงพอ

- ไม่นานต่อมา WWD ได้ประกาศรายได้ของ Kylie จากการสร้างธุรกิจในตัวเลขที่เหมือนกับที่ Forbes ได้รับข้อมูลมาจากทีมของเธอเป๊ะ โดยที่ระบุชื่อแม่ Kris เป็นแหล่งข่าวโดยตรง และ WWD ก็ยังยืนยันว่า นี่คือครั้งแรกที่ Kylie ได้เปิดเผยตัวเลขรายได้ของเธอออกสื่อโดยมีหลักฐานเอกสารมายืนยันอีกด้วย ( เป็นการเหน็บแนมจาก Forbes นั่นเองค่ะ เพราะพวกเค้าเห็นข้อมูลนี้มาก่อน แต่ไม่ได้ปักใจเชื่อนั่นเอง)








- ต่อมา Forbes เริ่มเปลี่ยนใจกันมายอมรับข้อมูลรายได้ของ Kylie  เพราะเห็นว่าสินค้าของเธอทำยอดขายดีมากขึ้นเรื่อยๆ    และคิดว่าเอกสาร tax return จากปี 2016เป็นสิ่งยืนยันทรัพย์สินของเธอได้ชัดเจน ในปี 2018  จึงยกให้เธอเป็นว่าที่มหาเศรษฐีพันล้าน และคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของเธอไว้ที่  900 ล้านเหรียญ

- ใน Party วันเกิดครบ 21 ของเธอ  บาร์เทนเดอร์ในงานใส่เสื้อยืดที่มีภาพ Kylie ขึ้นปก Forbes แปะอยู่  แผนการประชาสัมพันธ์ประสบความสำเร็จอย่างดงาม



- Coty เข้ามาซื้อหุ้นด้วยราคาถึง 600 ล้านเหรียญ ข้อสงสัยในความเป็นมหาเศรษฐีพันล้านของ Kylie เลือนหายไป

- นักวิเคราะห์คิดว่า นี่เป็นการลงทุนที่ใช้เงินสูงเกินไปสำหรับแบรนด์ที่ดูแล้วที่แนวโน้มว่าไม่ได้จะอยู่ยงยาวนาน ( ต่างจากแบรนด์ดังอย่าง L'Oreal Paris ฐานผู้บริโภคของเธอคือวัยรุ่นที่ชื่นชอบและอยากจะเป็นเหมือนKylie  หากสักวันหนึ่งที่ความนิยมในตัวเธอตกต่ำลงไป  ย่อมกระทบต่อยอดขาย)  บางคนก็ไถ่ถามว่า   Coty จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเธอจะทุ่มเทช่วยโพรโมทธุรกิจได้ยาวนานหลายปีต่อไปข้างหน้า





อันนี้สำคัญค่ะ


- Coty แสดงรายได้ของ Kylie Cosmetics ในรอบ 12 เดือนก่อนที่จะเข้ามาทำสัญญาว่าทำเงินไปได้ 177 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าที่ประกาศออกสื่อ และ Coty ยังระบุว่า นี่เป็นตัวเลขที่สูงกว่ารายได้ในปี 2018 ถึง 40% นั่นหมายความว่า ในปีนั้น ทำเงินไปได้ที่ 125 ล้าน ไม่ได้ใกล้เคียงที่เธอและทีมงานบอกกับ Forbes ไว้ว่าปีนั้นมีรายได้  360   ล้าน   ประชาสัมพันธ์ของเธอบอก Forbes ว่า Skincare ของเธอทำเงินได้ถึง 100 ล้านในเวลาเพียงเดือนครึ่ง        แต่ในเอกสารกลับมีข้อความกำกับไว้ว่า ผลิตภัณฑ์ของเธออยู่ในระหว่างการทำเป้าให้ถึง 25 ล้านให้ได้ภายในสิ้นปี


- Forbes ตั้งคำถามว่า ถ้าในปี 2018 เธอทำเงินจากธุรกิจไปได้ 125 ล้าน  มีความเป็นไปได้หรือที่รายได้ของเธอจากปี 2016 จะมากถึง 307 ล้านตามเอกสาร tax return ที่นำมาแสดงให้ดู และยังบอกว่าใ ก็บอกว่าทำเงินไปได้ถึง 330 ล้านในปี 2017 อีกด้วย


- หาก Kylie Cosmetics ยอดตกฮวบไปเกินครึ่ง ในระยะเวลาแค่ปีเดียว ก็อาจเป็นได้ว่า Coty ทุ่มเงินหุ้นจากแบรนด์ที่ "เติบโตอย่างรวดเร็ว" แต่กลับไม่ได้ทำงานมากมายเหมือนกับในช่วงปีแรกๆ Coty ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ Forbes เข้าถึงได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยอดขายในธุรกิจจะไม่ทรุดลงไปมากมายเพียงนั้นในเวลาเพียงไม่นาน และถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ Coty จะทุ่มเงินมหาศาลซื้อแบรนด์ที่ยอดตกฮวบไปทำไม ?


- Forbes จึงสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ฝ่ายทีม Jennerได้วางแผนปั้นตัวเลขขึ้นมาและใช้นักบัญชีปลอมแปลง tax return เพื่อจะใช้ Forbes เป็นสะพานเพื่อประเมินรายได้ของเธอให้ดูสูงกว่าความเป็นจริง  แม้ว่า Forbes จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเอกสารพวกนั้นถูกปลอมขึ้นมา แต่ก็คิดว่าน่าจะใช่แน่ และมันก็ดูชัดเจนมาว่า ฝ่าย Kylie นั้นโป้ปดมาตลอด






- ทีมงาน Jenner ยืนยันมาตลอดว่า Kylie ได้รับผลกำไรจากธุรกิจเต็มๆ เพราะเธอเป็นเจ้าของที่มีสิทธิ์ขาดเพียงผู้เดียว แต่ในสัญญาข้อตกลงกับ Coty ได้ระบุชื่อกองทุนเงินที่อยู่ในความพิทักษ์ภายใต้ชื่อแม่ของเธอ พวกเค้าบอกกับ Forbes นี่เป็นกองทุนที่จะรักษาผลประโยชน์รายได้ให้ Kylie จนกว่าเธอจะอายุ 18 แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นมาหลังจากที่เธออายุเลย 18ไปแล้ว     ฝ่ายทีมของเธอปฏิเสธที่จะแสดงหลักฐานยืนยันคำกล่าวอ้างเรื่องกองทุนนี้  จากประวัติของการโกหกและความไม่ชัดเจนของบ้านนี้  ทำให้ Forbes เชื่อว่า  Kylie ไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นแบบเต็มๆเกือบครึ่งตามคำพูดในสื่อ  แต่น่าจะเป็นเจ้าของอยู่ 44.1%  เพราะเชื่อว่าแม่ของเธอเป้นเจ้าของหุ้นส่วนหนึ่งในบริษัทด้วย







Stephanie Wissink ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการ แห่ง Jefferiesได้ให้ความเห็นกับ Forbes ไว้ว่า

" มันไม่เกินไปหากจะบอกว่า ทุกๆอย่างที่ครอบครัว Kardashian-Jennerทำ จะต้องเยอะไว้ก่อน เป็นวิธีรักษาแบรนด์ของพวกเค้า มันจึงจำเป็นต้องให้เกินจริงเสมอ"

Forbes ได้คำนวณทรัพย์สินของ Kylie อีกครั้งหลังจากได้ข้อมูลให้เข้ามา และสรุปว่า แม้จะบวกเงินจากการขายหุ้นให้กับ Coty หลังจากเสียภาษีเป็นจำนวน 340 ล้านเข้าไปด้วย แต่ทรัพย์สินของเธอก็ยังไม่ถึง 1000 ล้าน แต่เป็นเฉียดๆ 900 ล้าน และย้ำชัดว่า ธุรกิจของเธอไม่ได้กอบโกยอย่างถล่มทลายมากเท่าที่อ้างไว้ และมันอาจจะส่งปัญหาให้ Coty ในอนาคต


"ราคาหุ้นของ Coty ตกลงไปถึง 60%  ตั้งแต่ที่ทำสัญญากับ Kylie   แม้กระทั่งคู่แข่งรายสำคัญที่ทำยอดขายได้มากกว่าอย่าง Ulta Beauty และ  Estée Lauder หุ้นก็ยังตกราวรูดไปเหลือเลขตัวเดียว    และนั่นเป็นสิ่งที่ชี้ชัดได้ว่าตลาดหุ้น Wall Street  มองว่า Coty เริ่มต้นไม่สวยเพราะทุ่มซื้อหุ้นจาก Kylie ด้วยราคาที่สูงเกินไป  และไม่มีทางเลยที่จะทำให้ทรัพย์สินของ Kylie สูงไปเกินกว่าพันล้าน  แม้ว่าเธอจะจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองก็ตาม     เราเคยร้องขอข้อมูลจากบ้าน Jenner แสดงข้อมูล  แต่เมื่อใดที่เราเร่งรัดเพื่อให้ได้รับคำตอบในเรื่องข้อมูลที่ขัดแย้งกัน  ครอบครัวที่ปกติจะช่างจำนรรจาก็จะแสดงท่าทีแปลกๆขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและหยุดตอบคำถามของพวกเราไปเลย"



เราเป็นคนหนึ่งที่มองเห็นภาพแม่ Kris ประชุมเครียดผ่านvideo callกับทีมประชาสัมพันธ์เพื่อทางหนทางเคลียร์ตัวเองจากข้อกล่าวหาจาก Forbes แต่เป็นราชินี internet วัย 22 ที่ออกมาโต้ตอบ แน่นอนค่ะว่าเธอต้องเกรี้ยวกราดกับเรื่องนี้ เพราะคำพูดของ Forbes มีแนวโน้มจะทำลายเครดิตของเธอให้พังครืน

" นี่ชั้นตื่นมาเจอกับเรื่องอะไรเนี่ย    ชั้นนึกว่าเป็นเว็บไวต์ที่มีชื่อเสียงซะอีก   มีแต่ข้อมูลตัวเลขที่ไม่ถูกต้องเและการทึกทักไปเองโดยที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้  ชั้นไม่เคยจะขอให้ขนานนามชั้นว่าเป็นอะไรทั้งนั้นและไม่เคยหลอกลวงเพื่อจะได้มันมาด้วย  จบนะ"


Kylie โต้กลับ Forbes ว่า กล่าวหาเธออย่างไร้หลักฐานเรื่องการปลอมแปลง tax return   แต่หลายคนก็นำกรณีของเธอไปเปรียบเทียบกับ Donald Trump  ที่เคยประกาศความร่ำรวยล้นเหลือในยุค 80s  แต่ถูกแฉภายหลังว่านำตัวเลขลวงมาเสนอให้ Forbes เพื่อจะได้อันดับมหาเศรษฐี    เขาตัดสินใจฟ้องร้องสื่อที่เล่นข่าวเรื่องนี้ แต่แพ้คดี  และยังไม่ยอมนำเอา tax return ที่จะมาช่วยพิสูจน์มูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริงมาแสดงต่อศาล   และภาพลักษณ์มหาเศรษฐีจอมสร้างภาพก็ติดตัวเขามาจนถึงทุกวันนี้   ( อย่างไรก็ตาม Trump สามารถต่อยอดความรวยกลายเป็น Billionaire จน Forbes ยอมรับในที่สุด)
แต่เพราะ Forbes สามารถอธิบาย "ความพยายาม"  ของทีมงาน Jenner   เพื่อจะขึ้นปก Forbes อย่างมีลำดับชัดเจน  พร้อมด้วยการแสดงข้อมูลตัวเลขที่แจ่มแจ้งขนาดนี้   สื่อบางเจ้าที่เคยอวยเธอเต็มที่ ก็เริ่มเปลี่ยนน้ำเสียง    และเริ่มขุดคุ้ยหาข้อมูลเพื่อใส่สีตีไข่ให้ข่าวดูแซ่บขึ้นมา 

 อดีตอัยการ LA รายหนึ่งให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาจะเข้ามาตรวจสอบ และหากพบความไม่โปร่งใสที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย  อย่างร้ายที่สุดโทษก็คือจำคุกเลยทีเดียว


ฝ่ายกฎหมายของ Kylie ไม่ได้นิ่งนอนใจ   แถลงการณ์บีบให้ Forbes ถอนคำพูด เพราะนำเรื่องที่ไม่เป็นจริงมาใส่ร้ายกัน  และโจมตีว่า ไม่คาดคิดที่ได้เห็นการกระทำที่ดูไม่จาก tabloid 


Forbes ดูจะไม่หวั่นกับการแตกหักกับครอบครัว Jenner และยืนยันว่าเชื่อมั่นในข้อมูลที่ได้รับมา


"การตรวจสอบอย่างละเอียดล่าสุดนี้เกิดขึ้นจากเอกสารชิ้นใหม่ที่ได้เปิดเผยข้อขัดแย้งระหว่างข้อมูลที่ทางฝั่งผู้สื่อข่าวได้รับมาเป็นการส่วนตัวและข้อมูลที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่  เราได้ค้นพบความไม่โปร่งใสและใช้เวลานานหลายเดือนที่จะค้นหาข้อเท็จจริง   เราขอให้คุณทนายได้ทบทวนอ่านบทความนี้อีกครั้ง"




หลายคนไม่ได้มอง Forbes ว่าเป็นฮีโร่ที่ออกมายึดตำแหน่ง "อายุน้อยพันล้าน" จาก Kylie เพราะก่อนหน้าที่จะนำเธอมาขึ้นปกและอวยด้วยคำว่า self-made จนชาวเน็ทเอือม สื่อดังมีเวลา "ทำการบ้าน" ในการวิเคราะห์ตัวเลขจากแหล่งข้อมูลต่างๆ และยังเคยผ่านกลลวงปั่นความรวยในรูปแบบ Trump Model มาแล้ว การกลับคำพูดไปมาไม่ได้สร้างภาพลักษณ์สื่อที่น่าเชื่อถือให้ Forbes เลย และถ้า Kylie ยังมีทรัพย์สินไม่ถึงพันล้านจริงๆ หลายคนก็เชื่อว่าอีกไม่นานเธอก็ทำได้ !



(  อีกมุมหนึ่ง   เรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ Forbes ชนกับ Kanye West เต็มที่   เพราะในระหว่างคุณพี่เขยนำเอกสารทรัพย์สินมาโชว์ให้ Forbes วิเคราะห์และช่วยประกาศว่าเป็นมหาเศรษฐีรวย 3300 ล้าน     Forbes ก็คงตรวจสอบข้อมูลเรื่องทรัพย์สินของ Kylie อยู่   และข้อมูลเอกสารที่ได้รับมาก็อาจส่งผลให้ทำใจเชื่อสมาชิกครอบครัวคนดังได้ยากกว่าเดิม) 


Forbes บอกว่า  Kylie พยายามมาเป็นปีๆเพื่อจะได้ขึ้นปกในนักธุรกิจสาวพันล้าน

Kylie บอกว่า  ไม่เคยขอร้องให้ยกตำแหน่งนี้ให้เธอสักหน่อย

Forbes มั่นใจว่าเอกสาร tax return ที่อีกฝ่ายยืนยันทรัพย์สินตัวเองถูกปลอมแปลงเพราะตัวเลขขัดแย้งกับเอกสารที่ผู้ถือหุ้นต้องส่งให้หน่วยงานรัฐ

Kylie  โต้กลับว่า เอาหลักฐานที่ไหนมามั่นใจว่าปลอม


แล้วคุณล่ะคะ   มีความโอนเอียงว่าจะเชื่อใครมากกว่า ?


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE