ประสบการณ์ของคนดังที่เคยผจญ Cyberbully
candy 43 5
ในโลกนี้มีบุคคลจำพวกหนึ่งที่หมกมุ่นกับการปิดบังตัวตนอยู่ภายใต้ถ้อยคำอันร้ายกาจ พวกเขารู้สึกถึงอำนาจที่สามารถทำร้ายผู้อื่นโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน แล้วยังย่ามใจว่าจะรอดพ้นจากการเอาผิดเพราะเหยื่อ bully ไม่ต้องการเสียเวลาและทรัพย์สินในการดำเนินการทางกฎหมาย
เซเลบคือเป้าหมายในที่แจ้งที่พวกbully ตามจองล้างจองผลาญ อาจจะมีคนที่คิดง่ายๆว่า นี่คือสิ่งที่พวกเค้าต้องแลกกับชื่อเสียงเงินทองล้นหลาม เพียงแค่เมินเฉยต่อ cyberbully หรือไม่ต้องเปิด account เป็นสาธารณะก็แก้ปัญหาได้ง่ายๆ
แต่ถ้าทุกคนสามารถเมินเฉยต่อคำพูดโจมตีใส่ร้ายป้ายสีได้หมด ก็คงไม่มีพื้นที่เหลือให้พวก bully ได้ไปทำร้ายใครได้อีก และทำไม เหยื่อ bully จะต้องคอยหลบหนี ถูกจำกัดสิทธิ์ ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่คนกระทำผิด
เรื่องราวของคนดังที่ต้องต่อสู่กับ Cyberbully น่าจะทำให้พวกเราตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้
เซเลบคือเป้าหมายในที่แจ้งที่พวกbully ตามจองล้างจองผลาญ อาจจะมีคนที่คิดง่ายๆว่า นี่คือสิ่งที่พวกเค้าต้องแลกกับชื่อเสียงเงินทองล้นหลาม เพียงแค่เมินเฉยต่อ cyberbully หรือไม่ต้องเปิด account เป็นสาธารณะก็แก้ปัญหาได้ง่ายๆ
แต่ถ้าทุกคนสามารถเมินเฉยต่อคำพูดโจมตีใส่ร้ายป้ายสีได้หมด ก็คงไม่มีพื้นที่เหลือให้พวก bully ได้ไปทำร้ายใครได้อีก และทำไม เหยื่อ bully จะต้องคอยหลบหนี ถูกจำกัดสิทธิ์ ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่คนกระทำผิด
เรื่องราวของคนดังที่ต้องต่อสู่กับ Cyberbully น่าจะทำให้พวกเราตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้
Millie Bobby Brown
เธอเป็นนักแสดงเด็กที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นวัยรุ่นเพียงไม่นาน ความสำเร็จสุดอลังการจาก Stranger Things ทำให้เธอก้าวมาเป็นนักแสดงเลือดใหม่ไฟแรงที่อนาคตสดใส มีคนเปรียบเทียบว่าเธออาจจะไปได้ไกลในระดับ A List อย่าง Natalie Portman และ Saoirse Ronan ภาพของสาวน้อยที่ดูอ่อนหวานน่ารักทำให้แฟนๆมากมายชื่นชมและยกให้เธอเป็นแบบอย่างเยาวชน
จนกระทั่ง...
มีการเคลื่อนไหวหนึ่งบนโลกออนไลน์ที่พยายามโค่น Millie ให้พังพินาศด้วยการปล่อยข่าวว่าเธอเป็นนังเด็กชั่วร้าย anti เพศทางเลือกและแบ่งแแยกทางศาสนา
เรื่องเริ่มต้นขึ้นจาก account หนึ่งที่ปัจจุบันถูกระงับไปแล้วอ้างว่า เธอเจอกับ Millie ที่สนามบิน เมื่อขอร้องจะถ่ายรุปคู่ด้วย นางเอกชื่อดังกลับบอกว่า จะยอมถ่ายด้วยก็ต่อเมื่อเธอถอดฮิญาบออกเท่านั้น แต่เมื่อเธอบอกว่านี่เป็นความเชื่อทางศาสนา Millie ก็ทึ้งผ้าคลุมศีรษะของเธอออก
ในขณะที่มีคนออกมาปกป้องและแสดงความไม่เชื่อถือใน user ดังกล่าว ด้วยการจับผิดที่ภาพprofile ของเธอก็ไม่เห็นใส่ฮิญาบ ก็ได้รับคำตอบว่า ผ้านั้นถูกMillie ฉีกไปหมดแล้ว และล่อเป้าด้วยภาพที่ดู fake อย่างชัดเจน จากนั้น hashtag #TakeDownMillieBobbyBrown ก็ลุกพรึ่บขึ้นมา ไม่ใช่เพราะว่าข้อกล่าวหาในตัว Millie มีความน่าเชื่อถือ แต่เป็นการเลียนแบบกันเป็นทอดๆโดยใช้ชื่อของนางเอกวัย 13 เป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจ
ในขณะที่มีคนออกมาปกป้องและแสดงความไม่เชื่อถือใน user ดังกล่าว ด้วยการจับผิดที่ภาพprofile ของเธอก็ไม่เห็นใส่ฮิญาบ ก็ได้รับคำตอบว่า ผ้านั้นถูกMillie ฉีกไปหมดแล้ว และล่อเป้าด้วยภาพที่ดู fake อย่างชัดเจน จากนั้น hashtag #TakeDownMillieBobbyBrown ก็ลุกพรึ่บขึ้นมา ไม่ใช่เพราะว่าข้อกล่าวหาในตัว Millie มีความน่าเชื่อถือ แต่เป็นการเลียนแบบกันเป็นทอดๆโดยใช้ชื่อของนางเอกวัย 13 เป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจ
เมื่อคุณได้อ่านข้อความพวกนี้แล้วก็อาจจะฟันธงทันทีว่ามันเป็นเรื่องแต่ง ดาราดังเข้าร้าน ToysRUs แล้วเอา Barbie ใส่ฮิญาบฟาดหน้าคนอื่น หรือจะเป็นเรื่องที่เธอถุยน้ำลายใส่เด็กชายที่มีภาวะ autism และกลายเป็น trending ที่น่าขยะแขยง เพราะมีคนจำนวนหนึ่งแข่งกันแต่งเรื่องใส่ร้ายเธอราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกสนาน
troll เหล่านี้เล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะว่า Millie โผล่เข้ามาก่นด่าด้วยถ้อยคำเหยียดผิว เพยียดเพศ สารพัดเหยียดแบบไร้สาเหตุ เอาเป็นว่าไม่ต้องถามหาหลักฐานจากใคร เพราะชาวเน็ทส่วนใหญ่ต่างก็ทราบกันว่ามันคือเรื่องโกหกที่ใช้คำว่า " แค่ขำ ๆ " เป็นข้ออ้าง และมันหนักขนาดที่มีคนphotoshop เติมสัญลักษณ์Nazi ที่ชุดของเธอ
มีคนมองว่าเรื่องนี้ไม่ได้เสียหายอะไรมาก เป็นแค่ meme ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบไม่รู้จักกาลเทศะ
แต่ที่จริงแล้ว นี่คือสัญญาณที่น่ากลัวจากคนในสังคมที่พยายามหาข้อแก้ตัวให้ cyberbully ให้เป็นเรื่องที่ควรยอมรับได้
เมื่อมีคนประท้วงขอความเป็นธรรมให้สาวน้อยคนดัง ก็มีชาวเน็ทออกมาส่งข้อความยียวนว่า มันแค่เรื่องตลก Millie ผิดเองที่หน้าบางรับกับเรื่องเล็กๆแบบนี้ไม่ได้ และมันเป็นความเห็นของเยาวชนวัยไล่เลี่ยกับเธอ
มันเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกินที่จะรังแกเด็กวัย 13 แล้วอ้างว่าแค่เอาฮา #TakeDownMillieBobbyBrown กลายเป็น trending ที่น่าอับอายของสังคมออนไลน์ พวกที่แอบอยู่หลังคีย์บอร์ดเหล่านี้ไม่กล้าทำอะไรซึ่งๆหน้า แต่ใช้คำพูดเป็นอาวุธทำร้ายคนอื่นอย่างหน้าไม่อาย แล้วยังมีคนยัดเยียดให้เหยื่อเป็นฝ่ายผิดที่ไม่เข้มแข็งเอง ??
โลกนี้โคตร sad ค่ะ ทำไมคนๆหนึ่งต้องทำใจยอมรับที่มีคนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์แต่งเรื่องว่าเค้าเป็น Nazi พวกเหยียดผิวสุดเลวร้าย ?? แค่จินตนาการว่าถ้ามันเกิดกับตัวเราหรือคนที่รักก็รู้สึกอยากจะอาเจียน แต่นี่คือเด็กหญิงวัยที่เพิ่งผ่านชั้นประถมมาได้ไม่นาน
แน่นอนค่ะว่าเธอต้องรู้สึกเจ็บปวดมาก Millie ลบ account บน Twitter ออกไปพร้อมกับความเป็นห่วงจากแฟนๆมากมาย
ในที่สุด Millie โต้ตอบ bully ผ่านเวที MTV awards ได้อย่างจับใจว่า
" ชั้นรู้ว่ามีคนรุ่นใหม่ที่กำลังดูอยู่มากมาย รวมไปถึงบรรดาคุณผู้ใหญ่ทั้งหลาย ชั้นได้รับการอบรมมาว่า หากพูดดีๆไม่ได้ ก็อย่าพูดอะไรออกมาเลยซะดีกว่า การ bully ไม่ควรมีที่ยืนในสังคม และชั้นจะไม่ทนกับเรื่องนี้ ทั้งคุณหรือไม่ว่าใครก็ไม่ต้องทนกับมันทั้งนั้น ถ้าคุณอยากจะให้บางคนย้ำเตือนว่าคุณมีคุณค่ามากแค่ไหนแล้วเอาชนะความเกลียดชังให้ได้ ขอให้ส่งข้อความาหาชั้นทาง Instagram ได้เลยค่ะ"
" ชั้นรู้ว่ามีคนรุ่นใหม่ที่กำลังดูอยู่มากมาย รวมไปถึงบรรดาคุณผู้ใหญ่ทั้งหลาย ชั้นได้รับการอบรมมาว่า หากพูดดีๆไม่ได้ ก็อย่าพูดอะไรออกมาเลยซะดีกว่า การ bully ไม่ควรมีที่ยืนในสังคม และชั้นจะไม่ทนกับเรื่องนี้ ทั้งคุณหรือไม่ว่าใครก็ไม่ต้องทนกับมันทั้งนั้น ถ้าคุณอยากจะให้บางคนย้ำเตือนว่าคุณมีคุณค่ามากแค่ไหนแล้วเอาชนะความเกลียดชังให้ได้ ขอให้ส่งข้อความาหาชั้นทาง Instagram ได้เลยค่ะ"
เธอให้สัมภาษณ์กับ Glamour ถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการ bully ว่า
"ชั้นได้เจอกับเรื่อง bully ทั้งในชีวิตจริงและจากคนในinternetซึ่งมันทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง เมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้นมันทำให้เจ็บปวดมากจริงๆค่ะ"
" social media เป็นทั้งพื้นที่อันดีที่สุดและย่ำแย่ที่สุด มีความย้อนแย้งในตัวมันเอง เราสามารถถ่ายทอดความดีงาม ช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้ในปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข"
"เราไม่ควรแย้งว่า social media ไม่ใช่พื้นที่เพื่อสร้างแนวคิดในแง่บวกและความเปลี่ยนแปลง แต่มันมีเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจเกิดขึ้นในที่แห่งนี้จริงๆ ตัวชั้นเป็นอีกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับ การ bully จากคนในโลกออนไลน์"
"ชั้นได้เจอกับเรื่อง bully ทั้งในชีวิตจริงและจากคนในinternetซึ่งมันทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง เมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้นมันทำให้เจ็บปวดมากจริงๆค่ะ"
" social media เป็นทั้งพื้นที่อันดีที่สุดและย่ำแย่ที่สุด มีความย้อนแย้งในตัวมันเอง เราสามารถถ่ายทอดความดีงาม ช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้ในปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข"
"เราไม่ควรแย้งว่า social media ไม่ใช่พื้นที่เพื่อสร้างแนวคิดในแง่บวกและความเปลี่ยนแปลง แต่มันมีเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจเกิดขึ้นในที่แห่งนี้จริงๆ ตัวชั้นเป็นอีกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับ การ bully จากคนในโลกออนไลน์"
Pete Davidson
หนึ่งในความน่าอับอายของ fandom คือการไล่ตามจองล้างจองผลาญคนรักของซุปตาร์ที่พวกเค้าไม่ยอมรับ
โดยที่ไม่สามารถทำใจรับความเป็นจริงได้ว่า แม้จะเป็นศิลปินที่สร้างชื่อเสียงไปก้องโลก แต่พวกเค้าก็เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อจิตใจ มีเสรีภาพที่ตะเลือกดำเนินชีวิตตามใจปรารถนาโดยที่ไม่ต้องมีใครตามระราน (หากมันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้สังคม)
และเหยื่อ bully คราวนี้คือแฟนหนุ่มของซุปตาร์ที่แฟนคลับเหยียดหยันว่าเขาช่างด้อยค่าต้อยต่ำเมื่อเทียบกับไอดอลผู้สมบูรณ์แบบ
Ariana Grande มีชีวิตเดทที่ใครๆก็จับตามองตามประสาเซเลบสาวสวย เธอเดทแร็พเพอร์ แบคอัพแดนเซอร์ บอยแบนด์
แต่ไม่มีใครเลยที่ต้องผจญกับพิษภัย cyberbully รุนแรงเหมือนกับ Pete Davidson
หลังจากที่พวกเค้าประกาศหมั้นสายฟ้าฟาด ดูเหมือนว่า แฟนๆจะไม่ได้คาดคิดว่าจะมีการแต่งงานตามขึ้นมาจริงๆ แม้ทั้งสองจะดูจี๋จ๋ากันถึงขนาดใช้รอยสักเป็นสัญลักษณืของความรัก แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ต่างฝ่ายก็เพิ่งเลิกกับคนรักเก่า บางคนไม่ "เห็นชอบ" ที่ไอดอลสาววางแผนความสัมพันธ์อันจริงจังกับชายที่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจ ( Pete เปิดเผยชัดเจนว่ามีภาวะ Borderline Personality Disorder )
กระแสโจมตีPete มีแต่จะแรงขึ้นจนอาริต้องบล็อคไม่ให้ใครคอมเมนท์ภาพคู่บน Instagram และยิ่งสาหัสยิ่งเก่าเก่า หลังจากที่ Pete ผิดพลาด หยิบเอาเรื่องระเบิดก่อการร้ายในคอนเสิร์ตของอาริที่Manchesterมาเป็นส่วนหนึ่งของมุก (แม้กระทั่งคอนเสิร์ตของ Britney Spears ก็ไม่เคยมีผู้ก่อการร้ายบุกมาวางระเบิด) แน่นอนว่ามันเป็นมุกที่ฟังดู low ซะเหลือเกิน และ Pete ก็ควรออกมารับผิดชอบต่อคำพูดที่ไม่แยแสต่อความรู้สึกของผู้สูญเสีย
แต่มันก็ได้ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ควรได้รับโอกาสให้ปรับปรุงเรื่องการแสดงออก และcyberbully ก็ห่างไกลกับความถูกต้อง และมันฟังดูโหดร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเหยื่อมีปัญหาทางสุขภาพจิตอยู่แล้ว ในระยะเวลาเพียงไม่กีเดือนที่คู่นี้รักกันอย่างเปิดเผย ฝ่ายชายต้องเผชิญกับคำพูดร้ายกาจจากชาวเน็ทอย่างไม่หยุดหย่อน หนักขนาดไล่ให้เขาไปฆ่าตัวตายซะ
แต่ไม่มีใครเลยที่ต้องผจญกับพิษภัย cyberbully รุนแรงเหมือนกับ Pete Davidson
หลังจากที่พวกเค้าประกาศหมั้นสายฟ้าฟาด ดูเหมือนว่า แฟนๆจะไม่ได้คาดคิดว่าจะมีการแต่งงานตามขึ้นมาจริงๆ แม้ทั้งสองจะดูจี๋จ๋ากันถึงขนาดใช้รอยสักเป็นสัญลักษณืของความรัก แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ต่างฝ่ายก็เพิ่งเลิกกับคนรักเก่า บางคนไม่ "เห็นชอบ" ที่ไอดอลสาววางแผนความสัมพันธ์อันจริงจังกับชายที่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจ ( Pete เปิดเผยชัดเจนว่ามีภาวะ Borderline Personality Disorder )
กระแสโจมตีPete มีแต่จะแรงขึ้นจนอาริต้องบล็อคไม่ให้ใครคอมเมนท์ภาพคู่บน Instagram และยิ่งสาหัสยิ่งเก่าเก่า หลังจากที่ Pete ผิดพลาด หยิบเอาเรื่องระเบิดก่อการร้ายในคอนเสิร์ตของอาริที่Manchesterมาเป็นส่วนหนึ่งของมุก (แม้กระทั่งคอนเสิร์ตของ Britney Spears ก็ไม่เคยมีผู้ก่อการร้ายบุกมาวางระเบิด) แน่นอนว่ามันเป็นมุกที่ฟังดู low ซะเหลือเกิน และ Pete ก็ควรออกมารับผิดชอบต่อคำพูดที่ไม่แยแสต่อความรู้สึกของผู้สูญเสีย
แต่มันก็ได้ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ควรได้รับโอกาสให้ปรับปรุงเรื่องการแสดงออก และcyberbully ก็ห่างไกลกับความถูกต้อง และมันฟังดูโหดร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเหยื่อมีปัญหาทางสุขภาพจิตอยู่แล้ว ในระยะเวลาเพียงไม่กีเดือนที่คู่นี้รักกันอย่างเปิดเผย ฝ่ายชายต้องเผชิญกับคำพูดร้ายกาจจากชาวเน็ทอย่างไม่หยุดหย่อน หนักขนาดไล่ให้เขาไปฆ่าตัวตายซะ
เรื่องราวมันย่ำแย่ไปจนถึงจุดที่ Pete โพสท์ข้อความที่ดูน่ากลัว ราวกับว่าเขากำลังคิดจากโลกนี้ไป เรื่องนี้ซีเรียสจนตำรวจต้องไปเช็คที่บ้านว่าเขามีสภาพที่ปลอดภัย Pete ได้รับกำลังใจล้นหลามจากชาวเน็ทและเพื่อนร่วมวงการ แม้กระทั่ง Ariana ที่เลิกรากันไปแล้วก็ยังเสนอตัวช่วยเหลือ แม้จะรู้ดีว่า Pete อาจจะไม่อยากเจอหน้าเธอ
แม้แต่ตอนที่เลิกกับอาริแล้วไปคบหากับสาวร้อนรุ่นพี่อย่าง Kate Beckinsale ก็ยังมี troll ตามไปหลอกหลอน จิกกัดฝ่ายหญิงบน social media ว่าช่างผิดหวังในตัวเธอที่มีรสนิยมเรื่องผู้ชายแสนแย่ แต่ Kate เก๋าเกมกว่าค่ะ เธอไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ bully ตอกกลับไปว่า " หนวดเบี้ยวๆของคุณก็ทำให้ชั้นผิดหวังเหมือนกัน"
Ed Sheeran
แฟนๆอาจจะได้ยินชื่อเสียงจากความสามารถของศิลปินหนุ่มผมแดงคนนี้ รวมถึงอุปนิสัยที่ขึ้นชื่อว่าติดดินไม่หยิ่งยะโสทำให้เขาเข้าไปสู่อ้อมใจมวลชนในฐานะ sweetheart แต่กระนั้น Ed ก็ถูกล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์จาก online trolls อย่างสม่ำเสมอ กลายเป็นว่าเป็นสิ่งที่เจ้าตัวทำใจรับได้ที่มีคนจิกกัดเรื่องความเป็น ginger และหน้าตาที่ไม่ได้ดูเหมือน pop idol
Ed ในวัยเด็กเคยต้องเสียน้ำตาจากการ bully เรื่องรูปลักษณ์ ginger แต่เมื่อค้นพบดนตรีก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต เขาตระหนักดีว่า ไม่ใช่คนหน้าตาหล่อเหลา เล่นกีฬาเก่ง การฝึกฝนดนตรีทำให้เขาเกิดความมั่นใจ และในที่สุดก็ก้าวขึ้นมาเป็นซุปตาร์ที่ได้รับความนิยมจากแฟนๆไปทั่วโลก
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ สุภาษิตนี้ยังใช้ได้เสมอมา แม้ว่า Ed จะประสบความสำเร็จถล่มทลาย แต่ก็มี hater ที่แสดงความหมั่นไส้แบบไม่ไว้หน้า แม้แต่เรื่องที่เขาไปปรากฏตัวเป็นนักแสดงรับเชิญของ Game Of Thrones ก็ยังมีคนแสดงความรำคาญใจ
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ สุภาษิตนี้ยังใช้ได้เสมอมา แม้ว่า Ed จะประสบความสำเร็จถล่มทลาย แต่ก็มี hater ที่แสดงความหมั่นไส้แบบไม่ไว้หน้า แม้แต่เรื่องที่เขาไปปรากฏตัวเป็นนักแสดงรับเชิญของ Game Of Thrones ก็ยังมีคนแสดงความรำคาญใจ
Ed อาจจะมองข้ามเสียงล้อเลียนเรื่องรูปร่างหน้าตาและการถูกวิจารณ์หลังจากเข้าไปเป็นตัวประกอบในซีรีส์ชื่อดัง แต่สิ่งที่กระทบใจเขามากจนต้องออกจาก Twitter มาจาก cyberbully ของคนกลุ่มหนึ่งที่แสดงความไม่พอใจที่เขาได้รับเชิญให้แสดงคอนเสิร์ตในเทศกาลดนตรี Glastonbury ด้วยการเปรียบเทียบว่าเขาเป็น "ไอ้วณิพกหัวแดง"
และยังมีอีกหลายคนที่กล่าวหาว่าเขาไม่ได้แสดงสดแต่ใช้ backing track และวิพากษ์ว่าเป็นการหลอกลวงผู้ชม เพราะศิลปินที่ได้แสดงในเทศกาลดนตรีที่โด่งดังขนาดนี้จะต้องโชว์ skill ทางดนตรีแบบสดๆ จึงจะสมศักดิ์ศรี
Ed โต้ข้อกล่าวหาว่า เขาแสดงสดมาโดยตลอด และท้าให้ลองไป google ค้นข้อมูลนี้กันเอาเอง ก่อนจะโบกลา twitter เพราะรับความ negative ไม่ได้
"ผมเข้าไปใน social media และมันก็เต็มไปด้วยข้อความร้ายกาจ Twitter เป็นศูนย์รวมของการว่าร้ายกัน แค่ความเห็นแย่ๆอันเดียวก็ทำวันดีๆของคุณพังลงไปได้ ผมจึงไม่ใช้มันแล้ว ผมต้องคิดจนปวดหัวว่าทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ชอบผมมากมายซะขนาดนั้น"
Lady Gagaเคยลุกขึ้นมาปกป้องศิลปินหนุ่มอังกฤษ หลังจากที่แฟนๆของเธอเข้าใจว่า Ed เคยให้สัมภาษณ์แดกดันเธอเรื่องการแสดงใน superbowl เพื่อโชว์ให้โลกรู้ว่ายังโด่งดังอยู่
"แฟนเบสของ Lady Gaga อ่านสัมภาษณ์และเดากันไปเองว่าผมกำลังพูดถึงขวัญใจพวกเค้า และพวกเค้าก็โมโหจัด แต่ที่ผมพูดไปไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ" Ed เล่าถึงสาเหตุที่เขาถูกเหล่า Little Monster ตามหลอกหลอนด้วยแฮชแทก #EdSheeranIsOverParty
"แฟนเบสของ Lady Gaga อ่านสัมภาษณ์และเดากันไปเองว่าผมกำลังพูดถึงขวัญใจพวกเค้า และพวกเค้าก็โมโหจัด แต่ที่ผมพูดไปไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ" Ed เล่าถึงสาเหตุที่เขาถูกเหล่า Little Monster ตามหลอกหลอนด้วยแฮชแทก #EdSheeranIsOverParty
ความเห็นส่วนหนึ่งจากแฟนของ Little Monster ที่เชื่อว่า Ed กำลังจิกกัดนักร้องขวัญใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อพาดพิง Lady Gaga ก็ตาม
Gaga เป็นศิลปินอีกคนที่แสดงจุดยืนสนับสนุนความคิดในด้านบวกและต่อต้าน bully แม้เธอจะไม่ประกาศขอให้แฟนคลับหยุด bully Ed (ดังกรณีAriana ที่ปกป้องแฟนหนุ่มด้วยการส่งข้อความขอร้องแฟนๆโดยตรง) แต่ก็ชัดเจนว่า เธอยืนอยู่ข้างเดียวกับ Ed
" เขาช่างเป็นศิลปินที่มากล้นไปด้วยความสามารถ ชั้นปลื้ม Ed เขาควรค่าที่จะได้รับความรักและความเคารพเหมือนกับมนุษย์ทุกคน ชั้นหวังว่าชาวเน็ทจะคิดบวกและเต็มไปด้วยความรัก ช่วยกันสร้างชุมชนออนไลน์ที่มีน้ำจิตย้ำใจ สร้างพลังสนับสนุนกัน ไม่ใช่เอาแต่ส่งความเกลียดชังและร้ายกาจ ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะว่าร้ายศิลปินเพียงเพราะพวกเขายืนอยู่บนจุดสูงสุด พยายามที่จะมีเมตตากันให้มากหน่อยกว่านี้สิจ๊ะทุกคน นี่สิควรจะเป็นหน้าที่สำคัญของความเป็นคน"
ส่วนข่าวลือเรื่อง Lady Gaga เข้าใจผิดว่า Ed เป็นพนักงานเสิร์ฟในงาน (มีคนปลอม account ของ Ed ปล่อยข่าวนี้ จนบรรดาแทบลอยด์และชาวเน็ทคิดว่าเป็นเรื่องจริง) Ed ได้ตอบโต้ด้วยอารมณ์ขันประชดกลับด้วยการลงรูปคู่กับ Lady Gaga และบรรยายว่า ตอนที่เจอกันอย่างบังเอิญ ซุปตาร์สาวกลับเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เขาซะงั้น!
ดูเหมือนว่าตัวศิลปินไม่ได้มีปัญหากัน แต่ก็มีคนพร้อมจะปล่อยข่าวลวงเพื่อทำลายอีกฝ่ายด้วยความไม่หวังดี
ดูเหมือนว่าตัวศิลปินไม่ได้มีปัญหากัน แต่ก็มีคนพร้อมจะปล่อยข่าวลวงเพื่อทำลายอีกฝ่ายด้วยความไม่หวังดี
วิธีรับมือกับปัญหา Cyberbully ของ Ed คือเลิกอ่านข้อความไปเลย และหันมาอ่านหนังสือแทน เขาตระหนักว่า ตัวเองสามารถพูดคุยกับคนที่มีตัวตนในโลกความจริงได้ โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงแดกดันเหมือนกับในinternet
The end ค่ะ