“เชียงใหม่หน้าฝน ชวนไปหลง ฉบับคนไม่มีรถ” – บ้านขุนคอง / นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง / หมู่บ้านแม่กำปอง

55 11
ช่วงนี้ใกล้เข้าสู่หน้าฝนกันแล้ว ? ?  คิดถึงกลิ่นไอธรรมชาติ ⛺️  นอนฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคาสังกะสีจากโฮมสเตย์ของชาวบ้านบนภูเขาขึ้นมา เลยหยิบเอาทริปเชียงใหม่หน้าฝนเมื่อปีที่แล้วมาฝากทุกคนนะคะ ไว้ไปเที่ยวได้เมื่อไหร่ ปลายหน้าฝนต้องจัดกระเป๋าใบใหญ่ออกไปสัมผัสธรรมชาติกันเลย
“ไปที่นี่ไม่เห็นมีอะไรทำเลย”
เราต่างเจอคำถามนี้จากหลากหลายผู้คน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็เคยมีความคิดแบบนี้เช่นกัน จนวันนึง… เราได้รับรู้ว่า “วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ปราศจากความสะดวกสบายใด ๆ มันดีที่สุดแล้ว”
เชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน / เดินทางวันที่ 31 สิงหาคม – 4 กันยายน 2562
ตัวเมืองเชียงใหม่ – บ้านขุนคอง – นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง – หมู่บ้านแม่กำปอง
ทริปเชียงใหม่หน้าฝน ที่อยากชวนทุกคนไปหลงฉบับคนไม่มีรถด้วยกัน
เริ่มต้นทริปด้วยการจองตั๋วกับสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติเวียดนาม งานเข้าโดนเลื่อน Flight เที่ยวในตัวเมืองไม่ทันแล้วจ้าา แต่ไม่เป็นไรคืนนี้พักในเมืองกันก่อนตอนเช้าแวะเดินเล่นและหาของทานที่นิมมานฯ ก่อน Check out
เตรียมตัวไปเชียงดาวกันนนน!! นั่งรถแดงราคา 30 บาท มาเริ่มต้นกันที่ ขนส่งช้างเผือก ซื้อตั๋วรถตู้ที่บริษัทดาวทองขนส่งจำกัด มุ่งหน้ากันที่บ้านขุนคอง จากการหาข้อมูลมาคือ รถจะมี 4 รอบ 07.30 / 10.00 / 13.30 / 15.30 เราเลือกมาถึงที่ขนส่งช่วงเที่ยงเพื่อมาหาข้าวกินและไปรถรอบ 13.30 น. จะได้ไปถึงเชียงดาวไม่เย็นมากนัก แต่เมื่อมาถึงแล้ว กลับพบว่า
“เหลือรถตู้รอบเดียวครับ 15.30” แทบทรุดกันเลยครับพี่น้อง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากจองตั๋วมาในราคาคนละ 162 บาท
ตัดสินใจเดินไปเที่ยวกันที่วัดโลกโมฬี เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ศิลปะล้านนาที่มีความประณีตและสวยงามมาก สร้างขึ้นในสมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่ปรากฏชื่อเป็นครั้งแรกในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช กษัตริย์ล้านนาองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย
ที่ตั้ง: ถนนมณีนพรัตน์ ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง เชียงใหม่
15.30 น. ได้เวลารถออกได้ไปเชียงดาวกันแล้ว

Note: ทางเลี้ยวขึ้นเขาเพื่อไปยังบ้านขุนคองจะมีด่านตรวจ ตรวจสอบให้ดีว่าพกบัตรประชาชนมาด้วยนะคะ

นั่งรถผ่านเขามาหลายต่อหลายลูก ผ่านทั้งสายหมอกและสายฝนที่โปรยปรายตลอดทั้งเส้นทาง ตะวันเริ่มลาลับไป ความมืดเริ่มปกคลุม ก็ยังไม่ถึงสักที สัญญาณโทรศัพท์ก็ขาด ๆ หาย ๆ มีแม่ลูกคู่หนึ่งถึงจุดหมายปลายทาง ณ อำเภอเวียงแหง ทำให้เราค้นพบว่า เรานั่งรถเลย และเลยปลายทางที่เราจะลงมากว่า 27 กิโลแล้ว แต่ยังดีที่ยังมีความเจริญอย่างเซเว่นให้เราได้พักพิง

Note: คำแนะนำการเดินทาง อย่าแจ้งเพียงแค่ที่ท่ารถว่าคุณจะลงที่ไหน โปรดจงกำชับคนขับอีกรอบด้วย ไม่งั้นจะเป็นแบบนี้ ฮ่า ๆ พี่คนขับรถตู้อยากจะย้อนกลับไปส่งเรา แต่ด้วยผู้โดยสารที่ยังเต็มรถและเลยมาไกลมากแล้ว เราเลยโทรหาพี่ที่โฮมสเตย์ที่จองไว้และจะมารับในอีก 40 นาที 
“ความสนุก บางครั้งก็มาจากความไม่สมบูรณ์แบบที่เราพบ
ระหว่างทางนี่แหละ” 
พี่หนุ่ม เจ้าของขุนคองโฮมสเตย์ที่เราได้จองไว้ขับรถมารับเราด้วยตัวเอง พี่หนุ่มยังเล่าให้ฟังอีกว่าเราไม่ใช่กลุ่มแรกที่หลงมาแบบนี้ เคยมีกลุ่มวัยรุ่นหลงไปไกลกว่าเราอีก ไปถึงชายแดนต้องนอนค้างกับทหารที่นั่นเลย
21.00 น. เดินทางมาถึงขุนคองโฮมสเตย์แล้ว ทุกบ้านปิดไฟเงียบต้องอาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์ในการส่องนำทางเดิน นอกจากเสียงเม็ดฝนที่หยดกระทบหลังคาสังกะสีแล้วก็ได้ยินเพียงเสียงหอบของเรานี่แหละที่ต้องเดินขึ้นเนินที่โคตรชันเพื่อเข้าที่พัก
บ้านขุนคอง หมู่บ้านเล็ก ๆ บนยอดภูกลางหุบเขา ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ขุนคองโฮมสเตย์มีทั้งแบบบ้านพักคนละ 700 บาท รวมอาหาร 2 มื้อ และแบบเต๊นท์นอนคนละ 600 บาท รวมอาหาร 2 มื้อเช่นกัน
ไก่เริ่มแข่งกันขันตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง เราค่อย ๆ แง้มหน้าต่างออกดูวิวด้านนอก พบว่าฟ้าเริ่มสว่าง สายหมอกเริ่มมองเห็นแล้ว ไม่ลืมที่จะรีบคว้ากล้องคู่ใจแล้วออกไปสุดอากาศด้วยกัน
อากาศหนาว ทิวเขา และสายหมอก บ้านขุนคองที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาและวิวดอยหลวงเชียงดาวที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็นบรรยากาศที่สวยงามมากจริง ๆ
การมาที่นี่เส้นทางไม่ได้ลำบากอะไรมากนักถนนลาดยางตัดผ่านทั่วถึง มีบางเส้นที่ยังขรุขระอยู่เล็กน้อย แต่เรายังได้เห็นวิถีชีวิตของชาวเขาที่ยังคงใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติที่ยังคงความงดงามชวนให้เรายังไม่อยากกลับออกไปจากที่นี่เลย

Note: สัญญาณโทรศัพท์ True move / AIS เล่น 4G ได้ลื่นปรื๊ดๆ ส่วน Dtac ตายสนิทจ้า
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย พี่หนุ่มก็พาเราไปเที่ยวที่จุดชมวิวเมืองแหง ที่ที่เราหลงเข้าไปเมื่อคืนนั่นแหละ ที่นี่อยู่ในเขตอำเภอเวียงแหง มีร้านกาแฟเล็ก ๆ ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา
ชมวิวกันจนอิ่มหนำก็ได้เวลาเดินทางกลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่แล้ว พี่หนุ่มขับรถมาส่งที่ท่ารถเชียงดาว เพื่อต่อรถบัสกลับไปยังขนส่งช้างเผือก ค่ารถคนละ 40 บาท
วันนี้จะเดินทางต่อไปที่ นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียงกัน
เชียงดาว → ขนส่งช้างเผือก → จอมทอง → แม่แจ่ม → บ้านป่าบงเปียง
แค่ที่จะต้องผ่านก็ไกลแล้ววว~
มาถึงขนส่งช้างเผือกพักทานข้าวให้เรียบร้อย
จากขนส่งช้างเผือก นั่งสองแถวสีเหลืองเพื่อไปคิวรถจอมทอง อยู่ใกล้ ๆ กับวัดพระธาตุศรีจอมทอง ค่ารถคนละ 35 บาท จากนั้นต่อสองแถวเหลืองไปแม่แจ่มในราคา 70 บาท กำหนดเวลาที่รอบรถจะต้องออกคือ 15.30 น. และคนก็เต็มรถแล้วก็ยังไม่ออกสักที จนล่วงเลยมาจนถึงเวลา 16.00 น. กว่า ๆ แล้วก็ถึงจะได้ออกสักที
ระยะทางอันยาวไกลและสายฝนที่เทลงมาตลอดทาง เราก็เดินทางมาถึงอำเภอแม่แจ่มกันแล้ว พี่ศรชัยเจ้าของโฮมสเตย์ที่เราได้จองไว้แนะนำในเราเช่ามอไซค์แล้วขับขึ้นไปเขาบอกว่าขับไม่ยาก แต่เรามาถึงเย็นมากแล้วทำให้ร้านเช่ามอไซค์ปิดพี่เขาเลยหารถชาวบ้านให้มารับเราแทน
ความหฤโหดของเส้นทางทำให้เราค้นพบว่าไม่เช่ามอไซค์ขับขึ้นมาเองน่ะดีแล้ว ไม่งั้นคงได้หลงตั้งแต่ทางเลี้ยวแยกแรก สิ้นสุดทางถนนลาดยางของอำเภอแม่แจ่ม ก็เข้าสู่ถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อแบบเต็มรูปแบบระยะทางไกลมากพอสมควร แต่จริง ๆ แล้วทางไปบ้านป่าบงเปียงยังมีอีกเส้นทางก็คือทางตัดตรงที่ผ่านบริเวณน้ำตกแม่ปาน ทางนี้ระยะจะใกล้กว่ามากแต่เส้นทางก็โหดกว่ามากเช่นเดียวกัน แต่ตอนที่เราไปชาวบ้านที่มารับบอกว่าเส้นทางนั้นยังปิดปรับปรุงถนนอยู่
เส้นทางลูกรัง ถนนเต็มไปด้วยบ่อหลุม ไฟส่องนำทางสักดวงยังไม่มี ประกอบกับสายฝนที่ยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ชักตื่นเต้นแล้วล่ะสิว่าที่ที่จะไปถึงจะสวยคุ้มค่ากับระยะทางหรือเปล่านะ
จริง ๆ ต้องบอกก่อนเลยว่านาขั้นบันไดที่บ้านป่าบงเปียงนี้ ไม่ได้อยู่ในลิสส์ที่เที่ยวเชียงใหม่ที่หาไว้แต่แรกด้วยซ้ำ แต่พอเรามาเจอที่นี่เลยอยากมาและเหตุผลในการมาคือ ลำบากดีแต่ก็ไม่คิดว่าจะลำบากขนาดนี้55555
เดินไปตามคันนาสู่โฮมสเตย์กลางทุ่ง ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปรายถึงสักทีนะ บ้านป่าบงเปียงที่ตั้งของนาขั้นบันไดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย (ยังไม่เห็นล่ะสิ เพราะตอนนี้มืดแล้วฮี่ ๆ)
ที่นี่เป็นหมู่บ้านของชาวเขาปะกาเกอะญอส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครือญาติกัน ชาวบ้านจะปลูกข้าว ข้าวโพดไว้เพื่อกินเอง และเปิดเป็นโฮมสเตย์ไว้ให้นักท่องเที่ยวมาพัก ที่นี่ไร้ซึ่งไฟฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มีเพียงไฟฉายและเทียนให้ใช้ แต่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้าถึง True move ไปรอดอย่างสบาย ๆ ส่วน AIS และ Dtac ค่อนข้างอ่อนและสัญญาณจะหายไปตามสายลมพัด
ช่วงเวลาท่องเที่ยวของที่นี่
ช่วงฤดูดำนาจนถึงเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือน กรกฎาคมจนถึงพฤศจิกายน ของทุกปี
ปลายเดือน ก.ค. – ส.ค. จะเป็นช่วงเริ่มดำนา ต้นข้าวต้นเล็กมองเห็นพื้นดิน และแสงอาทิตย์สะท้อนพื้นน้ำ
ก.ย. – ต.ค. ช่วงนาข้าวเขียวขจีมีความชุ่มชื่นพักผ่อนอย่างสบายตาและสบายใจ
พ.ย. ช่วงนาข้าวสีทองอร่ามและฤดูการเก็บเกี่ยว
เช้าแล้ว และนี่คือวิวที่เปิดประตูออกมาเจอ ตื่นเต้นมาก เพราะสวยมากจริง ๆ มีความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่ตกไปเมื่อคืน
เราเลือกจองที่พักที่บ้านพี่ศรชัย บ้านหลังที่อยู่บนเนินสูงสุด (ไม่รวมบ้านที่อยู่ด้านบนติดกับถนน) ราคาคนละ 500 บาท รวมอาหาร 2 มื้อ (หลังอื่น ๆ ก็ราคาเท่ากันหมดค่ะ) ถ้าเป็นช่วงเทศกาลแนะนำให้จองแต่เนิ่น ๆ เลย เพราะความสวยงามของที่นี่ล้วนแล้วแต่ดึงดูดในนักท่องเที่ยวต้องเดินทางมาสัมผัสสักครั้ง แต่นอกจากจะมานอนค้างคืนแล้วยังสามารถขับรถมาเที่ยวกันแบบ One day trip ได้แบบฟรี ๆ อีกด้วย แถมยังมีร้านค้าและห้องน้ำไว้ให้บริการ
บรรยากาศกระท่อมกลางนา โอบล้อมด้วยนาข้าวและวิวภูเขาเรียงรายกันไปสุดลูกหูลูกตา ยามเช้าที่สดใสด้วยกลิ่นไอฝนสายหมอกที่ปกคลุมเต็มทุกพื้นที่ จุดเล็ก ๆ ในแม่แจ่มที่โคตรแจ่มสมชื่อ
ได้เวลาอาหารเช้าถูกยกมาเสิร์ฟถึงหน้าที่พัก เรานั่งมองสายหมอกที่ค่อย ๆ ล่องลอยเข้ามาจนกระทั่งจางหายไป นั่งใช้ชีวิตช้า ๆ แบบไม่ต้องคิดอะไร ให้ร่างกายให้สัมผัสกับ Oxygen ที่บริสุทธิ์ พักสายตากับทุ่งนาสีเขียว ความเงียบสงบไร้ซึ่งความวุ่นวายใด ๆ เหมาะแก่การมา Reset สมองและร่างกาย ให้ Refresh อีกครั้ง
“ถ้าความสุขอยู่ที่การออกเดินทาง ยากแค่ไหนก็ไม่กลัวอยู่แล้ว”
10.30 น. เรานัดรถจากที่พักกลับไปส่งที่คิวรถแม่แจ่ม เพื่อเดินทางกลับไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ กลับตามเส้นทางเดิมที่เรามา คือสองแถวสีเหลืองไปจอมทองในราคา 70 บาท และสองแถวจากจอมทองไปขนส่งช้างเผือกในราคา 35 บาท
พักทานข้าวให้เรียบร้อยและมาเช่ามอไชค์จากร้านบริเวณนี้เลย เพื่อขับไปยังหมู่บ้านแม่กำปองกันต่อ ราคาเช่ามอไซค์ 1 วัน 300 บาท (จ่ายค่ามัดจำไว้ 2000 บาท) จัดแจงเรียบร้อยก็ไปลุยกันเล้ยยยยย~
เส้นทางสู่หมู่บ้านแม่กำปองแบบสบาย ๆ แต่ขับเลยทางเลี้ยวนิดหน่อย ฮ่า ๆ ( ไม่หลงไม่ใช่เราจริง ๆ ) มาถึงหมู่บ้านแม่กำปองในเวลาเย็น ๆ และไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาลหมดห่วงไปได้เลยเลือกที่พักกันได้ตามใจชอบ

"นอนฟังเสียงน้ำตกและใช้ชีวิตให้ผ่านไปอย่างช้า ๆ
ที่หมู่บ้านแม่กำปอง"
ถ้าจะเอ่ยชื่อหมู่บ้านแม่กำปองคงไม่มีใครไม่รู้จักซะแล้ว อีก 1 จุดเช็คอินที่ต้องห้ามพลาดสำหรับใครที่มาเที่ยวเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขา รายล้อมด้วยธรรมชาติที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีน้ำตกแม่กำปองไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ที่พักติดริมน้ำที่นอนฟังเสียงลำธารไหล พาให้หลับสบายตลอดทั้งคืน
คืนนี้หลับสบายด้วยด้วยเสียงกล่อมจากสายน้ำ ตื่นเช้าโดยไม่รู้ตัวว่าเมื่อคืนฝนตก พบเพียงหยดน้ำบนยอดไม้ที่ฝากความชุ่มฉ่ำเอาไว้ให้เราได้สัมผัส ทางบ้านพักเสิร์ฟข้าวต้มร้อน ๆ กับไข่ดาวในยามเช้า
ทานข้าวเสร็จเราออกมาเดินเล่นในหมู่บ้าน เดินไปร้านกาแฟชมนกชมไม้แล้วค้นพบว่าสิ่งที่เราคิดว่าใกล้ ๆ กับไกลมาก เพราะต้องเดินขึ้นเขาได้แต่คิดว่าทำไมไม่เอามอไซค์ขึ้นมา ฮ่า ๆ
กลับลงมาเข้าวัดธาพฤษาหรือวัดแม่กำปอง เป็นวัดประจำหมู่บ้านที่มีอายุมากกว่า 90 ปีแล้ว มีอุโบสถกลางน้ำให้เราได้เข้าไปไหว้พระ เป็นบรรยากาศร่มรื่นและเงียบสงบอีก 1 Unseen ของที่นี่เลย
เดินเล่นซื้อของในร้านต่าง ๆ สักพัก เรากลับไปนั่งเล่นริมธารในที่พัก นั่งฟังเสียงธารน้ำให้ไหลไปก่อนหมดเวลาแห่งความสุขที่นี่ เราคิดว่าเรามาใช้ชีวิตช้า ๆ ซึมซับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด แต่เรากลับพบว่าเวลาเดินไวมาก อีกไม่นานเราก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว
หมดเวลาสำหรับการมาเที่ยวเชียงใหม่ 4 วัน ช่างผ่านไปไวเหลือเกิน แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากกับการเดินทาง ถึงแม้จะมีอุปสรรคไม่เป็นดังแผนที่วางไว้แต่ทุกอย่างก็เป็นความสนุกอีกรูปแบบหนึ่งเลยที่เกิดขึ้นกับเรา
“ชีวิตในบางครั้ง ไม่ได้ต้องการไขว่คว้าหาความสะดวกสบายใด ๆ ไปมากกว่าความสุขของการเดินทางอีกแล้ว” 
เราเลือกเดินทางไกลระยะทางร่วมหลายร้อยกิโลเมตร ผ่านเขาหลายต่อหลายลูก ลำบากบ้าง สบายบ้าง เพียงเพราะแค่อยากตื่นขึ้นมาพบกับสายหมอกทิวเขาสูงชันสลับเรียงราย ไปเพื่อนั่งใช้ชีวิตช้า ๆ นั่งฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคา เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องประสานเสียงกันในยามค่ำคืน ไม่ต้องมีอะไรให้ทำมากมาย แค่ไปสัมผัสกับความเรียบง่ายแค่นี้มันก็โคตรดีแล้ว
ลองกลับมาถามตัวเองให้ชัดเจนว่าไปที่นี่แล้วเราอยากไปทำอะไร จะได้ไม่ต้องเกิดความรู้สึกว่า “ไปที่นี่ไม่เห็นมีอะไรทำเลย”
สุดท้าย . . .
“ไม่ว่าปลายทางจะสวยงามแค่ไหน ความสุข รอยยิ้ม มิตรภาพ และความยากลำบากระหว่างการเดินทางก็ยังสวยงามไม่แพ้กัน
ว่ า ง แ ล้ ว ไ ป ไ ห น .
จบแล้วนะคะสำหรับทริปหน้าฝน
ส่วนหน้าฝนปีนี้อยากไปนอนฟังเสียงฝนตกที่ไหนกันบ้างคะ?


Mina Pns

Mina Pns

NOOTCHANATE P. (ชื่อเล่น: เอี้ยง)
อายุ: 26 ปี
ว่ า ง แ ล้ ว ไ ป ไ ห น . ?
www.facebook.com/wanglaewpainai
#ว่างแล้วไปไหน
www.wanglaewpainai.com
-
ปัจจุบันเป็น graphic designer, vdo editor, motion graphic และก็ยังเป็น travel blogger ทำ vlog และเขียนบทความรีวิวต่าง ๆ ที่ชื่นชอบ แต่ไม่บ่อยเพราะ #ว่างแล้วค่อยทำ ชอบคุณที่ชื่นชอบบทความของเรานะคะ ?

FULL PROFILE