ถอดเทปหลุดล่าสุด ศึกยืดเยื้อ Johnny Depp VS Amber Heard

53 11


" คอยดูสิว่าจะมีคนที่ยอมเชื่อหรือเข้าข้างคุณสักเท่าไร"




ประโยคที่ดูคล้ายกับการท้าทายจาก Amber Heard ในบทสนทนากับ Johnny Depp ที่ถูกบันทึกเสียงไว้กลายมาพาดหัวข่าวกอสสิปจากหลากหลายสื่อต่างประเทศ   แม้ว่าสื่อยักษ์ใหญ่จากอเมริกาจะเงียบงันกับเรื่องนี้  แต่ก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวจากสังคมออนไลน์ที่พุ่งโจมตีเธอด้วยข้อกล่าวหาว่าตีสองหน้า ปิดบังตัวตนที่ abusive ไว้เพื่อ play victim    และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพระเอกsuperstar



แต่เนื้อหาของบทสนทนาอันนี้ได้เปิดเผยอีกมุมมองของความสัมพันธ์ที่ toxic ที่พลิกไปอีก หรือที่จริงแล้ว มันจะเป็นดังที่หลายคนได้วิพากษ์วิจารณ์ไว้ สาเหตุแห่งความร้าวฉานรุนแรงนี้ได้เกี่ยวแค่ว่า ใครคือเหยื่อ ใครคือผู้กระทำ ถ้าหากว่าพวกเค้าต่างก็ทรมานกันด้วยพฤติกรรม abusive ทั้งสองฝ่ายล่ะ คุณคิดอย่่างไรกับทฤษฎีนี้ ?




  
หลังจากเทประหว่างการบำบัดชีวิตคู่ของ Johnny Depp และ Amber ในปี 2015 ได้ถูกปล่อยออกมา และผู้ชมต่างได้รับการยืนยันจากปากนางเอกสาวเป็นครั้งแรกว่า เคยลงไม้ลงมือกับ(อดีต)สามี     โดยที่มีถ้อยคำที่มีน้ำหนักยืนยันว่าไม่ใช่การทำร้ายอีกฝ่ายเพื่อป้องกันตัว   ด้วยข้อความดังต่อไปนี้


-  "ชั้นให้สัญญาไม่ได้ว่าอะไรๆจะเปลี่ยนเป็นเลิศเลอเพอร์เฟ็คท์  ชั้นให้สัญญาไม่ได้ว่าจะไม่ลงไม้ลงมืออีก  พระเจ้า  บางครั้งชั้นก็โมโหมากจนสติหลุด "


-  "ชั้นเป็นคนเริ่มทำร้ายร่างกายก่อน"


-  "ชั้นไม่ได้ต่อยคุณเต็มแรง  ชั้นแค่ตบ"


- รวมไปถึงการประชดประชันว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโตที่เผ่นหนีออกจากการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อเลี่ยงปัญหาความรุนแรง

ซึ่งข้อมูลทางเสียงดังกล่าวมาจากการการอัดเสียงด้วยโทรศัพท์ของ Amber เอง   หลายคนเชื่อว่า  คลิปเสียงนี้ตกไปอยู่ในฝั่งของทีมกฎหมายของ Johnny ด้วยเหตุผลบางอย่าง และมีการส่งต่อไปถึง DailyMail   สื่อยักษ์ใหญ่จากอังกฤษอันเป็นกลวิธีลดความน่าเชื่อถือของฝั่งตรงข้ามเพื่อสู้คดีหมิ่นประมาทมูลค่า 50 ล้านเหรียญนั่นเอง
นอกจากจะมีความเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพระเอกหนุ่มใหญ่ รวมไปถึงการรุมถล่ม social media ของนางเอก AquaMan  แต่การแบ่งรับแบ่งสู้จาก Johnny ที่บรรยายว่าเป็นการทำร้ายร่างกายในการทะเลาะวิวาทระหว่าง "พวกเค้าทั้งสองคน"  ทำให้ชาวเน็ทหลายคนเลือก TeamNoOne   ไม่สนับสนุนฝ่ายใดเลย     เพราะเชื่อว่า ทั้งสองคนต่างห้ำหั่นกันด้วยการการใช้ความรุนแรงทำให้พวกเค้าจัดอยู่ในหมวด abuser  ทั้งคู่

อย่างไรก็ตาม   ที่ผ่านมานั้น  Amber เป็นฝ่ายโต้กลับคำกล่าวหาของอดีตสามีว่าเป็นการโกหกใส่ความมาโดยตลอด  เธอเคยยอมรับระหว่างให้การว่า เคยสู้กลับเพื่อช่วยเหลือน้องสาวที่ถูก Johnny จู่โจม  เธอพยายามป้องกันตัวเองแต่ก็ไม่เคยสู้แรงได้ไหว  ซึ่งสวนทางกับคำพูดระหว่างการบำบัดชีวิตคู่  ไม่ว่าจะเป็นการปาของแข็งหรือตบ (หรือชก?) หน้าจนทำให้อีกฝ่ายต้องเผ่นหนี  นั่นก็ทำให้เชื่อได้ไม่ยากว่า  การกระทำของเธอเข้าข่าย "บอกไม่หมด" เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของภาพภรรยาผู้เป็นเหยื่อแห่งความรุนแรง   ในขณะที่เธอเคยแสดงพฤติกรรมของ abuser เช่นเดียวกัน






เมื่อคืนก่อน ก็มีการปล่อยคลิปเสียงออกมาอีกระลอก จากที่มีการแบ่งทีมว่าจะสนับสนุนใคร แต่ข้อมูลอันใหม่นี้อาจจะทำให้หลายคนได้มองเห็นภาพความสัมพันธ์ toxic นี้ได้ชัดเจนขึ้น


ลองติดตามเนื้อหาของบทสนทนาของพวกเค้าที่ด้านล่างค่ะ






ยิ่งนานวัน  ศึกสาดโคลนใส่กันยิ่งส่งผลลัพธ์ที่ทำให้เละเทะไปทั้งสองฝ่าย   คนหนึ่งต้องการกู้ชื่อเสียงที่ย่อยยับไปให้กลับมาดีเหมือนเก่า   ส่วนอีกคนคงไม่ยอมรับคำกล่าวหาได้ง่ายๆ เพราะเธอมีบทบาทการอุทิศตนเพื่อสังคมน่าเชื่อถือและการงานอันรุ่งโรจน์ 




ตัวแทนของพวกเค้าจะแสดงความเห็นเช่นไรต่อการปล่อยหลักฐานชิ้นเด็ดนี้สู่โลกออนไลน์ ?


"คุณ Heard ได้ส่งสารสุดสะพรึงถึง Johnny Deppซึ่งเป็นสิ่งที่เหยื่อแห่งการ abuse ตัวจริงต้องผจญกับมัน   : ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก  ดังนั้นจงทำในสิ่งที่ชั้นต้องการซะ



" คุณ Heard สวมหน้ากากด้วยภาพของ 'เหยื่อผู้รอดจากการทารุณ ' แต่จากคลิปเสียงก็ได้พิสูจน์ได้ชัดเจนแล้วว่าตัวตนของเธอเป็นเช่นไร"



Adam Waldman ทนายของ Johnny แสดงความเห็นต่อ DailyMail




ตัวแทนของฝ่ายตรงข้ามก็ได้โต้ตอบอย่างสุขุมว่า

"  เทปบันทึกอันล่าสุดที่ถูกส่งให้ Daily Mail ได้แสดงถึงพฤติกรรมการ abuse ของ Johnny Depp ต่อคุณ Heard ที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง"


"  ในบันทึกถ้อยคำของเทปนี้   คุณ Heard ได้ย้ำชัดๆ กับคุณ Depp  ว่า  เขาเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงทางร่างกายและมีพฤติกรรม abusive   เธอหวาดหวั่นอันตรายถึงชีวิต   และแม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ Deppก็ยังบอกว่า หากยังทนอยู่ในความสัมพันธ์นี้ต่อไป เธอจะต้องถูกฆ่าตาย"



"สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้จากเทปนั้นไม่ใช่คำพูดของคุณ Depp แต่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้พูด ไม่มีสักครั้งที่เขาปฏิเสธว่าได้ใช้ความรุนแรงทำร้ายและก่อให้เกิดความเสียหาย ดังเช่น จมูกของเธอที่หักและตาฟกช้ำดำเขียว"


"ความจริงแล้ว คุณ Heard จำได้ว่ามีข้อความเสียงสนทนาที่ไม่ได้ถูกส่งให้ Daily Mail คุณ Depp ถามเธอว่าได้บันทึกเสียงไว้หรือไม่ หลังจากที่เธอปฏิเสธ เขายอมรับว่า คุณ Heard ไม่ได้โกหกเรื่องที่เขาทำร้ายร่างกายเธอ คุณDepp ได้ตัดต่อเสียงบทสนทนานี้ นอกจากจะเป็นการหลอกลวงและอาชญากรรมแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ดูอับจนหมดหนทางอีกด้วย"







และหากว่าใครยังข้องใจในเรื่องที่นางเอกสาวสวยยอมรับว่าเคยโมโหจนใช้ความรุนแรงกับอดีตสามีในระหว่างชั่วโมงบำบัดชีวิตคู่ ทนายของเธอก็ออกมาโต้แย้งว่า เทปนี้พิสูจน์อะไรไม่ได้เลยว่าลูกความของเธอเป็นฝ่ายผิด


" เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งต่อสู้ต่อสู้กลับหรือใช้คำพูดตอบโต้ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ได้เป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก      มันไม่ถูกต้องหากคุณ Depp พยายามสื่อออกมาว่า  หากคุณ Heard ตบหน้าเขาแล้ว   เธอจไม่สามารถตกเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ   มันไม่จริงสักนิด"









ข้อสังเกตที่เราสัมผัสจากเทปหลุดล่าสุด



- ที่ผ่านมา Amber เป็นฝ่ายบันทึกเทปเพื่อนำมาเป็นหลักฐานฟ้องหย่าสามี แม้แต่เทปที่เธอยอมรับว่าทำร้ายร่างกายเขาระหว่างการบำบัดก็เป็นฝีมือของเธอ ( หลายคนเชื่อว่า ทนายของเขาได้เทปนี้มาด้วยเหตุผลบางอย่าง และปล่อยมันออกมาให้สังคมได้ฟังความอีกด้าน) แต่ในเทปนี้ ตัวแทนฝ่ายหญิงระบุว่า เป็นการบันทึกเสียงที่เธอไม่ได้ให้การยินยอมเพื่อสื่อความหมายว่า เขาเป็นฝ่ายบันทึกเสียงไว้เอง


แต่มันคือช่วงเวลาที่แผลยังสดใหม่ เป็นไปได้หรือไม่ที่ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังคำพูดไม่ให้ตัวเองเสียหาย Johnny เต็มไปด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจที่ฝ่าย Amber ส่งคลิปที่เขาระเบิดอารมณ์ในบ้านไปยังสื่อ เขาน่าจะคิดรอบคอบกับการแสดงคำพูดเพราะต้องระแวงไว้ก่อนว่าตัวเองจะถูกบันทึกเสียงไว้ ส่วนตัว Amber นั้นคุ้นเคยกับการยันทึกหลักฐานอยู่แล้ว เธอไม่น่าพูดอะไรออกมาโดยไม่ไตร่ตรองไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงคำพูดที่ว่า ' คุณเป็นผู้ชายตัวใหญ่กว่า ไม่มีทางที่ใครจะเชื่อคุณหรอกว่าเป็นฝ่ายถูกทำร้าย' ไม่ได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนเลย

เพราะเราต่างรู้ดีว่า Violence has no gender   มันเป็นเรื่องจริงที่ผู้ชายก็ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงได้   และพวกเค้าควรจะมีสิทธิ์มีเสียงในการขอความช่วยเหลือเช่นกัน

- ความรุนแรงเกิดขึ้นจริง และเป็นเรื่องของhe said, she said ในขณะที่เราได้รับสารอย่างชัดเจนจากสองเทปว่า Johnny Depp ยอมรับเรื่องความรุนแรงที่เกิดจาก "น้ำมือของพวกเค้าทั้งคู่ " แต่ทีมของ Amber พยายามสร้างจุด focus ว่า เธอจำเป็นต้องสู้เพื่อป้องกันตัวเอง ทั้งๆที่ในบทสนทนามีคำพูดของเธอที่ยอมรับเองว่า เป็นผู้เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน และแสดงความหงุดหงิด ไม่ว่า Johnny จะผลักเธอออก หรือจะหนีออกไปจากการวิวาท จากบทสนทนาถึงการเหตุการณ์บนเครื่องบิน น่าจะเป็นเหตุกาณ์ที่ Amber ระบุว่า ถูก Johnny เตะ เพราะความหึงหวงที่เธอแสดงบท love scene กับ James Franco แต่ในการบำบัดชีวิตคู่ ข้อมูลกลับไม่เป็นอย่างนั้น

ส่วนหนึ่งในบทสนทนาในการบำบัดชีวิตคู่

JD: "ผมจะไม่ไปเข้าไปเกี่ยวกับการวิวาททำร้ายร่างกายกับคุณหรอก"

AH: "งั้นก็อย่าทำสิ "

JD: " คุณตีผมเมื่อคืนก่อน คุณทำมันลงไป"

AH:" แล้วครั้งอื่นที่คุณเผ่นหนีออกไปล่ะ ไม่เอาน่า อย่าทำเป็นเหมือนว่าต้นเหตุไม่ได้มาจากเพราะคุณหนีนะ"

JD:" ตอนอยู่บนเครื่องบินผมหนีไปไหนไม่ได้


AH:" คุณตีชั้นกลับนี่ อย่าทำแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงเลย"


JD " ผมผลักคุณออก"





AH: "ชั้นจะไม่มาสาธยายรายละเอียดการทะเลาะครั้งนั้นหรอก คุณและชั้นต่างก็รู้ดีว่าคุณน่ะจะเผ่นหนีตลอดถึงจะไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายเลย แต่คุณก็ยังทำ  มันเป็นต้นเหตุของการทะเลาะในระยะหลังๆ คุณหนีไปอยู่ห้องอื่น แต่คุณไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย รังแต่จะทำให้ทะเลาะกันมากไปอีกและคุณไม่ได้ทำลงไปเพราะเห็นแก่หน้ากัน"

JD: "ตอนนั้นคุณตะโกนใส่หน้าผมอยู่นะ"

AH: "ชั้นจะไม่ชี้แจงเหตุผลของสิ่งที่ชั้นทำเมื่อคืนนี้ ชั้นรู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป"

JD:" ไม่ ผมหมายถึงตอนที่เราอยู่ Toronto"


AH: ชั้นไม่ได้ตะโกนใส่คุณจนกระทั่งคุณพูดจายั่วโมโหใส่ พอคุณเอามือไปยั่วสัตว์มากๆเข้า จนถึงขีดสุด ไม่ว่ามันจะสัตว์ที่เป็นมิตรแค่ไหน มันไม่เข้าท่าเลย"


JD: "ไม่จริงสักหน่อย ผมก็ถูกทำแบบนั้นเหมือนกัน"

AH: "ชั้นใจเย็นได้นานมาก จนคุณเริ่มยั่วโมโหหนักเข้า หนักเข้า"


JD: "ผมก็เหมือนกัน แต่ตอนที่คุณเริ่มจะสติหลุด มันเป็นอาการคลุ้มคลั่งและโทสะ นี่มันบ้าอะไรฮึ Amber"


AH: "ชั้นโกรธเป็นนี่ ชั้นเป็นมนุษย์นะ มันเป็นสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นตอนใครสักคนโกรธ"

JD: "พยายามหน่อยเถอะ เราทั้งสองมาพยายามดัน ถึงจะมีอะไรมายั่วโหโหก็อย่าทะเลาะกันเลย พยายามอธิบายกันโดยที่ไม่ต้องกระโจนเข้าหากันเพราะมันรังแต่จะสร้างความเคืองแค้น เป็นความเกลียดชังประเภทหนึ่ง"


AH: คุณเอาเปรียบกันนี่นา

JD:" ไม่จริงนะ ผมไม่ใช่ฝ่ายที่ขว้างหม้อหรือของอย่างอื่นใส่กัน"

AH: " นี่มันไม่เกี่ยวกันเลยนะ เอามาโต้แย้งกันไม่ได้ มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เพียงแค่เพราะชั้นขว้างหม้อขว้างกระทะใส่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมายั่วโมโหกัน"

และยังมีบทสนทนาอื่นๆที่แสดงให้เห็นว่า Amber ไม่พอใจที่ Johnny เลือกวิธีหลบเลี่ยงการทะเลาะแยกไปอยู่ที่อื่น และเธอพยายามเบี่ยงประเด็นเรื่องการควบคุมความโกรธและพฤติกรรมรุนแรงว่าไม่ได้สำคัญพอที่จะนำมาโต้แย้งเรื่องปัญหาชีวิตสมรสนี้



อย่างไรก็ตาม แม้ Johnny จะแถลงการณ์อย่างหนักแน่นในการยื่นฟ้อง Amber ในข้อหาหมิ่นประมาทว่า เขาไม่เคยใช้ความกับผู้หญิง และจะปฏิเสธเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต แต่ถ้อยคำที่ฟังดู "แบ่งรับแบ่งสู้" จากข้อกล่าวหาเรื่องปาโทรศัพท์ใส่ Amber แม้จะไม่ได้มีการบรรยายรายละเอียดว่าเขาเคยลงมือทำอะไรไปบ้าง (นอกจากการผลัก) แต่ก็ตีความได้อย่างชัดเจนว่า เป็นการกระทำจากทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายยั่วยุ หรือเริ่มลงมือก่อนก็ตาม




แล้วสังคมตอบรับกับข้อมูลใหม่นี้เช่นไร



คุณผู้อ่านคงยังไม่ลืมบรรยากาศตอนที่ข่าวการฟ้องหย่าด้วยข้อกล่าวหาความรุนแรงในครอบครัวเมื่อปี 2016 มันอาจจะเปรียบได้ว่าเป็น scandal ที่ฉาวที่สุดในรอบหลายปี

ทว่า นับตั้งแต่มีการปล่อยหลักฐานต่างๆที่สอดคล้องกับคำพูดของ Johnny Depp ที่กำลังเดินหน้าฟ้องร้องอดีตภรรยาด้วยข้อหาหมิ่นประมาท มันเป็นสิ่งที่น่าเอะใจที่สื่อยักษ์ใหญ่หลายเจ้านิ่งเงียบ ไม่ขุดคุ้ยหาข้อมูลต่อ ผิดวิสัยสื่อบันเทิง ที่แม้แต่เซเลบที่ไม่ได้อยู่ในระดับ high profile ก็ยังถูกตามติดเพื่อขายข่าวฉาว เริ่มตั้งแต่ The Blast ปล่อยภาพพระเอก playboy James Franco ที่เดินขึ้นลิฟท์เคียงข้างไปกับ Amber อย่างสนิทสนมหลังจากเหตุการณ์วิวาทที่ทำให้เธอขอหย่าไม่ถึง 24 ชั่วโมง แต่กลับไม่มีสื่อใดเกาะติดกับหลักฐานที่บ่งชี้ไปที่การนอกใจของฝ่ายหญิง มีเพียงแต่website อิสระ และสังคมออนไลน์ที่ฮือฮา หรือจะยกตัวอย่างให้ชัดเจนก็คือ เพียงแค่ Orlando Bloom ไปparty เดียวกันกับ Kendall Jenner สื่อก็อล่ยข่าวสะพัดไปแล้วว่าพวกเค้ากิ๊กกัน


แต่นี่คือภาพที่ระบุวันเวลาชัดเจนจนไม่สามารถบิดพริ้วปฏิเสธได้ว่า เธอไม่ได้เชื้อเชิญให้พระเอกหนุ่มเข้ามาในapartment หรูที่ได้อาศัยอยู่กับ Johnny จนถึงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ทะเลาะกันจนกลายเป็นข้อพิพาทฟ้องหย่า หรือจะเป็นการปล่อย receipt เป็นการบันทึกเสียงโทรศัพท์จาก Kim K ที่หลอกหลอน Taylor Swift ตราบจนทุกวันนี้ แต่คำพูดยอมรับเรื่องการใช้ความรุนแรงของ Amber กลับยังคงเงียบกริบ จะมีก็แต่เหล่า gossip blogger และสื่อต่างชาติทั่วโลกได้เสนอข่าวโดยถ้วนหน้า ยอดผู้เข้าลงชื่อเรียกร้องให้ถอด Amber ออกจาก Aquaman พุ่งไปร่วมสองแสนแล้ว มันก็น่าคิดว่าเพราะอะไรที่แม้กระทั่ง TMZ ก็ยังไม่เสนอข่าวนี้ และยังมี E-News ,Us Weekly ,People , PageSix และอีกสารพัด


แม้สื่อจะนิ่งเฉยกับเรื่องนี้อยู่นาน แต่ในที่สุด เมื่อทนายความของ Johnny ได้เตรียมการเรียก James Franco มาเป็นพยานเพื่อยืนยันว่าเห็นร่องรอยการถูกทำร้ายตามใบหน้าและร่างกายของ Amber หรือไม่ สื่อบางเจ้าก็เริ่มขยับตัวทำข่าวเรื่องนี้แล้ว

(New York daily news และ  USA today เป็นสื่ออเมริกันที่เสนอข่าวเทปบันทึกเสียง ในขณะที่สื่อดังอื่นๆยังไม่มีความเคลื่อนไหว)


ชาวเน็ทบางคนตั้งข้อสงสัยในเรื่องสถานะ untouchable ของ Amber มากขึ้นไปอีก หลังจากที่เธอรับบทบาทเป็นนักเขียนบทความให้กับสื่อชื่อดังอย่าง Washington Post , The New York Times Porter Magazine ได้รับเสียงชื่นชมไปทั่ววงการว่าเป็นงานเขียนเล่าประสบการณ์ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความสัมพันธ์ abusive ได้อย่างทรงพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนต่อต้านการใช้ความรุนแรงในครอบครัว มันก็คงไม่ยากที่จะเห็นว่า เธอได้สร้าง connection อันดีกับสื่อดังเหล่านี้ แต่มันก็นำมาซึ่งคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาท เนื่องจากอีกฝ่ายเชื่อว่านี่คือการล่วงละเมิดข้อตกลงการหย่าร้างที่จะไม่พาดพิงถึงกันอีก การใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสาดโคลน (smear campaign) ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับceleb อาจจะเป็นไปได้ว่า ทีมของ Johnny ได้เห็นปฏิกิริยาของสื่ออเมริกันต่อคลิปภาพในลิฟท์แล้ว จึงตัดสินใจยื่นข้อมูลให้กับ Daily Mail สื่อทรงอิทธิพลของอังกฤษที่มีมีผู้ติดตามข่าวกอสสิปจากหลายประเทศทั่วโลก



"เราควรฟังเสียงของ Amber เท่านั้น ส่วนพวกเสียงของคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมไม่น่าไว้วางใจ เราไม่ควรไปฟัง"



นี่คือสารจาก Grazia magazine ที่ได้ประกาศต่อผู้คนที่ยังมีอคติและข้อสงสัยในคำกล่าวหาของเธอ สื่อเจ้านี้ตำหนิลูกสาวของ Johnny และคนใกล้ตัวของเขาที่ออกมายืนยันว่า Johnny ไม่ใช่คนร้ายในเรื่องนี้และโจมตีว่า Amber เป็นฝ่ายโกหก




เราเชื่อว่า นี่คือเหตุผลหนึ่งที่สื่อบันเทิงอเมริกันนิ่งเงียบกับบันทึกเสียงที่ถูกปล่อยออกมา

หากจะมองถึงความสมเหตุสมผล  หลังจากที่นางเอกที่สื่อชั้นนำทั้งหลายชื่นชมยินดีในฐานะ survivor ที่ต่อสู้กับชายผิวขาวทรงอิทธิพลที่ทั้งทำร้ายร่างกายจิตใจและบีบให้เธอหมดหนทางหากินในวงการได้พูดออกมาตรงๆว่า เธอเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อระบายโทสะที่เกิดจากปัญหาชีวิตคู่  และรับไม่ได้ที่สามีตัวเองพยายามแยกตัวออกไปเพื่อยับยั้งชั่งใจไม่ให้สติหลุดใช้กำลังตอบโต้เธอ    รวมไปถึงการเยาะเย้ยที่เขาพยายามขอความช่วยเหลือจากคนอื่นและแดกดันว่าเขาสร้างภาพความเป็นคนดีจากการหลบเลี่ยงจากการวิวาทที่ปะทะกันทางร่างกาย     แต่สื่อหลายเจ้าที่สร้างรายได้จากเรื่องส่วนตัวของคนดังไม่ได้ส่งบทความบรรยายความรู้สึกของพฤติกรรมของเธอออกมาแม้แต่อันเดียว     กลุ่มคนที่สนับสนุน Johnny Depp อาจจะรู้สึกโกรธเกรี้ยวและผิดหวังกับความย้อนแย้งอันนี้   









อนาคตในวงการของทั้งสอง





บท Jack Sparrow คือหนึ่งในภาพที่ iconic ของ Johnny Depp  เขาเคยใส่ costume จัดเต็มไปสร้างความประทับใจให้เด็ก ๆและแฟนๆ มาแล้วหลายครั้ง  แต่ไม่แน่ใจว่า   เขาจะสร้าง surprise ให้กับคนอื่นด้วย  costume นี้อีก  จากการตัดสินใจของผู้สร้างที่ไม่ต้องการนักแสดงที่มีภาพลักษณ์ของ abuser ที่ใช้ความรุนแรงต่อเพศผู้อ่อนแอมารับบทขวัญใจเด็กๆ


อย่างไรก็ตาม  การพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองที่เริ่มสร้างความไว้วางใจกลับมา ทำให้อนาคตในฐานะศิลปินการแสดงยังโชติช่วงต่อ    เขารับบทW. Eugene Smith ช่างภาพผู้โด่งดังจากการเดินทางไปถ่ายภาพที่ญี่ปุ่นหลังจากต้องเผชิญความบอบช้ำจากการแพ้สงคราม


รวมไปถึงหนัง franchise ฟอร์มยักษ์อย่างง Fantastic Beasts ที่ทำสัญญาต่อเนืองกันอีกหลายปีจนกว่าเข้าสู่ภาคจบ และหนังเวทมนตร์นี้เองที่ทำให้นักประพันธ์หญิงทรงอิทธิพลของโลกอย่าง JK Rowling ต้องถูกแฟนๆจำนวนมากถล่มจนไม่มีชิ้นดี หลายคนประกาศว่าถึงจะรัก Harry Potter มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางเสียเงินไปดูหนังที่ให้โอกาส abuser เลวร้ายอย่าง Johnny Depp จนเธอต้องออกมาชี้แจงหลายครั้ง เหตุผลหลักๆก็คือ เธอยึดเอาถ้อยคำในแถลงการณ์ของ Johnny และ Amber หลังจากหาข้อตกลงการหย่าได้แล้วนั่นคือ " ทั้งสองฝ่ายไม่มีเจตนาทำร้ายกันด้วยความตั้งใจ"

"ชั้นยอมรับว่าจะมีคนที่ไม่ปลาบปลื้มกับการตัดสินใจเลือกนักแสดงของเรา อย่างไรก็ตาม ความมีศีลธรรมไม่ได้ใช้สายตาของผู้คนมาเป็นเครื่องตัดสิน ทั้งในโลกของนิยายและโลกแห่งความจริง เราต้องทำในสิ่งที่เราเชื่อว่ามันเหมาะสมแล้ว"


ส่วน Johnny ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับกระแสต่อต้านนี้ว่า


" JK ได้เห็นหลักฐานที่ทำให้เธอเข้าใจว่าผมถูกใส่ร้าย นั่นเป็นอธิบายว่าเพราะเหตุใดเธฮสนับสนุนผมออกสื่อ เธอให้ความสำคัญจริงจังกับเรื่องนี้ครับ เธอคงไม่ปกป้องผมหากเธอไม่ได้รู้ความจริง"


( เราเดาว่าในช่วงที่กระแสกดดันให้เปลี่ยนตัวนักแสดง ทีมของ Johnny น่าจะรวบรวมข้อมูลส่งให้ JK และนักสร้างหนังเพื่อโต้แย้งข้อกล่าวหาดังกล่าว)




มีหลายคนเชื่อว่า ชื่อเสียงของ Johnny พังพินาศลงไปจาก ' หลักฐาน' ที่ Amber ใช้กล่าวหาเขาเรื่องใช้ความรุนแรง  และโจมตีแฟนๆที่ยังสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ว่าเป็นพวก 'หน้ามืดตามัว '    แต่กลับนิ่งเฉยที่จะแสดงความเห็นต่อคลิปเสียงที่ Amber ยอมรับเรื่องพฤติกรรม abusive ของตัวเอง


ดังที่ทราบกันว่า หลังจากหย่าร้างกับ Johnny แล้ว Amber ได้โลดแล่นในวงการด้วยบทใหญ่ที่สุดในการทำงานเป็นนักแสดงคือ Mera แห่ง Aquama หนัง Superhero ฟอร์มยักษ์ และยังหวนกลับคืนสู่วงการจอแก้วด้วยการรับบทนางเอกซีรีส์ The Stand ที่สร้างจากนิยายนักเขียนผู้ทรงอิทธิพล Stephen King ที่น่าจะลงจอในปีนี้ค่ะ





แต่ถ้าถามความเห็นของเราว่า เธอจะถูกถอดจาก Aquaman ตามที่มีคนนับแสนลงชื่อเรียกร้องรึเปล่า ?


เรามองว่า มันไม่น่าจะเกิดขึ้น



เพราะอะไรน่ะเหรอ ?




 เริ่มมีการปล่อยข่าวออกมาว่าผู้ใหญ่ Warner Bros กำลังพิจารณาถอดเธอออกจาก Aquaman ต้นตอของข่าวคือ wegotthiscovered.com ที่อ้างว่าได้รับข้อมูลมาจากคนวงในที่เคยให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับพวกเค้ามาก่อน  

ผู้เขียนอาจจะคิดผิดก็เป็นได้ แต่เราเชื่อว่าบรรดาบิ๊กบอสผstudioสร้างหนัง จะต้องชั่งน้ำหนักกับข้อกล่าวหาจากกลุ่มต่างๆในสังคมว่าเป็น white male privilege เข้าข้างพวกเดียวกัน รังแกผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า และหนังมันประสบความสำเร็จมาก ในเมื่อคนที่ไม่แคร์เรื่องนี้ยังมีอีกเยอะ ทำไมจะต้องเฉดหัวเธอทิ้งล่ะ? ยังมีกลุ่มที่สนับสนุน Amber ที่รุ่งโรจน์ ด้วยภาพลักษณ์ domestic violence survivor พร้อมจะประนามหากเธอถูกสะกัดดาวรุ่งจากชายผู้ทรงอิทธิพล พวกเค้าอาจเรียกร้องให้แบนหนังเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับหนัง Fantastic Beasts    ถึงตอนนี้จะมีคนเรียกเธอว่า MeToo Fraud แต่ในเมื่อสื่อก็ยังกริบกับเรื่องนี้ มันคงไม่มีผลกระทบต่อรายได้หนัง Warner Bros ก็คงเก็บเธอไว้เหมือนเดิม



candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE