ประสบการณ์ของคนดังที่เคยผจญ Cyberbully

43 5
ในโลกนี้มีบุคคลจำพวกหนึ่งที่หมกมุ่นกับการปิดบังตัวตนอยู่ภายใต้ถ้อยคำอันร้ายกาจ พวกเขารู้สึกถึงอำนาจที่สามารถทำร้ายผู้อื่นโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน  แล้วยังย่ามใจว่าจะรอดพ้นจากการเอาผิดเพราะเหยื่อ bully ไม่ต้องการเสียเวลาและทรัพย์สินในการดำเนินการทางกฎหมาย


เซเลบคือเป้าหมายในที่แจ้งที่พวกbully ตามจองล้างจองผลาญ อาจจะมีคนที่คิดง่ายๆว่า นี่คือสิ่งที่พวกเค้าต้องแลกกับชื่อเสียงเงินทองล้นหลาม เพียงแค่เมินเฉยต่อ cyberbully หรือไม่ต้องเปิด account เป็นสาธารณะก็แก้ปัญหาได้ง่ายๆ

แต่ถ้าทุกคนสามารถเมินเฉยต่อคำพูดโจมตีใส่ร้ายป้ายสีได้หมด ก็คงไม่มีพื้นที่เหลือให้พวก bully ได้ไปทำร้ายใครได้อีก และทำไม เหยื่อ bully จะต้องคอยหลบหนี ถูกจำกัดสิทธิ์ ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่คนกระทำผิด


เรื่องราวของคนดังที่ต้องต่อสู่กับ Cyberbully  น่าจะทำให้พวกเราตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้    



Millie Bobby Brown



เธอเป็นนักแสดงเด็กที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นวัยรุ่นเพียงไม่นาน ความสำเร็จสุดอลังการจาก Stranger Things ทำให้เธอก้าวมาเป็นนักแสดงเลือดใหม่ไฟแรงที่อนาคตสดใส มีคนเปรียบเทียบว่าเธออาจจะไปได้ไกลในระดับ A List อย่าง Natalie Portman และ Saoirse Ronan ภาพของสาวน้อยที่ดูอ่อนหวานน่ารักทำให้แฟนๆมากมายชื่นชมและยกให้เธอเป็นแบบอย่างเยาวชน

จนกระทั่ง...

มีการเคลื่อนไหวหนึ่งบนโลกออนไลน์ที่พยายามโค่น Millie ให้พังพินาศด้วยการปล่อยข่าวว่าเธอเป็นนังเด็กชั่วร้าย anti เพศทางเลือกและแบ่งแแยกทางศาสนา
เรื่องเริ่มต้นขึ้นจาก account หนึ่งที่ปัจจุบันถูกระงับไปแล้วอ้างว่า เธอเจอกับ Millie ที่สนามบิน เมื่อขอร้องจะถ่ายรุปคู่ด้วย  นางเอกชื่อดังกลับบอกว่า จะยอมถ่ายด้วยก็ต่อเมื่อเธอถอดฮิญาบออกเท่านั้น    แต่เมื่อเธอบอกว่านี่เป็นความเชื่อทางศาสนา  Millie ก็ทึ้งผ้าคลุมศีรษะของเธอออก


ในขณะที่มีคนออกมาปกป้องและแสดงความไม่เชื่อถือใน user ดังกล่าว ด้วยการจับผิดที่ภาพprofile ของเธอก็ไม่เห็นใส่ฮิญาบ ก็ได้รับคำตอบว่า ผ้านั้นถูกMillie ฉีกไปหมดแล้ว และล่อเป้าด้วยภาพที่ดู fake อย่างชัดเจน จากนั้น hashtag #TakeDownMillieBobbyBrown ก็ลุกพรึ่บขึ้นมา ไม่ใช่เพราะว่าข้อกล่าวหาในตัว Millie มีความน่าเชื่อถือ แต่เป็นการเลียนแบบกันเป็นทอดๆโดยใช้ชื่อของนางเอกวัย 13 เป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจ




เมื่อคุณได้อ่านข้อความพวกนี้แล้วก็อาจจะฟันธงทันทีว่ามันเป็นเรื่องแต่ง     ดาราดังเข้าร้าน ToysRUs แล้วเอา Barbie ใส่ฮิญาบฟาดหน้าคนอื่น   หรือจะเป็นเรื่องที่เธอถุยน้ำลายใส่เด็กชายที่มีภาวะ autism  และกลายเป็น trending ที่น่าขยะแขยง เพราะมีคนจำนวนหนึ่งแข่งกันแต่งเรื่องใส่ร้ายเธอราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกสนาน

troll เหล่านี้เล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะว่า Millie โผล่เข้ามาก่นด่าด้วยถ้อยคำเหยียดผิว เพยียดเพศ สารพัดเหยียดแบบไร้สาเหตุ เอาเป็นว่าไม่ต้องถามหาหลักฐานจากใคร เพราะชาวเน็ทส่วนใหญ่ต่างก็ทราบกันว่ามันคือเรื่องโกหกที่ใช้คำว่า " แค่ขำ ๆ " เป็นข้ออ้าง และมันหนักขนาดที่มีคนphotoshop เติมสัญลักษณ์Nazi ที่ชุดของเธอ
มีคนมองว่าเรื่องนี้ไม่ได้เสียหายอะไรมาก เป็นแค่ meme ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันแบบไม่รู้จักกาลเทศะ



แต่ที่จริงแล้ว   นี่คือสัญญาณที่น่ากลัวจากคนในสังคมที่พยายามหาข้อแก้ตัวให้ cyberbully ให้เป็นเรื่องที่ควรยอมรับได้


เมื่อมีคนประท้วงขอความเป็นธรรมให้สาวน้อยคนดัง ก็มีชาวเน็ทออกมาส่งข้อความยียวนว่า มันแค่เรื่องตลก Millie ผิดเองที่หน้าบางรับกับเรื่องเล็กๆแบบนี้ไม่ได้ และมันเป็นความเห็นของเยาวชนวัยไล่เลี่ยกับเธอ

มันเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกินที่จะรังแกเด็กวัย 13 แล้วอ้างว่าแค่เอาฮา #TakeDownMillieBobbyBrown กลายเป็น trending ที่น่าอับอายของสังคมออนไลน์ พวกที่แอบอยู่หลังคีย์บอร์ดเหล่านี้ไม่กล้าทำอะไรซึ่งๆหน้า แต่ใช้คำพูดเป็นอาวุธทำร้ายคนอื่นอย่างหน้าไม่อาย แล้วยังมีคนยัดเยียดให้เหยื่อเป็นฝ่ายผิดที่ไม่เข้มแข็งเอง ??


โลกนี้โคตร sad ค่ะ ทำไมคนๆหนึ่งต้องทำใจยอมรับที่มีคนแปลกหน้าบนโลกออนไลน์แต่งเรื่องว่าเค้าเป็น Nazi พวกเหยียดผิวสุดเลวร้าย ?? แค่จินตนาการว่าถ้ามันเกิดกับตัวเราหรือคนที่รักก็รู้สึกอยากจะอาเจียน แต่นี่คือเด็กหญิงวัยที่เพิ่งผ่านชั้นประถมมาได้ไม่นาน

แน่นอนค่ะว่าเธอต้องรู้สึกเจ็บปวดมาก Millie ลบ account บน Twitter ออกไปพร้อมกับความเป็นห่วงจากแฟนๆมากมาย
ในที่สุด Millie โต้ตอบ bully  ผ่านเวที MTV awards ได้อย่างจับใจว่า



" ชั้นรู้ว่ามีคนรุ่นใหม่ที่กำลังดูอยู่มากมาย รวมไปถึงบรรดาคุณผู้ใหญ่ทั้งหลาย ชั้นได้รับการอบรมมาว่า หากพูดดีๆไม่ได้ ก็อย่าพูดอะไรออกมาเลยซะดีกว่า การ bully ไม่ควรมีที่ยืนในสังคม และชั้นจะไม่ทนกับเรื่องนี้ ทั้งคุณหรือไม่ว่าใครก็ไม่ต้องทนกับมันทั้งนั้น ถ้าคุณอยากจะให้บางคนย้ำเตือนว่าคุณมีคุณค่ามากแค่ไหนแล้วเอาชนะความเกลียดชังให้ได้ ขอให้ส่งข้อความาหาชั้นทาง Instagram ได้เลยค่ะ"


เธอให้สัมภาษณ์กับ Glamour ถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการ bully ว่า

"ชั้นได้เจอกับเรื่อง bully ทั้งในชีวิตจริงและจากคนในinternetซึ่งมันทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง เมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้นมันทำให้เจ็บปวดมากจริงๆค่ะ"


" social media เป็นทั้งพื้นที่อันดีที่สุดและย่ำแย่ที่สุด มีความย้อนแย้งในตัวมันเอง เราสามารถถ่ายทอดความดีงาม ช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้ในปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข"

"เราไม่ควรแย้งว่า social media ไม่ใช่พื้นที่เพื่อสร้างแนวคิดในแง่บวกและความเปลี่ยนแปลง แต่มันมีเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจเกิดขึ้นในที่แห่งนี้จริงๆ  ตัวชั้นเป็นอีกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับ การ bully จากคนในโลกออนไลน์"



Pete Davidson

หนึ่งในความน่าอับอายของ fandom คือการไล่ตามจองล้างจองผลาญคนรักของซุปตาร์ที่พวกเค้าไม่ยอมรับ

โดยที่ไม่สามารถทำใจรับความเป็นจริงได้ว่า แม้จะเป็นศิลปินที่สร้างชื่อเสียงไปก้องโลก แต่พวกเค้าก็เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อจิตใจ มีเสรีภาพที่ตะเลือกดำเนินชีวิตตามใจปรารถนาโดยที่ไม่ต้องมีใครตามระราน (หากมันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้สังคม)

และเหยื่อ bully คราวนี้คือแฟนหนุ่มของซุปตาร์ที่แฟนคลับเหยียดหยันว่าเขาช่างด้อยค่าต้อยต่ำเมื่อเทียบกับไอดอลผู้สมบูรณ์แบบ
Ariana Grande มีชีวิตเดทที่ใครๆก็จับตามองตามประสาเซเลบสาวสวย  เธอเดทแร็พเพอร์ แบคอัพแดนเซอร์ บอยแบนด์  

แต่ไม่มีใครเลยที่ต้องผจญกับพิษภัย cyberbully รุนแรงเหมือนกับ Pete Davidson


หลังจากที่พวกเค้าประกาศหมั้นสายฟ้าฟาด ดูเหมือนว่า แฟนๆจะไม่ได้คาดคิดว่าจะมีการแต่งงานตามขึ้นมาจริงๆ แม้ทั้งสองจะดูจี๋จ๋ากันถึงขนาดใช้รอยสักเป็นสัญลักษณืของความรัก แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ต่างฝ่ายก็เพิ่งเลิกกับคนรักเก่า บางคนไม่ "เห็นชอบ" ที่ไอดอลสาววางแผนความสัมพันธ์อันจริงจังกับชายที่มีความเจ็บป่วยทางจิตใจ ( Pete เปิดเผยชัดเจนว่ามีภาวะ Borderline Personality Disorder )


กระแสโจมตีPete มีแต่จะแรงขึ้นจนอาริต้องบล็อคไม่ให้ใครคอมเมนท์ภาพคู่บน Instagram และยิ่งสาหัสยิ่งเก่าเก่า หลังจากที่ Pete ผิดพลาด หยิบเอาเรื่องระเบิดก่อการร้ายในคอนเสิร์ตของอาริที่Manchesterมาเป็นส่วนหนึ่งของมุก (แม้กระทั่งคอนเสิร์ตของ Britney Spears ก็ไม่เคยมีผู้ก่อการร้ายบุกมาวางระเบิด) แน่นอนว่ามันเป็นมุกที่ฟังดู low ซะเหลือเกิน และ Pete ก็ควรออกมารับผิดชอบต่อคำพูดที่ไม่แยแสต่อความรู้สึกของผู้สูญเสีย

แต่มันก็ได้ไม่ได้หมายความว่า  เขาไม่ควรได้รับโอกาสให้ปรับปรุงเรื่องการแสดงออก และcyberbully ก็ห่างไกลกับความถูกต้อง  และมันฟังดูโหดร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเหยื่อมีปัญหาทางสุขภาพจิตอยู่แล้ว    ในระยะเวลาเพียงไม่กีเดือนที่คู่นี้รักกันอย่างเปิดเผย   ฝ่ายชายต้องเผชิญกับคำพูดร้ายกาจจากชาวเน็ทอย่างไม่หยุดหย่อน  หนักขนาดไล่ให้เขาไปฆ่าตัวตายซะ
เรื่องราวมันย่ำแย่ไปจนถึงจุดที่ Pete โพสท์ข้อความที่ดูน่ากลัว ราวกับว่าเขากำลังคิดจากโลกนี้ไป    เรื่องนี้ซีเรียสจนตำรวจต้องไปเช็คที่บ้านว่าเขามีสภาพที่ปลอดภัย  Pete ได้รับกำลังใจล้นหลามจากชาวเน็ทและเพื่อนร่วมวงการ     แม้กระทั่ง Ariana ที่เลิกรากันไปแล้วก็ยังเสนอตัวช่วยเหลือ  แม้จะรู้ดีว่า  Pete อาจจะไม่อยากเจอหน้าเธอ


แม้แต่ตอนที่เลิกกับอาริแล้วไปคบหากับสาวร้อนรุ่นพี่อย่าง Kate Beckinsale   ก็ยังมี troll ตามไปหลอกหลอน จิกกัดฝ่ายหญิงบน social media ว่าช่างผิดหวังในตัวเธอที่มีรสนิยมเรื่องผู้ชายแสนแย่   แต่ Kate เก๋าเกมกว่าค่ะ เธอไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ bully ตอกกลับไปว่า " หนวดเบี้ยวๆของคุณก็ทำให้ชั้นผิดหวังเหมือนกัน"  


Ed Sheeran



แฟนๆอาจจะได้ยินชื่อเสียงจากความสามารถของศิลปินหนุ่มผมแดงคนนี้  รวมถึงอุปนิสัยที่ขึ้นชื่อว่าติดดินไม่หยิ่งยะโสทำให้เขาเข้าไปสู่อ้อมใจมวลชนในฐานะ sweetheart   แต่กระนั้น Ed ก็ถูกล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์จาก online trolls อย่างสม่ำเสมอ  กลายเป็นว่าเป็นสิ่งที่เจ้าตัวทำใจรับได้ที่มีคนจิกกัดเรื่องความเป็น ginger และหน้าตาที่ไม่ได้ดูเหมือน pop idol
Ed ในวัยเด็กเคยต้องเสียน้ำตาจากการ bully เรื่องรูปลักษณ์ ginger  แต่เมื่อค้นพบดนตรีก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต  เขาตระหนักดีว่า ไม่ใช่คนหน้าตาหล่อเหลา เล่นกีฬาเก่ง  การฝึกฝนดนตรีทำให้เขาเกิดความมั่นใจ  และในที่สุดก็ก้าวขึ้นมาเป็นซุปตาร์ที่ได้รับความนิยมจากแฟนๆไปทั่วโลก



คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ  สุภาษิตนี้ยังใช้ได้เสมอมา   แม้ว่า Ed จะประสบความสำเร็จถล่มทลาย  แต่ก็มี hater ที่แสดงความหมั่นไส้แบบไม่ไว้หน้า    แม้แต่เรื่องที่เขาไปปรากฏตัวเป็นนักแสดงรับเชิญของ Game Of Thrones   ก็ยังมีคนแสดงความรำคาญใจ

Ed อาจจะมองข้ามเสียงล้อเลียนเรื่องรูปร่างหน้าตาและการถูกวิจารณ์หลังจากเข้าไปเป็นตัวประกอบในซีรีส์ชื่อดัง  แต่สิ่งที่กระทบใจเขามากจนต้องออกจาก Twitter  มาจาก cyberbully  ของคนกลุ่มหนึ่งที่แสดงความไม่พอใจที่เขาได้รับเชิญให้แสดงคอนเสิร์ตในเทศกาลดนตรี Glastonbury   ด้วยการเปรียบเทียบว่าเขาเป็น "ไอ้วณิพกหัวแดง"
และยังมีอีกหลายคนที่กล่าวหาว่าเขาไม่ได้แสดงสดแต่ใช้  backing track  และวิพากษ์ว่าเป็นการหลอกลวงผู้ชม เพราะศิลปินที่ได้แสดงในเทศกาลดนตรีที่โด่งดังขนาดนี้จะต้องโชว์ skill ทางดนตรีแบบสดๆ จึงจะสมศักดิ์ศรี



Ed โต้ข้อกล่าวหาว่า เขาแสดงสดมาโดยตลอด และท้าให้ลองไป google ค้นข้อมูลนี้กันเอาเอง ก่อนจะโบกลา twitter เพราะรับความ negative ไม่ได้

"ผมเข้าไปใน social media และมันก็เต็มไปด้วยข้อความร้ายกาจ Twitter เป็นศูนย์รวมของการว่าร้ายกัน แค่ความเห็นแย่ๆอันเดียวก็ทำวันดีๆของคุณพังลงไปได้ ผมจึงไม่ใช้มันแล้ว ผมต้องคิดจนปวดหัวว่าทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ชอบผมมากมายซะขนาดนั้น"




 Lady Gagaเคยลุกขึ้นมาปกป้องศิลปินหนุ่มอังกฤษ หลังจากที่แฟนๆของเธอเข้าใจว่า Ed เคยให้สัมภาษณ์แดกดันเธอเรื่องการแสดงใน superbowl เพื่อโชว์ให้โลกรู้ว่ายังโด่งดังอยู่

"แฟนเบสของ Lady Gaga อ่านสัมภาษณ์และเดากันไปเองว่าผมกำลังพูดถึงขวัญใจพวกเค้า และพวกเค้าก็โมโหจัด แต่ที่ผมพูดไปไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ" Ed เล่าถึงสาเหตุที่เขาถูกเหล่า   Little Monster     ตามหลอกหลอนด้วยแฮชแทก #EdSheeranIsOverParty



ความเห็นส่วนหนึ่งจากแฟนของ Little Monster ที่เชื่อว่า Ed กำลังจิกกัดนักร้องขวัญใจ  แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อพาดพิง Lady Gaga ก็ตาม

Gaga เป็นศิลปินอีกคนที่แสดงจุดยืนสนับสนุนความคิดในด้านบวกและต่อต้าน bully แม้เธอจะไม่ประกาศขอให้แฟนคลับหยุด bully Ed (ดังกรณีAriana ที่ปกป้องแฟนหนุ่มด้วยการส่งข้อความขอร้องแฟนๆโดยตรง) แต่ก็ชัดเจนว่า เธอยืนอยู่ข้างเดียวกับ Ed


" เขาช่างเป็นศิลปินที่มากล้นไปด้วยความสามารถ ชั้นปลื้ม Ed เขาควรค่าที่จะได้รับความรักและความเคารพเหมือนกับมนุษย์ทุกคน ชั้นหวังว่าชาวเน็ทจะคิดบวกและเต็มไปด้วยความรัก ช่วยกันสร้างชุมชนออนไลน์ที่มีน้ำจิตย้ำใจ สร้างพลังสนับสนุนกัน ไม่ใช่เอาแต่ส่งความเกลียดชังและร้ายกาจ ไม่มีเหตุผลใดๆที่จะว่าร้ายศิลปินเพียงเพราะพวกเขายืนอยู่บนจุดสูงสุด พยายามที่จะมีเมตตากันให้มากหน่อยกว่านี้สิจ๊ะทุกคน นี่สิควรจะเป็นหน้าที่สำคัญของความเป็นคน"



 ส่วนข่าวลือเรื่อง Lady Gaga เข้าใจผิดว่า Ed  เป็นพนักงานเสิร์ฟในงาน   (มีคนปลอม account  ของ Ed ปล่อยข่าวนี้  จนบรรดาแทบลอยด์และชาวเน็ทคิดว่าเป็นเรื่องจริง)   Ed ได้ตอบโต้ด้วยอารมณ์ขันประชดกลับด้วยการลงรูปคู่กับ Lady Gaga  และบรรยายว่า ตอนที่เจอกันอย่างบังเอิญ  ซุปตาร์สาวกลับเสิร์ฟเครื่องดื่มให้เขาซะงั้น!




ดูเหมือนว่าตัวศิลปินไม่ได้มีปัญหากัน  แต่ก็มีคนพร้อมจะปล่อยข่าวลวงเพื่อทำลายอีกฝ่ายด้วยความไม่หวังดี

วิธีรับมือกับปัญหา Cyberbully  ของ Ed  คือเลิกอ่านข้อความไปเลย และหันมาอ่านหนังสือแทน   เขาตระหนักว่า   ตัวเองสามารถพูดคุยกับคนที่มีตัวตนในโลกความจริงได้ โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงแดกดันเหมือนกับในinternet




The end ค่ะ


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE