[Review] Jo Malone Oud&Bergamot เมื่อป้าโจไม่ใช่ลูกคุณหนูอีกต่อไป!!

19 4

คิสรู้ คุณรู้ โลกรู้ กลับมาพบกับอีกเช่นเคยนะคะ


วันนี้มาแปลกๆ เพราะคิสไม่เคยพูดถึงน้ำหอมมาก่อนเลย เพราะเอาจริงๆก็มีน้ำหอมประจำตัวน้อยมาก หาที่ถูกใจยากมาก


คิสเคยมีน้ำหอมที่เป็น Signature จริงๆประจำตัวเลยคือ JLo Still ใช้ขวดเดียวอยู่ ไม่ต้องผสมกลิ่นให้วุ่นวาย ฉีดตอนนี้ หอมตอนนี้


แต่ขอไม่พูดถึงอีก เพราะหาซื้อในไทยไม่ได้ และกลิ่นที่หาซื้อได้ก็ดันไม่เหมือนเดิม(คิสมีฝากซื้อจากฮีทโธว, นาริตะ, ฮ่องกง 3 ขวด กลิ่นไม่ใช่แบบที่คิสเคยใช้เลยสักขวด Coty มีเปลี่ยนแปลงอะไรแน่นอน)

คิสมีใช้ตัวอื่นบ้างประปรายก่อนหน้านี้ Chloe โบว์ชมพู่, Guarlain สาวน้อยชุดดำ, Ferragamo ซินญอ พวกนี้ได้มาเป็นของขวัญ ซึ่งก็ชอบนะ แต่หมดแล้วก็ไม่ได้ซื้อต่ออีกเลย เพราะมันก็รู้สึกว่ายังไม่ได้อินขนาดนั้น

หลังๆคิสกลายเป็นชอบน้ำหอมของพวก niche perfume house/brand ที่เน้นการดึงกลิ่นจาก essential oil เป็นหลักมากกว่าพวกกลิ่นสกัดสังเคราะห์ทั่วๆไป ที่เล็งไว้และคงจะยังเล็งต่อไปก็มี

- Diptyque (EDP) Tam Dao บอกเลยว่ากลิ่นนี่หอมพิฆาตใจคิสมาก เพราะเป็นกลิ่นที่พัดพาคิสย้อนความทรงจำกลับไปหาความรักที่ฮานอยได้เลย ได้กลิ่นแล้วอยากร้องไห้ คิดถึงท่านรองประธานตัวจริงของคิสเป็นที่สุด คิดว่าวันนึงได้ถอยแน่ๆค่ะ ราคา 7,xxx ขอขายปอดตัวเองทิ้งข้างนึง แถมเลือดอีก 2 ถุงน่าจะได้

- Penhaligon's (EDT) Endymion โคตรหอมเลยกลิ่นนี้ แต่อาจจะไม่อินเท่าต๋ามด๋าว ราคาก็คงต้องแถมควายในหัวไปให้อีก 2 ตัว ยิ่งตัวที่เป็นตระกูล Portraits ลามปามไปหลักหมื่นนี่ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ ราคานี่ยอมตัวเหม็นค่ะ แม๊ มันจะแพงอะไรได้ตะพึดตะพือขนาดนั้น
จนมาถึง Jo Malone คิสก็เริ่มรู้จักแบรนด์นี้เอาเมื่อสักเกือบ 10 ปีที่แล้วได้ แต่ไม่ได้ซื้อหรอกนะคะตอนนั้น เข้าร้านไปดมเฉยๆ ซึ่งในประเทศไทยก็ยังไม่ได้นำเข้ามา

Jo ถือเป็นแบรนด์น้ำหอมกลุ่ม luxury แบรนด์แรกเลยละที่คิสรู้จัก เป็นบ้านปรุงน้ำหอมจากแดนอังกฤษ ตลบอบอวนด้วยกลิ่นอายของความเป็นผู้ดี nobility ให้ความรู้สึกคุณหนูที่ elegance นิดๆไปทั่วทั้งร้าน ซึ่ง Jo ก็เป็นเหมือนแบรนด์อื่นๆที่แครี่กลิ่นทั้งหญิงและชาย แค่มีความค่อนๆเอียงๆไปทางผู้หญิงซะมากกว่า ถ้าเป็นผู้ชาย ก็คงจะเป็นผู้ชายที่กรูมมิ่งตัวเองเนี๊ยบ ไม่ปล่อยให้ไทด์เบี้ยวได้เบี้ยวดีเป็นพูจังนิมแน่ๆ

คือดมยังไง๊ยังไงก็ผู้หญิ๊งผู้หญิงอะ คิสก็เลยเริ่มเล่นจากราคาเล็กๆที่เทียนหอม...ลามปามไปครีม....ทะลึ่งไปคว้าเจลอาบน้ำ ไต่ระดับความเลอะเทอะไปจนถึงโคโลญจ์ และทยานเข้าจักรวาลที่ขาดเหตุผลที่ตัว intense ในที่สุด

ไม่คิดเลยว่าวันนึงจะมาเสียตังค์ครึ่งหมื่นให้กับ Eau de Cologne ก็มาถึงในชาตินี้จนได้ละฮะ
มาพูดถึงกลิ่นนี้กันสักหน่อยว่าทำไมต้อง Oud&Bergamot

คิสเป็นคนไม่ชอบน้ำหอมที่กลิ่นผู้หญิงจ๋า พวกสายฟลอรัล สายฟรุ๊ตตี้นี่จะเวียนหัวมาก(บริทนี่ย์, ปารีส พวกนี้คือศัตรูทางจมูกคิสเลยค่ะ viktor&rolf flowerbomb คือยาฆ่าคิสทางอ้อม ใครเกลียดคิส ปามาทางนี้เลย อิอิ)

นั่นทำให้ถึงคิสจะชอบหลายๆกลิ่นของป้าโจ ก็ยังรู้สึกอินไม่สุด เพราะกลิ่นจะยังมีความเป็น feminine เจืออยู่ในทุกๆกลิ่น โชคดีที่เป็นแบรนด์ที่ทำน้ำหอมออกมาได้กลิ่นระดับ ideal ไม่ฉุนไป และกลิ่นจะละมุนตลอดทั่้งวัน เหมือนมันฟุ้งๆในอากาศเรื่อยๆ เบลนด์กับตัวแล้วจะสุดยอดมาก อยากจะซุกตัวกอดแมวไปเลยทั้งวัน ใครมีในมือช่วยมาบอกคิสทีว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง ต่อให้เบสเป็น wood ก็ยังผู้หญิงนะ

จนมา Oud&Bergamot นี่ละ ที่คิสต้องยอมเลยว่ามัน masculine นำลิ่ว 4*100 มาก

กลิ่น Oud หรือกลิ่นไม้กฤษณาจะฟุ้งมากๆใน note แรก จนพาลจะคิดว่านี่คือน้ำหอมแขกหรือยังไงกัน เรียกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่อาจจะขอข้ามกลิ่นนี้ไปกันได้เลย แต่เป็นกลิ่นที่ความหอมในจังหวะ note ที่สองให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ไม่เลี่ยน รู้สึกเหมือนเข้าไปในห้องอ่านหนังสือ มีใบยาสูบมีไปป์ มีโซฟาหนังตัวใหญ่ๆรอเราอยู่ ได้กลิ่นที่ sophisticated มีความ antique นิดๆ เหมือนห้องๆนั้นมีปล่องไฟ รู้สึกน่าค้นหา

และไม่น่าเชื่อว่ามัน plot twist ด้วยความหวานสไตล์ green ที่ปลายกลิ่น ให้ความรู้สึกสบาย สัมผัสถึง "ความสุขและความสงบ" ในโทนที่ classy สุดขีด ให้ความรู้สึก secure แบบผู้ใหญ่นำมาเลย ทำให้รู้สึกอยากซบอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากจากไปไหนอีก ถึงจะเป็น Wood โทนชัดเจน แต่มีความหรูหราหมาเห่ากับการซ่อนเร้นความลับที่อยู่ในโน้ดสุดท้าย ซึ่งมันก็ต้องอาศัยการเบลนด์กลิ่นให้เข้ากับตัวเรา โดยระยะเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงดี โน้ดก็จะกระโดดออกมาทักทายจนครบแน่นอนค่ะ

จริงๆเป็นกลิ่นที่เหมาะกับผู้ชายฉีด แล้วผู้หญิงมาได้กลิ่นนี่ละ เป็นกลิ่นที่ถ้าฉีดให้ดีควรฉีดบริเวณหลังและหลังใบหู แล้วค่อยตามด้วยกลิ่นอื่น*บริเวณchest ,elbow pit, wrist ทั้ง 2 ข้าง คิสชอบกลิ่นนี้ตรงที่ทำให้น้ำหอมหลายๆตัวที่ฉีดแล้วมีความ feminine จ๋ามันปรับให้ tone กลิ่นมันทั้ง tone up, tone down ได้จนได้กลิ่นที่ลงตัวแบบ unisex ซึ่งเป็นสไตล์ที่คิสชอบเลย

*คิสใช้แค่เฉพาะกลิ่น Nectarine Blossom& Honey, English Pear  รวมถึงกลิ่น Musk ของ Cute Press ก็ยังฉีดไปกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ข้อดีอีกตัวสำหรับ intense ของ Jo Malone คือความติดทนที่มากขึ้นสมชื่อ intense ปรกติกลิ่นของ Jo Malone มักจะมีกลิ่นที่หอมอ่อนๆสไตล์คุณหนูๆ แต่ไม่ทนมากนักตามแบบฉบับ EDC พอได้กลิ่นติดเสื้อตอนเย็นๆ แต่ติดตัวนี่แทบไม่เหลือแล้ว ต้องซ้ำระหว่างวัน แต่ถ้า Layer ด้วยกลิ่นกลุ่ม Intense จะทำให้ติดทนได้ตลอดทั้งวันเลย ซึ่งสาย intense คิสอาจจะมีเปลี่ยนกลิ่นในอนาคตนะ ยิ่งถ้าเกิดต่อไปมี intense กลิ่นสายใบชาผสมซิตรัสอ่อนๆขึ้นมาคิสย้ายกลิ่นแน่ เรียกว่าจะซื้อตระกูลนี้ซ้ำวนไปแน่นอนค่ะ
หวังว่าจะถูกใจกับ selection ของคิสนะคะ ใครเป็นแฟนป้าโจมานั่งคุยกันเรื่องกลิ่นได้ค่ะ

จริงๆคิสก็ชอบ Nectarine มาก มากแบบไม่อยากเชื่อว่าจะมาหลงรักกลิ่นหวานๆขนาดนี้ได้ เป็นกลิ่นที่อบอุ่นมากกกกกกกกกกกก ดมแล้วเหมือนโดน magic spell อาจจะไม่ได้เป็นกลิ่นที่ชวนให้ love at first sight(ถ้าเป็น English Pear ละอาจจะใช่ กลิ่นค่อนข้างจะ fresh มากสำหรับคิส) แต่ดมแล้วเหมือนต้องมนตร์สะกด เป็นกลิ่นที่ละมุนแบบ unique ชัดมาก ใครฉีดคือรู้เลย กลิ่นมันหอมหวาน อุ่นจนรู้สึกจะซุกตัวลงไปนอน ช่างเป็นกลิ่นที่อันตรายต่อวันที่ไม่ได้ดื่มกาแฟมากๆ อาจจะโดนบ้องหูกลางห้องประชุมได้

คิสมักจะชอบฉีด Nectarine Blossom&Honey ในตอนกลางคืน วันไหนวันพิเศษ คิสจะอาบน้ำด้วยกลิ่นนี้ จุดเทียนด้วยกลิ่นนี้ เอาให้มันหวานแสบไส้ตายกันไปข้างนึง เป็นกลิ่นที่เหมาะกับเวลากลางคืน เปิดแอร์เย็นๆฉ่ำปอดมากๆค่ะ

คืนนี้คิสไปละ ป้าโจก็หัดทำน้ำหอมราคาน่ารักออกมาบ้างนะยะ สงสารลูกสาวช่างไฟอย่างคิสบ้าง แทบจะขายควายขายที่นาไปซื้ออยู่แล้ว บ่นไปก็ซื้อไปนะยะ ไปละ แฮร่

^_____^


King of Eugenie

King of Eugenie

คิสรู้คุณรู้โลกรู้ ของดีโลกต้องรู้ :)

Line ID: kingofeugenie
FB: fb.me/911beaute

FULL PROFILE