My Never-Enough Skin Care Routine

53 15

สวัสดีวันเสาร์ค่า...ชาวจีบัน  


วันนี้ขอมาแชร์ skincare routine ที่ใช้แล้วชอบ ของเจนนะคะ

เกริ่นซักนิด...

เจนเป็นมนุษย์ผิวผสม มันช่วง T-zone และสิวอักเสบแบบไม่มีหัวจะขึ้นเมื่อเจออากาศที่แห้งมากๆ หรือเมื่อใช้ skincare ที่ทำให้หน้าแห้ง/ผลัดเซลล์ผิวแรงๆ 

ช่วงวัยรุ่นไม่ค่อยดูแลผิว กันแดดก็ยังไม่ค่อยได้ทาเลยค่ะ (อย่าเลียนแบบนะคะ) เริ่มมาใช้ skincare บ้างก็ช่วงเรียนจบและทำงาน แต่ก็ยังไม่จริงจังมาก จนมาเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เมื่อวัยเข้าสู่เลข 3 อย่างเป็นทางการ ว่าความแก่มีจริง ??? และเริ่มต้นดูแลผิวและสุขภาพอย่างจริงจังตั้งแต่นั้นมา 

ลองผิดลองถูกมาก็เยอะค่ะ เหมือนช่วงแรกก็ไม่ค่อยรู้ใจผิวตัวเองเท่าไรว่าต้องการอะไร ยิ่งตอนช่วงไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา ก็ยิ่งเป็นช่วงที่ผิวแย่มากกกกก ทั้งสิว และภาวะขาดน้ำ เนื่องด้วยอากาศ (แห้งกว่าไทยเยอะมากๆ และชิคาโกกับอริโซนาที่เจนไปอยู่ เป็นเมืองที่อากาศ extreme มากๆ ค่ะ ผิวแต่ละเดือน texture จะต่างกันเลยตามสภาพอากาศ) และความเครียด เอาเป็นว่าช่วงไปเมกาใหม่ๆ ไม่ออกพบปะผู้คนเลยค่ะ เพราะหนังหน้าไม่พร้อม ☹️ จนสุดท้ายมาพบว่าผิวตัวเองต้องการอะไร หลักๆ ของภาพรวมในการใช้ skincare ของเจนคือ

1. วามชุ่มชื้น ขาดไม่ได้เลยค่ะ อันนี้เป็นเบสิค skincare ที่เป็น The must ถ้าใครไม่อยากผิวแก่นะคะ ความชุ่มชื้นช่วยได้ไปแล้วครึ่งนึง อย่าลืมดื่มน้ำด้วยนะคะ!!! อันนี้ก็ตัวช่วยที่สำคัญมากดื่มไปเลยค่ะ 2-3 ลิตรต่อวัน มันดีจริงๆ

2. Antioxidant จะเป็นในรูปแบบไหนก็ได้ค่ะ skincare ส่วนตัวก็สลับใช้ไปเรื่อยๆ

3. Facial oil ความมันของผิวส่วนหนึ่งเกิดมาจากความไม่สมดุลของความชุ่มชื้นของผิว และน้ำมันบนผิว พอไม่ชุ่มชื้นก็เข้าใจผิวคิดว่าหน้าแห้ง เลยผลิตน้ำมันออกมาเผื่อเคลือบผิวไว้ จะได้ไม่สูญเสียน้ำ สุดท้ายหน้าเลยมันเพิ่ม

4. หา barrier ปกป้องผิวจากสภาพอากาศในปัจจุบัน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ซึ่งส่วนนี้ก็จะรวมไปถึงกันแดดที่ประสิทธิภาพดีๆ และใช้ในปริมาณที่เหมาะสมด้วยค่ะ

​เอาล่ะ มาดู skincare routine ที่เจนใช้อยู่ตอนนี้นะคะ (สำหรับตอนกลางคืนจ้า)

Step 1

น้ำตบเห็ด Origin By Dr. Weil ตัวนี้ตัวดังเลย เป็นน้ำตบที่ texture เป็นเหมือนน้ำเปล่าเลยค่ะ มีกลิ่นคล้ายสมุนไพรหน่อยๆ ส่วนตัวชอบกลิ่นนี้นะคะ อันนี้ซื้อมาใช้ตอน PM. 2.5 บุก กทม. หนักๆ สิวผดๆ ขึ้นที่หน้าผากเยอะค่ะ เลยลองใช้ดู ก็ปรากฎว่า เห้ยยยย......มันลดสิวผดจริงแฮะ แต่สำหรับประสิทธิภาพเรื่องอื่นๆ เจนไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนะคะ แต่สิวผดจากการแพ้หรือระคายเคืองในระดับอ่อนๆ ตัวนี้เป็นตัวช่วยที่ดีค่ะ

Step 2

น้ำตบ la mer treatment lotion อันนี้ก็ตัวดัง ตอนแรกเจนได้ตัวทดลองมาใช้ก่อนค่ะ เพราะไม่กล้าเสี่ยงซื้อขนาดจริงมา เพราะ la mer คือ คนที่ใช้ดี ก็ดีเลยยย ไม่ดีก็คือไม่เห็นผลเลยย หรือแย่ไปกว่านั้น ก็อาจจะแพ้ได้ แต่ทนกระแสไม่ไหว เลยไปหาขนาดทดลองมาใช้ก่อน ปรากฎว่า มันดีมากกกกกกกกกก ตอบโจทย์การเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวเด้งๆ ฟูๆ กระชับรูขุมขนได้ดีมากๆๆ ค่ะ เห็นผลตั้งแต่คืนแรกที่ใช้เลย แต่งหน้าติดทนมากขึ้น texture ของเค้าจะเป็นน้ำตบที่หนึบๆ หน่อยค่ะ มีกลิ่นอ่อนๆ สไตล์ la mer ใช้แค่ 1-2 หยด และตบไปที่ผิวก็ซึมได้อย่างรวดเร็ว พร้อมรับ skincare ในขั้นตอนถัดไปค่ะ ตัวนี้เจนใช้ตอนเช้าด้วย เพราะชอบความนุ่มเด้งของผิวจากตัวนี้จริงๆ จนต้องไปถอยไซส์จริงมาใช้ตามระเบียบ ???

Step - 3


เนื่องจากเป็นคนที่เน้นความชุ่มชื้นของผิวเป็นพิเศษนะคะ ดังนั้น step นี้ก็จะเป็น hyaluronic b5 จาก la roche posay ซึ่งเป็นเวชสำอางจาก ฝรั่งเศส ตัวนี้ texture จะมีความหนืดเพิ่มมากขึ้น ใช้แค่หยดเดียวก็ทั่วหน้าค่ะ ถึงแม้จะหนืดแต่ก็ซึมเข้าสู่ผิวได้รวดเร็วเช่นเดียวกัน หลังเค้าซึมสู่ผิวจะมีความรู้สึกเหมือนมี film บางๆๆๆ coated ที่ผิวอยู่เลยค่ะ ตัวนี้ให้ผลผิวนุ่มเด้ง เช่นเดียวกันใช้คู่กับ la mer แล้วคือ ผิวนุ่มได้อีก บางทีก็ชอบจิ้มหน้าตัวเองเล่นค่ะ 5555

Step - 4


Defenza จาก skinplants
ตัวนี้มาเริ่มใช้ ตอน PM 2.5 บุกหนักๆ เช่นเดียวกันค่ะ แบรนด์เป็นแบรนด์ไทย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ 5555 จริงๆ แบรนด์นี้ทำ skincare ได้ดีเกินความคาดหมายมากๆ ค่ะ ราคาดีงาม ประสิทธิภาพดีสำหรับเจนมากๆ ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่า สามารถลดการระคายเคือง หรือการแพ้ของผิวได้ดี นอกจากนี้ยังเพิ่มภูมิคุ้มกันของผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นด้วย จริงๆ ตอนใช้แรกๆ ไม่คาดหวังอะไรมากนะคะ แต่ใช้ไปใช้มาตอนนี้ต่อเนื่องเป็นหลอดที่เท่าไรแล้วไม่รู้ คือรู้สึกเลยว่า สิวผด และสิวฮอร์โมนลดลงมากๆ (อันนี้เกินความคาดหมายมากค่ะ) คงเป็นผลมาจากโดยรวมผิวแข็งแรงขึ้นนั่นเอง

Step - 5


facial oil จาก skinplants เช่นเดียวกันค่ะ ซึ่งจัดเป็นน้ำมันเกรด organic นะคะ โดยเจนจะใช้ argan oil (ขวดสีชา) และ rosehip oil (น้ำมันสีส้ม) รวมกันอย่างละ 1 หยด จะได้ไม่รู้สึกหนักหน้าจนเกินไป คุณสมบัติของน้ำมัน argan oil
คือช่วยปรับสมดุลของน้ำมันใต้ผิว และเด่นในคุณสมบัติในการลดสิวอุดตัน ด้วย ในขณะที่ rosehip oil มีส่วนประกอบของ antioxidants หลายชนิดมากๆ ที่ชะลอริ้วรอยได้ดีค่ะ ส่วนตัวเจนคือใช้นำ้มัน 2 ชนิดมานานมากแล้วค่ะ หน้ามันลดลงมากๆ ริ้วรอยที่เพิ่งเริ่มเกิดก็จางไป จัดว่าเป็น items คุ้มค่ามากๆๆๆๆๆ

Step - 6 


Creme de la mer
คงไม่ต้องบอกว่าแบรนด์อะไร 5555 ตัวนี้เจนเริ่มใช้หลังจากเริ่ม la mer treatment lotion แล้วติดใจมากๆ เลยตัดสินใจว่า เราคงต้องเป็นติ่ง la mer แล้วสินะ ????
เมื่อมาเริ่มใช้ ตอนแรกๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะ แอบนอยด์นิดหน่อยตอนใช้แรกๆ แต่พอใช้ไปสัก 1 เดือน คือเห็นชัดว่าผิวตามวัยของเรา ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ ทั้งในด้านความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น และริ้วรอย คือเข้าใจเลยว่าของพวกนี้อาจจะต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่ง เค้าไม่ได้ให้ผลทันทีปุบปับ แต่ระยะยาวคุ้มค่าแน่นอน creme de la mer เป็นสูตรดั้งเดิม เนื้อมีความหนักกว่าสูตรอื่นๆ จึงต้องวอร์มครีมให้เหมาะสมก่อนนำไปทาที่ผิวหน้า แต่หากวอร์มอย่างถูกต้องแล้ว จะไม่มีปัญหาการซึมช้ คือซึมเข้าผิวได้ปกติเหมือนครีมทั่วไปค่ะ แต่ถ้ายังวอร์มไม่ดี เนื้อครีมจะยังเกาะอยู่ผิว และค้างอยู่อย่างนั้น เพราะเนื้อครีมเค้าแน่นมากๆ จริงๆ ค่ะ ดังนั้นการวอร์มครีมจึงสำคัญมากๆ ทำให้หลายคนไม่ชอบเนื้อนี้ เราใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการใช้ skin care ประจำวันช่วงก่อนนอน ตื่นมาหน้าฟู อิ่มเอิบ จากข้างในเลยค่ะ
หมดแล้ววว skincare ที่ชอบบบ ใช้เวลาเบ็ดเสร็จก่อนเข้านอนก็ประมาณ 7 นาที ค่ะ (เคยบ้าจับเวลา ?) นอกจากนี้ weekly routine ของเจนก็จะมี scrub ผิว และ mask หน้า ด้วยนะคะ การดูแลผิว ไม่เคยจบที่ขั้นตอนเดียวแน่ๆ

ท้ายสุด... ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน และ happy กับตัวเองนะคะ สิ่งนี้ก็เป็นการดูแลผิวทางอ้อม ที่ให้ผลชัดเจนมากเช่นเดียวกัน สำหรับตัวเจนเอง ด้วยวัยเท่านี้ แล้วดูแลตัวเองได้เท่านี้คือ happy มากๆ แล้วค่ะ แต่ก็ยัง happy ที่จะ enjoy กับ สิ่งใหม่ๆ เสมอ

XOXO ?


silhouettegal

silhouettegal

ชื่อเจนค่ะ
วัยใสใกล้ 40 ?

FULL PROFILE