Plus Size Drama

52 6
.
เมื่อใดที่สาวพลัสไซส์ได้การตอบรับจากแพลทฟอร์มในโลกแฟชั่นเมื่อใด แรงกดดันจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็ตามมาเมื่อนั้น แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสาวไซส์ 26 กลายมาเป็น covergirl ของ magazine ชื่อดัง
เรามาชม profile ของเธอคนนี้กันก่อน

Tess Holliday นางแบบพลัสไซส์ที่สร้างชื่อเสียงด้วยไซส์ 22 US (26UK) ด้วยส่วนสูง 165 ซ.ม. เจ้าตัวได้ยอมรับว่าเป็นคนอ้วนแต่มีความสุขกับสิ่งที่เป็น

เธอให้กำเนิดลูกไปไม่นานนักและประกาศว่าแม้ตอนนี้จะมีน้ำหนักประมาณ 130 กิโลกรัม หนักมากที่สุดในชีวิต แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลานี้จะเป็นขาขึ้นของเธอ Tess ขึ้นปก magazine ชื่อดังไปแล้วหลายครั้ง


สื่อทรงอิทธิพลอย่าง People เคยยกให้เธอเป็น "Supermodel ไซส์ 22 คนแรกของโลก"


แต่การนำเสนอเรื่อง body positive ของ Tess ได้สร้างข้อถกเถียงว่า นี่คือการส่งสารที่ถูกต้องสู่สังคมหรือไม่ ? ในขณะที่มีคนจำนวนมากได้ชื่นชมความเปลี่ยนแปลงของวงการที่หันมายอมรับนางแบบรูปร่างใหญ่กว่าอุดมคติที่สื่อนำเสนอมาหลายทศวรรษ แต่ก็มีการแสดงข้อโต้แย้งว่า  ด้วยอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากความอ้วนที่เพิ่มสูง เมื่อสื่อยกยอนางแบบที่มีภาวะน้ำหนักน้ำหนักตัวเกินอย่างชัดเจนนั้นอาจชี้นำให้ผู้คนไม่ให้ความสนใจต่อการรักษาสุขภาพและปล่อยให้ตัวเองอ้วนจนมีโรคภัยถามหา !    

ล่าสุด Tess ได้สร้างความฮือฮาด้วยการขึ้นปก Cosmopolitan  และไม่ต้องรอช้า ดราม่าก็ตามมาทันที

Tess ได้บอกกับผู้ติดตามจำนวน 1.7 ล้านคน บน instagram ว่า "ชั้นกลายเป็นคอสโมเกิร์ลแล้วล่ะ พูดออกมาเองก็ยังไม่เชื่อตัวเองเลย  ของคุณคอสโมยูเคที่มอบโอกาสอันดีงามนี้ให้กัน ถ้าตอนที่ชั้นยังเป็นเด็กแล้วได้มาเห็นนางแบบรูปร่างแบบนี้บนปก magazine มันคงเปลี่ยนทั้งชีวิตของชั้นไปเลย ชั้นหวังว่าปกของชั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกคุณบางคนได้นะคะ"  


ความจริงที่ Tess ต้องเผชิญนั่นคือคำวิพากษ์วิจารณ์เรื่องส่วนเกินของเธออย่างสนุกสนานจากบรรดาชาวเน็ท แม้เธอจะประกาศยืนหยัดต่อ bully อย่างกล้าแกร่ง แต่ถ้าคุณกวาดสายตาอ่านคอมเมนท์ทั้งหลายก็จะพบว่ามีผู้คนมากมายที่เหยียดหยามและไม่ยอมรับเธอในฐานะนางแบบ เมื่อ Cosmo UK ได้ภูมิใจนำเสนอนางแบบไซส์ 26 ขึ้นปก หนึ่งในสื่อ TV ที่จุดประเด็นร้อนแรงมายาวนานอย่าง Piers Morgan ได้กล่าวหาเธอว่าเป็นแบบอย่างที่ชี้นำเรื่องอันตรายต่อสุขภาพ
"ในขณะที่สหราชอาณาจักรต้องเผชิญปัญหาโรคอ้วนมากกว่าเมื่อก่อน แต่นี่คือหน้าปก Cosmo ตกลงเราต้องมองเรื่องนี้ให็เป็นการก้าวไปข้างหน้าของการสร้างแนวคิดด้านบวกต่อรูปร่างงั้นหรอกรึครับ ช่างไร้สาระซะเหลือเกิน หน้าปก Cosmo นี้ก่อให้เกิดความอันตรายและชี้นำในทางที่ผิดไม่แตกต่างอะไรการเชิดชูนางแบบไซส์ 0 " พิธีกรชื่อดังจากอังกฤษแสดงความเห็นแบบไม่ไว้หน้า

"คุณปรากฏตัวบนปก Cosmopolitan ใส่ชุดว่ายน้ำสีเขียวแล้วก็ส่งจูบอยู่ภายใต้การพาดหัว "Supermodel ประกาศก้อง  Tess Holliday บอกให้ haters มาจูบก้นของเธอซะ" มันช่างเป็นการพาดหัวที่โดดเด่นสะดุดตา เรียกเรตติ้งให้เป็นข่าวเพราะคุณสูง 160 ซ.ม. แต่หนักมากกว่า 136 กิโลกรัม"

"นั่นมายความว่า  คุณกำลังป่วยเป็นโรคอ้วน"

"ไม่ใช่ว่าผมเป็นวายร้ายที่กำลังเหยียดหยามเรื่องความอ้วนเหมือนกับที่แฟนๆ ของคุณคิด แต่นี่คือข้อเท็จจริง"
ผู้ป่วยท่ีเกิดภาวะ morbid obesity จะมีค่าดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) มากกว่าหรือเท่ากับ 40  และนั่นก็คือคุณยังไงล่ะ

"โรคอ้วนเป็นภาวะการเจ็บป่วยทางสุขภาพที่รุนแรง ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนจะเสี่ยงต่อโรคภัยรุมเร้าหลายอย่าง  เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง นิ่วในถุงน้ำดี โรคข้อเสื่อม โรคหัวใจ มะเร็ง  หรืออีกหนึ่งความหมายก็คือ โรคอ้วนสามารถทำให้คุณตายได้

"ผมคิดว่าตอนนี้คุณกำลังติดกับดักแห่งการหลอกตัวเอง  คุณทะเยอทะยานสร้างชื่อเสียงเงินทองที่มาจากการขายเรื่องโรคอ้วนของตัวเอง"

"ที่คุณได้ขึ้นปก Cosmo และรายการ TV มากมายนั่นเป็นเพียงเพราคุณมีภาวะน้ำหนักตัวเกินที่เสี่ยงต่ออันตรายเป็นอย่างยิ่งแต่กลับแสร้งทำว่ามีความสุขซะเต็มประดา พวกบรรณาธิการและโพรดิวเซอร์ให้ค่าตอบแทนคุณอย่างงามเพื่อจะส่งเสริมความอ้วนให้เป็นเรื่องน่าชื่นชมแต่พวกเขาใช้ประโยชน์จากตัวคุณอย่างเจ็บแสบ  
Cosmopolitan จัดบัลลังก์ให้คุณนั่งแล้วประกาศว่าคุณคือแบบอย่างสำหรับผู้คนที่คิดว่าตัวเองอยู่นอกสายตา พวกเค้าบอกว่าคุณซื้อสัตย์จริงใจกับตัวเองและเป็นทุกอย่างที่วงการ fashionในปัจจุบันต้องการเพราะคุณไม่ได้นำเสนอมาตรฐานความงามที่สังคมสร้างขึ้นมา"

"เห็นกันชัดๆ ว่านี่มันเป็นเรื่องบ้าบอคอแตก"


"หยุดโกหกตัวเองซะเถอะ Tess
คุณมีลูกชายที่ยังเด็ก 2 คน คนโต 13 คนเล็ก 2 ขวบ  พวกเค้าจำเป็นที่จะต้องมีแม่ที่ยังมีชีวิต เสียใจนะถ้ามันฟังแรงไป แต่มันคือความจริงและคุณต้องยอมรับ


เมื่อวันอังคารก่อน คุณโพสท์ภาพกึ่งเปลือยบน Instagram ให้ผู้ติดตาม 1.7 ล้านคนได้บอกว่า เพื่อนของคุณเชียร์ให้เขียนคำบรรยาย 'โว้ว  นี่มันดูดีมาก" เพื่อนที่ว่าคือ Lizzo แร็พเพอร์หุ่นพลัสไซส์ที่ส่งเสริมคุณโดยไม่ลังเลเมื่อได้เห็นภาพนี้ แต่ตอนที่ผมได้เห็นภาพของคุณที่กลายเป็น viral  บอกตรงๆ ว่าผมใจหาย ผมจึงได้ tweet ไปว่าคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเพื่อนที่ดีกว่านี้ เพื่อนที่สามารถบอกความจริงกับเธอได้ว่าภาวะโรคอ้วนของเธอเป็นอันตรายและเธอต้องทำอะไรสักอย่างกับมัน"


นับตั้งแต่ที่เริ่มสร้างชื่อในวงการ Tess ผจญกับถ้อยคำโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน บน social media เองก็เต็มไปด้วยชาวเน็ทที่ออกตัวว่าเป็นการเตือนด้วยความหวังดีด้วยเนื้อที่คล้ายกับ Piers Morgan ว่าไว้ รวมไปถึงข้อความเหยียดหยามอย่างรุนแรงจำนวนมากที่เบียดแน่นในกล่อง comment การถูกวิจารณ์ออกสื่อที่อังกฤษและถูกสื่อออนไลน์จุดประเด็นไปหลายประเทศทำให้ Tess ลุกขึ้นมาตอบโต้

"ถึงคนที่บอกว่าชั้นเป็นภาระของระบบสาธารณสุขของอังกฤษ  ชั้นเป็นคน American ดังนั้นไม่ต้องมาใส่ใจกังวลกับก้นอ้วนๆ ของชั้นหรอก ไปใส่ใจเรื่องคนนิสัยยอดแย่ที่มาโอดครวญเรื่องที่ชั้นได้ขึ้นปก magazine แล้วไปหนักหัวคนใจแคบอย่างคุณจะดีกว่า"  


เธอตัดสินไปใจไม่โต้ตอบกับพิธีกรปากกล้าในรายการสด แต่เลือกไปออกอีกรายการ ดังของอังกฤษ และแสดงความคิดเห็นต่อเสียงโจมตีเรื่องที่เธอกำลังสนับสนุนให้คนเป็นโรคอ้วนว่า

"ชั้นรับไม่ได้เลยค่ะ ชั้นไม่ได้ขึ้นปก magazine แล้วประกาศให้ทุกคนทำน้ำหนักให้ได้ถึง 136 กิโลกรัมแล้วก็อ้วนกันซะให้หมด"


"ชั้นเพียงแต่ใช้ชีวิตในร่างกายนี้  ชั้นไม่จำเป็นต้องไปพิสูจน์กับใครว่าชั้นมีสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่ สุขภาพของชั้นไม่ใช่ธุระกงการของคนอื่น และเราควรจะมาถกกันเรื่องนางแบบที่สูบบุหรี่วันละสองซองแต่ไม่มีใครเห็น"


"ชั้นไม่ได้พยายามจะส่งสารว่ามาอ้วนกันเถอะพวกเรา แต่กำลังจะสื่อว่าเราควรรักตัวเองไม่ว่าจะมีรูปร่างแบบไหนและสุขภาพจิตของคุณนั้นสำคัญมากกว่าการคำนึงถึงสุขภาพกายเท่านั้น"

การ debate ไม่ได้หยุดแค่อย่างง่ายๆ หลังจากเชิญ Tess มาออกรายการไม่สำเร็จ Piers ได้เชิญบรรณาธิการ Cosmopolitan มาถกกันสดๆ และแน่นอนว่าความร้อนฉ่าก็ได้บังเกิด!

"คุณเรียกเธอมาขึ้นปกเพราะอยากเป็น click baits และทำให้ผู้คนโจษจันถึง Cosmo  คุณกำลังยกย่องโรคอ้วนอยู่" Piers กล่าวหาบรรณาธิการสาว

" ชั้นคิดว่ามันโอเครึเปล่าที่มีรูปร่างแบบนั้น ชั้นขอตอบว่าใช่ มันโอเค เหตุผลที่เธอมาอยู่บนปก Cosmo เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าคนเรามีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป และนี่คือปก magazine ที่มีนางแบบร่างใหญ่ท่ามกลางสังคมที่บูชาความผอม"

"พอได้เห็นปกนี้ ผู้คนจะคิดว่า เอาล่ะ เราจะกินโดนัทให้สะใจ นี่คือสิ่งที่เราต้องการมาทั้งชีวิตรึเปล่า ? ไม่แน่นอนค่ะ มันฟังดูเกื้อกูลกันมากกว่าที่จะพูดว่าชั้นชื่นชมในตัวเธอ ชั้นไม่ได้ชื่นชมโรคอ้วน"

เมื่อถูกถามว่า น้ำหนัก 136 กิโลกรัมกับส่วนสูง 160 ซ.ม. นั้นเข้าข่ายคำว่าสุขภาพดีหรือไม่ บรรณาธิการได้อธิบายว่า

"สำหรับตัว Tess นะคะ  จากที่ได้เห็น  เธอก็ดูแข็งแรงดีค่ะ แต่ถามว่าคนอื่นที่หนักเท่ากันนั้นมีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ดีหรือไม่ แน่นอน มันเกิดขึ้นได้"



ในขณะเดียวกัน  เราก็ได้ยินเสียงวิพากษ์ถึงพฤติกรรมปากว่าตาขยิบของเหล่า fashion magazine เหล่านี้ บางคนกล่าวหาว่า เพราะเรื่อง diversity กำลังมาแรงในวงการ สื่อจึงจับนางแบบที่มีน้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัมมาขึ้นปกเพื่อสร้างกระแส  แม้ที่ผ่านมาจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องการรีทัชภาพคนดังที่ไม่ได้มีรูปร่างใกล้เคียงกับคำว่าน้ำหนักเกินให้ดูตัวบางมาโดยตลอด แต่เมื่อผู้คนเปิดใจชื่นชมสาว plus size มากขึ้น สื่อเหล่านี้กลับลุกขึ้นมาสนับสนุนพวกเธอทั้งๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ดังเช่นกรณีของ Lili Reinhart ที่โวย Cosmo ฟิลิปปินส์ว่ารีทัชเอวของเธอและเพื่อนนักแสดงอีกคนให้เล็กลง ทั้งๆ ที่พวกเธอพยายามดูแลตัวเองอย่างดีเพื่อให้มีรูปร่างสมส่วน แต่กลับถูกโฟโต้ช็อปจนดูผิดแปลกไป

คุณอาจจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของรันเวย์ Dolce & Gabbana ในช่วงหลังๆ ที่คัดสรรนางแบบและนายแบบที่เป็นเซเลบดังในหลายประเทศทั่วโลก  พวกเค้าไม่จำเป็นต้องสูงปรี๊ดและผอมบาง และเริ่มมีนางแบบพลัสไซส์เดินแบบร่วมในโชว์
แต่ตอนที่ Stefano Gabbana ได้ปล่อย sneakers นี้ออกมาก็เรียกเสียงโจมตีจากประโยค I'm thin & gorgeous ที่เขียนบนรองเท้า  มีคนกล่าวหาเขาว่ากำลังชี้นำให้ผู้บริโภคคลั่งผอมไปกว่าเดิม ดีไซน์เนอร์ที่สร้างเรื่องฉาวมาหลายครั้งโต้กลับอย่างไม่แคร์สื่อว่า  " ที่รัก คุณอยากอ้วนและคอเลสเตอรอลจุกอกงั้นเหรอ ??  ผมว่าคุณน่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ"

แต่ล่าสุดเราก็ได้เห็น Ashley Graham ในโชว์สวยงามของ Dolce & Gabbana และหลายสื่อก็เยินยอว่าเป็นความสำเร็จสำคัญของเธอหลังจากต้องถูกเหยียดหยามเรื่องรูปร่างมายาวนาน  นำไปสู่คำถามที่ว่า  ดีไซน์เนอร์แบรนด์ดังนั้นต้องการสนับสนุนนางแบบร่างใหญ่อย่างจริงใจหรือไม่ ?
และเอาเข้าจริง magazine หลายเจ้าก็เลือกจะถ่ายภาพ Ashley ในมุมที่ดูตัวเล็กราวกับไม่ใช่สาวพลัสไซส์ หรือไม่ก็เป็นการใส่เสื้อผ้าปกปิดรูปร่างหลายจุด


ฟังเรื่องนี้แล้วอาจจะดูสับสน คุณอาจจะเคยได้ยินว่าจากการสำรวจแล้วไซส์เฉลี่ยของผู้หญิงที่อเมริกาคือไซส์ 16 -18 ซึ่งห่างไกลจากไซส์ของนางแบบบนรันเวย์หรือแม้กระทั่งแค็ตตาล็อกที่อยู่ที่ไซส์ 0-4  (คุณจำได้ไหมว่าแอนเดรียแห่ง Devi Wears Prada ถูกจิกกัดหนักแค่ไหนเมื่อคนในกองบก.รู้ว่าเธอใส่ไซส์ 8 )  จึงมีการเรียกร้องให้แบรนด์ดังต่างๆ ทำเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับไซส์ "ปกติ" ของผู้หญิงอเมริกันขึ้นมา 
แต่เมื่อแบรนด์จากอังกฤษอย่าง Simply Be ส่งแคมเปญเสื้อผ้าสำหรับสาวพลัสไซส์ที่เรียกว่า We Are Curves  ออกมา แต่กลับได้รับเสียงวิจารณ์ว่า  นางแบบที่แบรนด์ใช้ไม่ได้สะท้อนถึงภาพของลูกค้าสาวพลัสไซส์  พวกเธอมีไซส์ 14-18  UK (เทียบกับ ไซส์ US ด้วยการหักออก 2)  และ average size ที่อังกฤษคือ 16 พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้บริโภคมองว่าเสื้อผ้าที่ดูสวยเป๊ะนั้นอยยู่บนตัวนางแบบที่มีรูปร่างอวบอิ่ม แต่ก็ไม่ใช่สาวพลัสไซส์ในความเป็นจริงนั่นเอง
นี่คือความเห็นของชาวเน็ทที่มีต่อโฆษณาแบรนด์เสื้อผ้าพลัสไซส์  "ทำไมคุณไม่เคยใช้นางแบบที่มีไซส์เกิน 20 ล่ะ  เราอยากจะเห็นว่าคนอ้วนใส่เสื้อผ้าของคุณแล้วเป็นยังไง ไม่ใช่ว่ามีแต่สาวรูปร่างหุ่นนาฬิกาทรายเท่านั้น"
ใช่แล้วล่ะ  นางแบบรันเวย์มีมาตรฐานความงามในรูปแบบหนึ่ง คุณจะไม่ได้เห็นสาวรูปร่างเหมือน Blake Lively เดินแบบใน fashion week หรือ Victoria's Secret fashion show แต่คุ้นเคยกับกองทัพสาวสวยผอมสูง เอวคอดกิ่วและขายาวไม่สุด ในวงการพลัสไซส์ก็มีมาตรฐานที่คุณสัมผัสได้ทันที  นางแบบชื่อดังหลายคนมีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบนาฬิกาทรายที่ทำให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจ พวกเธออาจจะใส่เสื้อผ้าไซส์ใหญ่แต่ดูไม่มีพุงส่วนเกิน เอวดูเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนทั้งหมด
มีเสียงเรียกร้องให้แบรนด์ต่างๆ เปิดใจทำเสื้อผ้าสำหรับคนไซส์ใหญ่ออกมาบ้าง แต่มันก็กลายเป็นเรื่องตลกร้าย หลังจากที่ Nike นำเสนอเสื้อผ้าออกกำลังกายไซส์ใหญ่ออกมา  กลับมีเสียงตำหนิจากชาวเน็ทไม่ต่างจาก Piers Morgan ว่า แบรนด์ที่ส่งเสริมความเป็นนักกีฬากำลังทำลายตัวเองด้วยการสนับสนุนคนอ้วน!
คิดว่า Nike เป็นบริษัทการกีฬาซะอีก พวกเค้าควรจะส่งเสริม lifestyle สุขภาพดีไม่ใช่รึไง คนอ้วนพวกนี้ไม่เห็นจะเหมือนว่าได้ทำอะไรที่ช่วยให้สุขภาพดีหรือเล่นกีฬาอะไรเลย นี่มันเรื่องPolitical Correctness ไร้สาระชัด ๆ
Nike ทำให้ชั้นหมดความนับถือไปโดยสิ้นเชิง  พวกเค้าแค่พยายามเอาใจผู้คนด้วยpolitical correctness ต่อไปก็คงเชิดชูพวกที่อ้วนจนเดินไม่ได้หรือแม้กระทั่งจะลุกจากเตียงก็ไม่ไหวด้วยสินะ  นี่โลกสวยจนลืมเรื่องสุขภาพและข้อเท็จจริงกันไปหมดแล้ว เราต้องเอาใจให้คนรู้สึกมีความสุขกับน้ำหนักตัว แม้ว่ามันจะทำให้เกิดความดันสูง เบาหวาน ภาวะการหายใจลำบากและเกิดความเกียจคร้าน นี่รึคือสิ่งที่คุณสนับสนุน ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นการสนับสนุนพวกคนที่มีปมด้อยให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองทั้งๆ ที่พวกเค้าเกลียดร่างกายทุกตารางนิ้วและเอาแต่กินจนอ้วนเพราะจิตตก     ใครก็ตามที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้คือสาเหตุและหลักฐานที่แสดงว่าโลกเราได้ตัดขาดกับวิถีแห่งสุขภาพที่ดีแล้วล่ะ


โลกออนไลน์โหดร้ายไม่มีเปลี่ยนค่ะ
หรือที่เจ็บลึกไปอีกก็จากกรณีแลรนด์ชุดชั้นใน Livi Rae  ที่ส่งแคมเปญส่งเสริมผู้หญิงทุกไซส์และติดภาพโฆษณาที่ช็อป แต่กลับได้รับการร้องเรียนจากลูกค้า ผู้จัดการพื้นที่เช่าร้านแจ้งกับเจ้าของแบรนด์ว่าภาพเหล่านี้ดู "ไร้รสนิยม" และให้ปลดออกไปซะ!
ทางแบรนด์ไม่ยอมทำตามและยืนยันว่าต้องการสนับสนุนให้ทุกคนเห็นความงามของตัวเองแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบไปหมดทุกสัดส่วน เมื่อเรื่องกลายเป็น viral เจ้าของพื้นที่ช็อปก็ต้องออกมาแก้ข่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดของผู้จัดการ เรื่องนี้ทำให้แบรนด์ได้รับเสียงชื่นชมมากเลยทีเดียว 


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE