Laura Mercier Tinted Moisturizer : 2 สูตรเพื่อผิวสวยแบบ No Makeup - Make up

58 24
GIVEN BY BRAND / แบรนด์ฝากประชาสัมพันธ์จ้า ^^
- #JebanistaOnEvent ได้รับเชิญเป็นตัวแทน Jeban Team ไปร่วมงาน เพื่ออัพเดท ลอง รีวิวไอเท็มใหม่ๆ ให้เพื่อนๆ ชมกันจ้า - 
สวัสดีค่ะสาวๆ ?? ป้าอบมาอีกแล้ววว วันนี้อบมาพร้อมกับ Tinted Moisturizer 2 สูตร จากแบรนด์ Laura Mercier หรือป้าลอร่าที่เราคุ้นเคยกัน คิดว่าสาวๆ ส่วนใหญ่ น่าจะรู้จักชื่อเสียงจากแป้ง Translucent ที่โด่งดัง ยืนหนึ่งในเรื่องคุมมันนั่นเองง

เนื่องจากเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา อบ (บังเอิญ) ได้ไปร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในนามของ Jeban แห่งนี้ (ต้องขอขอบคุณ Jeban สำหรับโอกาสดีๆ ด้วยนะคะ ?) แล้วได้รับผลิตภัณฑ์มาลองใช้ หลังจากทดลองใช้มาประมาณ 1 สัปดาห์ วันนี้จะมาเล่าให้สาวๆ ฟังมาใช้แล้วรู้สึกยังไงบ้าง เผื่อถูกใจสาวๆ คนไหน จะได้มีข้อมูลไปตำกันได้นะค้าา ❤
Tinted Moisturizer คืออะไร?
Tinted Moisturizer พูดง่ายๆ ก็คือ เป็น Moisturizer ที่มีสี คือไม่ได้แค่ให้การบำรุง แต่ให้เอฟเฟคในการทำให้ผิวแลดูเรียบเนียนขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ สว่างกระจ่างใสเป็นต้น ตามคอนเซป No Makeup - Makeup นั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อปกปิดเด้ออออ อย่างมากแค่ทำให้ผิวเบลอๆ ดูสวยแบบธรรมชาติจ้า

โดยตัว Tinted Moisturizer ของ LM ทั้งสองสูตรที่ว่า นั้นก็คือ
  • Tinted Moisturizer Natural Skin Perfector : เป็นสูตรปรับปรุงใหม่จากสูตรเดิมที่มีมานานแล้วของแบรนด์ จะช่วยให้ผิวสวย ดูอิ่มน้ำ บางเบา ให้ความชุ่มชื้นยาวนาน 24 ชม. ด้วยส่วนผสมจาก Macadamia และ Kukui Seed oil มีทั้งหมด 20 เฉดสีให้เลือก
  • Tinted Moisturizer Illuminating Natural Skin Perfecter : ตัวนี้เป็นสูตรใหม่เลย เน้นรีเฟลคซ์แสง ให้ความประจ่างใส มีความวิ๊งๆ มากกว่าตัวบน ใส่สารสกัดจาก French Algea และ Licorice ซึ่งเป็นสารไวท์เทนนิ่งมาให้ มีทั้งหมด 6 เฉด
ทั้งสองสูตรมี SPF 30 PA+++ และเหมาะสำหรับทุกสภาพผิวค่ะ
มาเข้าสู่ช่วงทดลองใช้กันดีกว่า อบได้ทดลองใช้ 2 สูตรนี้เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ โดยจะทดลองใช้แบบเดี่ยวๆ / ร่วมกับไพรเมอร์ต่างๆ และแป้งต่างๆ ที่อบมี แต่วันนี้เลือกเอาผลเฉพาะวันที่คิดว่ามีประโยชน์มาโชว์เท่านั้นเด้อ ไปดูกันจ้า

*อบเป็นสาววัย 30+ ผิวผสม รูขุมขนกว้าง มีสิว/รอยแดง/รอยดำ/กระลึกประปราย

**บนรูปอบพิม์ Tinted ผิดต้องขออภัยด้วยนะคะ เพิ่งเห็น ?

DAY 1

ลองสูตร Original โดยแบ่งหน้าเป็นสองด้าน 1 ด้านลงบนผิวเปล่าๆ อีกด้านใช้เบสของ JSM ที่อบเพิ่งได้มาลอง เสร็จแล้วเซ็ตด้วยแป้งของ Urban Decay และ THREE สาเหตุที่อบไม่เซ็ตด้วยแป้งลอร่าตั้งแต่แรกเพราะอบไม่อยากเสียความฉ่ำวาวของเค้าไป ไหนๆ เค้าก็ทำมาเพื่อให้ได้ลุคที่ดิวอี้ๆ แต่ถ้าเราเอาแป้งที่ช่วยเซ็ตให้ทุกอย่างแมทโครตทับลงไป มันก็ดูแปลกๆ อยู่ 555+
ผลวันแรก เอาจริงๆ อบค่อนข้างประทับใจนะ เพราะความฉ่ำของเค้าไม่ทำได้เน้นรูขุมขนเราให้เบิกบานมากขึ้นเลย และหลังผ่านไปแล้วทั้งวันเค้าก็ยังติดอยู่บนหน้าได้ดีเลย แน่นอนว่าเป็นผลมาจากเบส (ด้านที่ไม่ได้ทาเบสหลุดไปเยอะกว่า) และแป้งช่วยด้วย แต่เมื่อพิจารณาความฉ่ำ และความที่เราลากเค้าไปเดินข้างนอกแบบไม่มีแอร์ เราถือว่าเค้าทำได้ดีเลย เรื่องการปกปิดก็ไม่ได้คาดหวังเนอะ เพราะเค้าไม่ได้ทำมาเพื่อสิ่งนั้น ต้องใช้คอนซีเลอร์ช่วยจ้า

**อบได้สี 3W1 มาซึ่งแอบเข้มกว่าผิวอบนิดหนึ่งและออกแดงไปหน่อย (ตอนลองก็ว่าพอดีแล้วนะ) แต่พอเซ็ตด้วยแป้งเค้ากลับสว่างขึ้น ทำให้ไม่ได้แตกต่างจากผิวตัวอบเท่าไหร่นัก ถ้าใครผิวประมาณ NC40 อาจจะต้องไปลอง 3N1 ดูนะคะ

ขอข้าม DAY 2 ไปนะเพราะผลไม่ได้ชัดเจน ขี้เกียจทำรูป 55+

DAY 3

ลองสูตร Illuminating โดยแบ่งครึ่งหน้า ครึ่งหนึ่งใช้ไพร์เมอร์ Clarins อีกครึ่งลงบนผิวเปล่าๆ แล้วลงแป้งฝุ่น THREE กับ Urban Decay ทับ เหตุผลที่ยังไม่ใช้แป้งลอร่าก็เช่นเคย อยากลองแบบไม่แมทมากก่อนจ้า


เราว่าเราประทับใจสูตร Original แล้ว จะบอกว่าตัว Illuminating ทำให้เราว้าวกว่า เพราะถึงวิ๊งนางจะหนัก แต่นางไม่ทำให้เราดูรูเบิกบานมากยิ่งขึ้นเลย! คือดูใกล้ๆ แบบใกล้มากๆ จริงๆ ถึงจะเห็นว่าแอบมีเม็ดๆ เล็กๆ กระจายอยู่ แต่ระยะปกติคือดีย์! ฉ่ำโกลวเว่อร์วัง ทำให้ผิวดูกระจ่างแต่ไม่เทานะ แม้เราจะไม่ใช้แฟนของผิวฉ่ำโกลวเนื่องจากสภาพผิวเรา เรารู้ว่าเราไม่รอด แต่อันนี้เราชอบ! ความปกปิดก็พอๆ กับตัว original น้า ใช้คอนซีเลอร์วนไปจ้า ความติดทนน้อยกว่าสูตร Original แต่ก็แอบอยู่ได้ทั้งวันอยู่นะ ไม่ได้หน้าเกลียด ถ้าอยู่ในห้องแอร์ผิวน่าจะสวยกว่านี้เมื่อหมดวันจ้า

DAY 4

เนื่องจากว่าตัว Illuminating สามารถใช้ร่วมกับรองพื้นเนื้อแมท ที่เราแอบอยากเติมความฉ่ำให้เค้าหน่อย วันนี้อบก็เลยเอามาลองกับ Estee lauder double wear เพราะนางคือรองพื้นที่แมทที่สุดที่มีในกรุแล้ว แต่ในวันงานพี่ๆ เค้าแนะนำให้ใช้คู่กับ laura mercier flawless fusion ultra-longwear foundation นะคะ พอดีอบไม่มีตัวนั้น แล้วก็จะแบ่งเซ็ตแป้งสองฝั่งด้วยแป้งฝุ่นคนละอันจ้า (ยังไม่ได้ใช้แป้งฝุ่นลอร่า 55+)

มันดีงามมากแม่! คือรองพื้นเอสเต้มันเด่นเรื่องการปกปิดอยู่แล้วไง แต่มันแมท แห้ง และถ้าลงไม่ดีก็ตกรูขุมขนนะค้าา พอมาใช้ร่วมกับตัว Illuminating แล้วมันทำให้รองพื้นมันไม่แมทเกินไป ได้ควมฉ่ำกลับมา แต่ยังได้ความปกปิดและความติดทนของรองพื้นเนื้อแมทอยู่ บอกเลยผิวสวยยันเย็นจ้า ผ่านไป 12 ชม มีคราบตรงรอยแว่นเพราะอบถอดคอนแทคเลนส์จ้า

DAY 5

ทดลองใช้สูตร Original และ Illuminating อย่างละครึ่งหน้า แล้วเซ็ตด้วยแป้งฝุ่นลอร่า (ซะที 55+)

แป้งลอร่าเค้าเริ่ดจริงง่ะ! 555+ วันนี้เซอร์ไพร์กว่าทุกวัน เพราะฝนตกขณะที่อบกำลังแว้นมอไซต์กลับบ้านจ้าาาาา แล้วคือหมวกกันน็อคไม่มีหน้ากาก 555+ กลับบ้านมาคิดว่าผิวเละแน่ๆ แต่เมคอัพยังอยู่ค้าา แน่นอนมีหลุดไปบ้างตามความแรงของฝน แต่คือแค่มีอะไรอยู่บนผิวก็เซอร์ไพร์แล้วอ่ะ เอาจริงๆ ผ่านไป 12 ชม ฝั่ง illuminating หลุดไปเยอะกว่าตามคาด

สรุปผล
ข้อดี
  • บางเบา เกลี่ยง่าย ให้งานผิวฉ่ำ ไม่ตกรูขุมขน
  • ติดทนโอเค ผิวมัน ผิวผสม ต้องใช้ไพร์เมอร์และแป้งช่วย โดยเฉพาะแป้งลอร่าเองเลย ทำให้ติดทนดีมากๆ
ข้อสังเกต
  • ปกปิดน้อยต้องใช้คอนซีเลอร์ช่วย
  • ตัว illuminating จะติดทนน้อยกว่าตัว original สาวผิวมันอาจจะไม่รอด ต้องปรับไปใช้แบบผสมกับรองพื้นเนื้อแมทแทน
เหมาะกับใคร
สาวผิวดี ไม่ต้องการการปกปิด ต้องการแค่ให้ผิวแลดูเรียบเรียน ฉ่ำสวย เหมาะกับใช้ชีวิตในห้องแอร์ หรือหน้าหนาว สาวผิวแห้ง หรือผิวธรรมดาที่ชอบให้ผิวฉ่ำมากๆ น่าจะปลื้ม สาวผิวผสม ผิวมัน ต้องใช้ไพร์เมอร์และแป้งช่วยจ้า

ก็จบไปแล้วนะคะสำหรับการรีวิวในครั้งนี้ ชอบไม่ชอบยังไงฝากคอมเม้นไว้ได้เลย ก่อนจบรีวิวอบก็มีภาพบรรยายกาศในงาน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของแบรนด์มาให้ดูกันน้า เผื่อสาวๆ สนใจจะได้ไปลองดู กระซิบบอกนิดหนึ่งว่าเราปลื้มไฮไลท์เค้ามากกกกกก ฮรี่ๆ 
ปิดท้ายด้วยรูปจากงาน ถ้ารู้ว่าต้องชักภาพจะไปให้สวยกว่านี้!!!! โอ้ยอืดดดดดดด 5555+ วันนี้ลาไปเท่านี้นะคะ XOXO

- Updated by Shiki (อบเชย) ตัวแทนทีมจีบันไปร่วมงาน Laura Mercier จ้า  
#JebanistaOnEvent


shiki

shiki

ยังทดลองแต่งหน้าไปเรื่อยๆ ค่ะ

FULL PROFILE