ดราม่า CEO เหยียดนางงาม

52 12
ท่ามกลางความนิยมของการประกวดนางงามในหลายประเทศทั่วโลก   แต่ผู้คนจำนวนมากยังมีทัศนคติในแง่ลบกับการคัดเลือกหญิงสาวไปแข่งขันความงามกับคู่แข่งระดับนานาชาติ     มีข้อถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นว่า  แท้จริงแล้ว "เวทีขาอ่อน" คือการแสดงออกถึงการเหยียดเพศและลดคุณค่าผู้หญิงด้วยการนำพวกเธอมาตีราคาจากความงามภายนอก       มีการวิพากษ์อย่างเผ็ดร้อนว่าการนำผู้หญิงสวยมาโชว์สัดส่วนและฉีกยิ้มบนเวทีก็ไม่ต่างอะไรกับการประกวดเฟ้นหาสัตว์เลี้ยง pedigree  บ้างก็ตั้งคำถามว่า หากผู้หญิงต้องการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมพัฒนา   เหตุใด  เส้นทางในฝันของพวกเธอจึงต้องเริ่มต้นด้วยการอวกเรือนร่างในบิกินี่เพื่อให้กรรมการกดคะแนนเต็มสิบ    รวมไปถึงการรวมตัวประท้วงการประกวดนางงามจากกลุ่มนักสิทธิสตรี


แต่ฝ่ายที่สนับสนุนการประกวดนางงามได้อธิบายว่า    การเฝ้าติดตามเหล่าสาวงามเข้าร่วมชิงชัยได้แตกต่างจากเกมกีฬา  พวกเธอต่างทุ่มเทฝึกฝนใน "คอร์สนางงาม"  สุดหิน   เราคงไม่สามารถจินตนาการความรู้สึกที่ต้องได้เกินบนส้นสูง 7 นิ้วอย่างคล่องแคล่วและดูสง่างาม  การดูแลรูปร่างหน้าตาก็ต้องเคร่งครัดให้งามในทุกตารางนิ้ว และยังขาดปฏิภาณไหวพริบในการตอบคำถามที่ต้องรอบรู้สถานการณ์โลก   หลายคนชื่นชมว่า วงการนางงามได้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ยึดติดกับสิ่งผิวเผินภายนอกเพียงเท่านั้น  แต่ยังมีการส่งเสริมการสร้างพลัง (Empowerment) ด้วยแนวคิดด้านบวก  ผู้แข่งขันหลายคนถูกจัดให้เป็น "หัวกะทิ"จากหลายแวดวง  ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ทนาย นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร 



บางครั้งบางครา เราจะได้ยินเสียงเหน็บแนมว่า บรรดาproject เพื่อส่วนรวมของนางงามเป็นเพียงการสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูมีคุณค่าและ "story" เมื่อการประกวดจบ บรรดา project ที่ดูสวยหรูก็ถูกทิ้งขว้างไป


แต่ที่จริงแล้วยังมีนางงามอีกหลายคนที่เดินหน้าทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมต่อ   แม้จะไม่ได้สวมมงกุฏแล้วก็ตาม      (ภาพของพี่ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ลอยขึ้นมาทันที)


แต่ถึงจะยกระดับการประกวดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในด้านคุณสมบัติความงามที่มาจากภายใน    แต่หากไม่ใช่สาวงามสูงเพรียวที่มีสัดส่วนเย้ายวนใจ   โอกาสที่จะเข้ามาชิงมงกุฎก็คงจะริบหรี่    ด้วยมาตรฐานความงามสูงจนแทบเอื้อมไม่ถึงได้ทำให้เกิดดราม่าเหยียดนางงามซ้ำแล้วซ้ำเล่า   




ชาวเน็ทเหยียดนางงาม 






นางงามเหยียดนางงาม
(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)






แต่ถ้าเป็น CEO ของกลุ่มธุรกิจผู้จัดการประกวดเหยียดนางงามซะเองล่ะ ? ดราม่านี้จะสั่นสะเทือนวงการนางงามได้ขนาดไหน



มหากาพย์อีเมลหลุด เลื่อยขาก้าอี้ CEO Miss America 
แม้ว่าการประกวดระดับนานาชาติอย่าง Miss Universe และ Miss World จะมีชื่อเสียงมากกว่า  แต่ Miss America ก็ดำเนินมาเกือบๆจะร้อยปีแล้วนะคะ  ถือว่าเป็นต้นแบบแห่งการประกวดนางงามก็ว่าได้ 

Sam Haskell ประธานบอร์ดบริหารที่ช่วยทำให้ Miss America ที่เผชิญกับความซบเซามาหลายปีได้พลิกคืนชีพมาเป็นการประกวดที่ได้รับความนิยมขึ้นมาอีกแต่เบื้องหลังภาพสวยหรูของ CEO ที่ส่งเสริมผู้หญิงให้แสดงความสามารถ เขาคือชายที่นินทาผู้หญิงลับหลังด้วยถ้อยคำหยาบคาย  อีเมลที่ส่งโต้ตอบกันระหว่างผู้บริหารนั้นเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง
เมื่ออีเมลของเหล่า CEO ของ Miss America ถูกตีแผ่ในโลกออนไลน์ก็กลายมาเป็นหัวข้อข่าวด้วยเนื้อหาสุดช็อค!


"พระเจ้า เธออ้วนขึ้นจนดูน่าคลื่นไส้ เขาควงเธอลงได้ไง" เป็นหนึ่งในสิ่งที่ Sam Haskell กล่าวถึงอดีต Miss America ปี 2013 บุคคลที่ 3 ที่พูดถึงคือหนึ่งในผู้ร่วมงานที่กำลังเดทเธออยู่นั่นเองค่ะ ไม่วิจารณ์เพียงอย่างเดียว เขายังส่งภาพของเธอไปให้ผู้บริหารคนอื่นได้ดูและย้ำว่า "กระเดือกลงไปได้ยังไงนะ" ทุกคนยังจิกกัดรูปร่างของเธออย่างสนุกปาก

พวกเขายัง "เม้า"กันอีกว่าเธอนอนกับผู้ชายไปทั่ว ตอนที่เขารู้ว่าเธอไปมีอะไรกับคนรู้จัก เขาก็ได้แนะนำแม่ของชายคนนั้นให้ไปตรวจเลือดซะ เพราะ Miss America รายนี้สำส่อนจนนับไม่ถ้วนแล้วว่าผ่านใครมาบ้าง

Tammy Haddad (คนขวาสุด) ที่ปรึกษาด้าน media ได้พูดถึง Miss America ว่า
" นางงามที่คว้ามงมาได้ 80% เป็นพวกไม่มีคลาส โง่เง่าและไม่ได้เป็นแบบอย่างของความสำเร็จแม้แต่น้อย เธอแนะนำ Sam Haskell ให้ "ตัดหางปล่อยวัดพวกนางงามไป เพราะพวกหล่อนไม่จำเป็นต่อคุณ พวกหล่อนต่างหากที่ต้องการพึ่งพาคุณ และเราควรให้บทเรียนกับพวกหล่อนที่ไม่รู้จักบุญคุณกับสิ่งที่พวกเราทำให้"


และ  CEO รายนี้ก็เห็นด้วยเต็มที่  เขาตอบที่ปรึกษาสาวใหญ่ไปว่านี่เป็นคำแนะนำที่ "ฉลาดปราดเปรื่อง"
 Mallory Hagan  อาจจะมีข้อพิพาทบางอย่างกับท่านประธาน   เขาบ่นอย่างหัวเสียในพฤติกรรมของเธอและพยายามระดมความคิดจากบอร์ดคนอื่นๆเพื่อจะกีดกันไม่ให้ธุรกิจเทรนนางงามของเธอประสบความสำเร็จและกีดกันเธอจาก event ต่างๆ  

หลังจากที่ถูกแฉครั้งใหญ่   Sam Haskell ก็ได้โต้ตอบว่าเนื้อหาบทความจาก Huffpost ที่ตีแผ่เนื้อหาอีเมลไม่เป็นความจริง  แต่ภายหลังก็ถูกพักงานชั่วคราว   แต่บทลงโทษเพียงเท่านี้สร้างความไม่พอใจให้กับ Miss America ที่ถูกเหยียดหยาม เธอเรียกร้องให้เพื่อนนางงามและประชาชนลงมือชื่อให้องค์กรไล่ CEO ที่มีชื่อปรากฏในอีเมลฉาวออกไป    ไม่นานจากนั้น Sam Haskell รวมกับผู้บริหารคนอื่นเป็นสี่คนก็ได้ลาออก ร่วงระนาวเลยทีเดียว    จากเดิมที่การประกวดมีภาระหนี้สินอยู่แล้ว  เหล่าสปอนเซอร์ก็กดดันขู่ตัดความสัมพันธ์จากภาพลักษณ์ที่เสียหาย  เรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤติ

แต่แม้ว่าจะเปลี่ยนประธานคนใหม่มาเป็น Gretchen Carlson อดีต Miss America เมื่อ 30 ที่แล้ว และประกาศเปลี่ยนแปลงหลักการคัดเลือกผู้ชนะว่าจะไม่ขึ้นอยู่กับเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก เปลี่ยนจากคำว่านางงามเป็นผู้เข้าแข่งขัน และก็ได้ผู้ชนะที่คุณสมบัติที่โดดเด่น นั่นคือ Cara Mund ที่มีดีกรีเกียรตินิยมจาก Brown มาทำดำรงตำแหน่งประจำปี 2018

แต่ดราม่าของเวทีนี้ก็ยังปะทุขึ้นมาอีก เมื่อ Cara ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกว่าเธอถูกผู้บริหารbully ไม่ให้เธอมีปากเสียงใดๆ ลดบทบาทในการแสดงศักยภาพ จนเธอไม่มีความสำคัญในฐานะ Miss America รายการ TV ต่างๆเชิญเธอไปสัมภาษณ์เล่าปัญหาในการดำรงตำแหน่ง เธอสามารถยืนยันชัดเจนว่าประธานและผู้บริหารอีกคนปฎิบัติกับเธออย่างไม่ให้ความนับถือ ทำให้รู้สึกย่ำแย่ ทั้งๆที่เป็นหน้าตาของเวทีนี้ (บังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่ชื่อของพวกเธอคือ Regina&Gretchen เหมือนกับแกงค์ Mean Girls เป๊ะ!)

พฤติกรรมของประธานที่ Cara เล่าว่ารับไม่ได้ เริ่มตั้งแต่ การเมินเฉยไม่ยอมให้เธอเข้าประชุมด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็แกล้งเรียกชื่อเธอผิดๆ พวกเค้ายังวิจารณ์รูปลักษณ์และการแต่งกายของเธอจนรู้สึกอับอาย และยังลดบทบาทของเธอลงไปอย่างน่าใจหาย

"เวลาที่เราต้องไปติดต่อสปอนเซอร์หรืออีเวนท์ใหญ่ๆ พงกเค้าก็ควรพา Miss America ไปด้วย เพราะตัวชั้นคือผลิตผลขององค์กรนะคะ ชั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ต้องการแสดงความคิด ชั้นมีทักษะในการพูดและมีการศึกษาที่ดี และชั้นอยากจะทำงานมากๆ ตำแหน่งนี้มีความหมายสำหรับชั้นเป็นที่สุดและอยากจะทำทุกวันให้เต็มที่"


แม้ว่าจะผู้บริหารทั้งสองยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ได้ bully  Miss America   แต่ก็ถูกกกดดันจากกองประกวดจากเกือบทุกรัฐรวมไปถึงนางงามอีกหลายคนที่เชื่อถือคำพูดของ   Cara Mund  ในที่สุดประธานที่ถูกกล่าวหาก็ก้าวลงจากตำแหน่ง      


CEO ที่เรียก Miss Universe ว่ามิสหมูอ้วน


แฟนๆ การประกวดนางงามคงจะทราบกันดีว่า ความงามแบบ perfect body ที่เราเห็นบนเวทีนั้นต้องแลกมากับหยาดเหงื่อเลือดเนื้อของผู้เข้าประกวด ใช่ค่ะ พวกเธอต่างก็สูงเป้นทุนเดิม แต่กว่าจะ lean ได้ขนาดนั้นก็ต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อจะได้คะแนนสูงปรี๊ดในการประกวดชุดว่ายน้ำและดูเปล่งประกายที่สุดเพื่อจะให้เข้าไปถึงรอบสุดท้าย มันอาจจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนัก หากนางงามจะไม่ได้ทุ่มเทเรื่องการออกกำลังและไดเอทอย่างเข้มข้นเหมือนกับตอนเตรียมขึ้นเวที เพราะพวกเธอไม่ได้ถูกตัดสินจากกรรมการสายตา x-ray ในชุดว่ายน้ำไซส์จิ๋ว โดยเฉพาะผู้ชนะที่ต้องเดินทางไปหลายประเทศทั่วโลกเพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้กับการประกวดและเดินหน้าเรื่องแคมเปญเพื่อช่วยเหลือสังคม แม้แต่เวลาหลับพักพ่อนอาจจะเหลือน้อยจนไม่ได้ดูแลตัวเอง นางงามอาจจะดูตัวใหญ่ขึ้นมาหลังประกวด และสำหรับ CEO ที่มองว่าเธอเป็นเหมือนหน้าตาของแบรนด์ก็ไม่อาจยอมรับได้

Alicia Machado   Miss Universe ปี 1996 ผู้คว้าคะแนนในรอบชุดว่ายน้ำถึง 9.82  ต้องผจญกับเสียงวิจารณ์หลังจากที่เริ่มอวบชึ้นในช่วงโพรโมท  แม้ตอนนั้นจะยังไม่มี social media  แต่ก็ตกเป็นข่าวใหญ่เหมือนกันค่ะ



ในตอนนั้น ภาพที่ออกมาคือ  Mr. Trump เจ้าของการประกวดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ Alicia เพื่อรีดไขมันอย่างเต็มที่  หลายปีต่อมา พวกเราก้ได้รู้กันว่า ภาพสัมพันธภาพอันดีของ CEO และนางงามมันเป็นเพียงฉากหน้า

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือแถลงข่าวที่แปลกแหวกแนว Trump เรียกผู้สื่อข่าวให้มาถ่ายทำภาพของMiss Universe ตอนที่กำลังออกกำลังกาย  เธอต้องโชว์ความ fit  ด้วยการกระโดดเชือก ซิทอัพ และใช้เครื่องออกกำลังกายอย่างคล่องแคล่ว      CEO ชื่อดังย้ำแล้วช้ำอีกว่า Miss Universe เป็นคนที่กินเก่ง และยกความผิดให้เป็นความเครียดจากการเดินทางที่ทำให้เธอกินมากขึ้น   และยังหารือกับเทรนเนอร์ว่าน้ำหนักของเธอควรจะอยู่ที่เท่าไรต่อหน้านักข่าว

แต่ไม่กี่ปีก่อน Alicia ได้เปิดเผยว่า Trump เคยจิกกัดเธอด้วยคำว่า Miss หมูอ้วน Miss ขี้เหร่ รวมไปถึงการเหยียดเชื้อชาติด้วยการเรียกเธอว่าแม่บ้านทำความสะอาด
( แรงงานเชื้อสายละตินจำนวนมากเลือกทำอาชีพนี้)

นอกจากจะต้องอับอายต่อหน้าสื่อที่ถูกยกให้เป็นสาวสวยที่ตามใจปากจนต้องมากระโดดเชือกโชว์นักข่าว ก็ยังต้องถูก fat-shame จากเจ้าของเวทีหลายครั้งโดยไม่สามารถโต้ตอบใดๆ เธอยืนยันว่าประสบการณ์ที่ได้ครองมงกุฎ Miss Universe กระทบต่อความมั่นใจจนกลายเป็นโรคปฏิเสธอาหาร


ส่วนตัว CEO ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด  เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีและกลายมาเป็นผู้นำประเทศมหาอำนาจวันถึงวันนี้




The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE