ผู้หญิงทุกคนต้องค้นหา DNA ความเป็นภรรยาและแม่ในตัวเองจริงหรือ ?

87 10
ในสังคมที่ยังมีผู้ใหญ่บางคนยังสั่งสอนให้ผู้หญิงกราบเท้าสามีเพื่อเป็นสิริมงคลตามคติโบราณ และยังมีหญิงสาวยุคใหม่บางคนทำตามเพราะเชื่อว่าชีวิตมีแต่ความรุ่งเรืองเพราะการกราบไหว้คู่ชีวิต  มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเมื่อนักการเมืองคนใหญ่คนโตจะประกาศให้ผู้หญิงทุกคนมี DNA ความเป็นแม่และภรรยา  และจงค้นหามันให้เจอเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคม

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องชวนช็อค แต่มันก็เลี่ยงประเด็นร้อนแรงไปไม่พ้น ในเมื่อผู้คนไม่รู้กี่ล้านบนโลกนี้เข้าใจดีว่า คุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่ได้ขึ้นตรงกับโครโมโซมเพศหรือความเป็นหญิงจะมีประโยชน์ต่อสังคมได้จากความเป็นแม่และภรรยาเท่านั้น แต่เมื่อหนึ่งในกลุ่มผู้นำที่มีอำนาจพัฒนาประเทศได้ชี้นำว่า นี่แหละคือสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องก้มหน้าก้มตายอมรับ แล้วคุณคงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า

หากผู้หญิงจะ "เลือก" มีชีวิตที่มีความสุขโดยที่ไม่มีสามีและลูก พวกเธอจะหมดค่า สร้างประโยชน์ให้สังคมไม่ได้หรอกหรือ ?




ลองมาพบกับกลุ่มคนดังที่พิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆว่า คุณค่าของผู้หญิงไม่ได้ถูกจำกัดไว้ให้ทำหน้าที่เมียและแม่เท่านั้น


Helen Mirren


เธอครองตำแหน่งนางเอกA List ที่คว้ารางวัลมานับไม่ถ้วนช่วงเวลาหลายทศวรรษ ด้วยผลงานการช่วยเหลือสังคมและคุณงามความดีจึงได้รับพระราชทานยศคุณหญิง และได้รับการยกย่องในฐานะผู้หญิงแถวหน้าที่กล้าต่อกรกับการเหยียดเพศและเหยียดความแก่ในวงการบันเทิง เธอมักแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาที่แฝงแง่คิดร่าสนใจ แล้วเธอคิดอย่างไรกับการเป็นแม่คน ?

"โชคชะตาไม่ได้กำหนดให้ชั้นเป็นแม่ค่ะ ชั้นก็เคยคิดนะว่าอาจจะเป็นได้ เคยเฝ้ารอให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่อยู่ดี และชั้นก็ไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไง จะมีแต่พวกชายแก่น่าเบื่อเท่านั้นแหละที่มาเซ้าซี้ถามเรื่องมีลูก เมื่อไรก็ตามที่พวกเค้าเริ่มวุ่นวายว่า หา อะไรนะ เธอไม่มีลุกเหรอกเหรอ ทำใจซะเหอะนะยายแก่ ชั้นก็จะสวนกลับไปเลยว่า ไปไกลๆซะเหอะ!"


คนที่ตัดสินใจไม่มีลูกเองก็ยังต้องเหนื่อยหน่ายใจกับการจับผิด ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้เราต้องปวดใจแทนผู้หญิงอีกหลายคน แม้ว่าพวกเธอคิดอยากจะมีลูก แต่ด้วยอุปสรรคด้านต่างๆ เช่น สุขภาพร่างกาย ภาวะมีบุตรยาก หรือแม้กระทั่งหน้าที่การงานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการรับผิดชอบเลี้ยงดูอีกหนึ่งชีวิต แต่กลับถูกคนรอบข้างกดดันด้วยคำถามว่า "ทำไม" และ "เมื่อไหร่" ร้ายไปกว่านั้นคือการติเตียนที่ทำให้รู้สึกว่าไม่พยายามมากพอ ทั้งๆที่อาจจะต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดมาไม่รู้เท่าไร แต่กลับถูกซ้ำเติมจากแนวคิดและความคาดหวังจากคนที่เชื่อว่า "การเป็นแม่คนเท่านั้นที่จะเติมเต็มความเป็นผู้หญิงให้สมบูรณ์แบบ"


"ชั้นไม่เคยนึกเสียใจเรื่องที่ตัวเองไม่มีลูกเลยนะ เอ่อ ชั้นโกหกน่ะ ตอนที่ชั้นดูหนังเรื่อง Parenthood ชั้นสะอึกสะอื้นไปตั้ง 20 นาที ที่ร้องก็เพราะว่าตัวเองไม่มีวันจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่จะได้เป็นแม่" แต่ Helen ยืนยันว่าทำใจได้ และอันที่จริงเส้นทางที่เลือกทำให้เธอสบายใจแล้ว



"ชั้นมุ่งมั่นทุ่มเทชีวิตกับอาชีพนักแสดงมาตลอด ในช่วงเวลานั้น มันยากที่จะทำใจได้ว่าชั้นสามารถทำให้เด็กคนหนึ่งลืมตาดูโลกใบนี้ได้อย่างไรโดยที่จะไม่สร้างความผิดหวังให้กับเค้า สำหรับชั้นมันไม่ได้เป็นความตั้งใจที่จะไม่มีลูกอย่างเด็ดขาดนะคะ มันเป็นประมาณว่า โอ ขอเลื่อนเป็นปีหน้า และเลื่อนออกไปเรื่อยจนมันไม่มีมีปีหน้าให้เลื่อนแล้ว"


แม้แต่ผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยพลังความมั่นใจและมีทุกอย่างที่ผู้คนมากมายใฝ่ฝันก็ยังเคยหลั่งน้ำตาเสียใจเพราะไม่มีวันจะมีลูกได้แล้ว แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งลดทอนคุณค่าความสามารถและทำให้เธอประสบความสำเร็จน้อยลงรึเปล่า ?



แน่นอนว่าคำตอบคือไม่!








Marisa Tomei

นางเอก Oscar วัย 54 ที่สวยพริ้งอ่อนเยาว์จนต้องอิจฉาคนนี้ไม่มีทั้งสามีและลูก     ในขณะที่ผู้คนไม่มีปัญหาใดๆกับชีวิตรักอันโลดโผนของ Leonardo DiCaprio ที่เปลี่ยนคู่ควงนางแบบไปเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าจะสร้างครอบครัว และเขาก็ยังได้รับเสียงยกย่องเรื่องความสำเร็จในฐานะนักแสดงและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม     เราจึงไม่เห็นสักนิดว่า Marisa จะดูไม่เพียบพร้อมหรือด้อยค่าความเป็นผู้หญิงกว่าใครอื่น
เธอเคยเดทกับหนุ่มชื่อดัง  แต่ก็ค้นพบว่าคำว่าภรรยาไม่ใช่ทางของตัวเอง

"ชั้นไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของสถาบันแห่งการแต่งงานค่ะ และชั้นก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมผู้หญิงต้องมีลูกเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ"


ผู้เขียนเป็นทั้งแม่และภรรยาผู้มีความสุขกับบทบาทนี้มาตลอด และเคารพการตัดสินใจที่มีวุฒิภาวะของคนที่ต้องการคงสถานะโสดหรือไม่มีลูก โดยที่ไม่ไปวิจารณ์ว่า"จะมีบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต" หรือ "ไม่มีทางเข้าใจถึงความสุขของความเป็นแม่" เพราะนั่นเป็นการก้าวก่ายความเป็นปัจเจกชน ในเมื่อทางเลือกนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร


เพื่อนสาวโสดของเรามักจะเล่าให้ฟังว่า  เจอคำถามเรื่อง "แก่ตัวไปจะทำอย่างไร" บ่อยพอๆกับ "ไม่มีลูกผัวไม่เหงาจนเฉาตายเหรอ"   แม้ว่าเธอจะเป็นสาวเก่งที่plan อนาคตทั้งเรื่องการเงินและการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อชีวิตที่เป็นสุขในบั้นปลาย ที่จริงแล้วเธอสนุกสนานกับการใช้ชีวิตมากจนไม่น่าต้องมาแคร์กับคำถามเซ้าซี้เหล่านี้  แต่ก็อดเหนื่อยใจไม่ได้จริงๆ

ฟังแล้วก็พอจะเข้าใจนะ  ทั้งๆที่พยายาม    แต่กลับมีคนมองว่าประหลาดหรือไม่ดีพอและหลายครั้งก็เจอคำพูดบั่นทอน  การแสดงออกว่ามีแต่เพียงชีวิตแต่งงานเพื่อมีทายาทเลี้ยงดูที่จะทำให้ชีวิตมีคุณค่าขึ้นมาได้มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด  





Dita Von Teese

"พี่น้องของชั้นต่างก็มีลูก   ชั้นรักเด็กค่ะ แต่มันก็ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว     ชั้นเคยแต่งงานกับใครบางคนที่ไม่เหมาะกับการเป็นพ่อ  เค้าแทบจะดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำไป   คงเลี้ยงดูลูกไม่ไหว    จากนั้นชั้นจึงเปลี่ยนมุมมองของตัวเองและยอมรับว่า  มันโอเคที่ชั้นจะไม่มีลูก    ตอนนี้ชั้นก็เพียงแต่เฝ้ามองว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิต     ความเป็นคนของชั้นจะไม่ลดน้อยถอยลงหากชั้นไม่มีลูก    ทุกอย่างจะลงเอยไปในทางทีดีเอง"



โลกที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมทรามลงเป็นอีกเหตุผลที่หลายคนไม่แน่ใจที่จะมีทายาท  แม้แต่คนที่ร่ำรวยแบบเวเลบก็ยังหวั่นใจไม่อยากสร้างให้ชีวิตหนึ่งต้องมาพบกับปัญหาสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดูเลวร้ายลงเรื่อยๆ   Dita เป็นอีกคนหนึ่งที่หวั่นใจกับเรื่องนี้จนไม่อยากมีลูกค่ะ  เธอบอกว่า social media อาจจะสร้างประโยชน์หลายอย่าง ตั๋วการแสดงของเธอขายหมดเกลี้ยงพราะใช้ social media เป็นสื่อกลาง  แต่ก็มีด้านน่ากลัวเช่นเดียวกัน เพราะมันมีอิทธิพลต่อความคิดต่อคนหนุ่มสาวจนแทบควบคุมไม่ได้  เด็กๆสามารถเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสมอย่างง่ายดาย  สำหรับตัวเรา มันไม่ยากที่จะเข้าใจความรู้สึกลังเลยค่ะ   เรื่องราวความบิดเบี้ยวจากปัญหาสังคมนั้นอาจจะทำให้หลายคนรู้สึกขยาดเอาจริงๆ




Oprah Winfrey


หลายคนถามตัวเองจนแน่ใจว่า คงไม่สามารถเป็นแม่ที่ดีได้ และตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีลูก       ดังที่เจ้าแม่สื่อที่ประสบความสำเร็จล้นพ้นได้ว่าไว้

" ถ้าชั้นมีลูก เค้าคงเกลียดชั้นมากค่ะ"


หากรู้ตัวดีว่า คงไม่สามารถดูแลให้ความรักคนทั้งคนได้อย่างเต็มที่    จะฝืนตัวเองเพื่อสนองต่ออะไร ?  แม้จะมีเงินมหาศาลอย่าง Oprah  แต่นั่นไม่ได้การันตีว่าจะทำให้ลูกมีชีวิตแสนสุขราวกับในนิทาน   คุณผู้อ่านอาจจะเห็นกรณีตัวอย่างของคนที่มีลูกทั้งๆที่ไม่พร้อมจะเป็นแม่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน     ผลลัพธ์ของมันอาจจะถึงขั้นหายนะจนใครๆต่างเข้ามาให้ความเห็นว่า  "สังคมสมัยนี้น่ากลัว"    ทั้งๆที่ข้อผิดพลาดอาจจะเริ่มต้นตั้งแต่การเข้าสู่การเป็นแม่ ทั้งๆที่ไม่ได้เตรียมพร้อมถึงสิ่งที่ต้องเสียสละและความยากลำบากอีกหลายประการนั่นเอง


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE