On Screen Best Friends - Frenemies in real life

Benedict Cumberbatch and Martin Freeman
จากเสียงวิจารณ์ทางลบของ Sherlock season 4 ข่าวเล่าลือเรื่องมิตรภาพฉากหน้าของคู่หูนักสืบผู้โด่งดังบนจอก็เริ่มแพร่สะพัดออกมา
ภาพลักษณ์เพื่อนซีรีย์ดังทำให้แฟน ๆ ชื่นอกชื่นใจ บางคนเห็นเค้าแหย่กันน่ารัก ๆ นอกจอแล้วก็ทำให้ดู Shelock แบบมีรสชาติขึ้นไปอีก  อย่างตอนที่เบนหยิกก้นมาร์ตินแล้วยกนิ้วกลางให้ดังที่ปรากฎภาพ
ดูยังไงก็เหมือนเพื่อนที่สนิทมากพอที่จะกวนโอ๊ยกันแบบขำ ๆ ได้ใช่มั้ยล่ะ


ตามเคยค่ะ พอมีแคแรคเตอร์ชาย-ชายที่เป็นขวัญใจแฟนเกิร์ลเมื่อไรก็จะเกิดการ ship ตามประสาสาว Y เกิดขึ้น 
สามซีซั่นผ่านไปด้วยความสำเร็จอย่างเป็นปรากฏการณ์  เบนกลายเป็นนักแสดง A List ของฮอลลีวู้ด เข้าชิงออสการ์และรับบทนำหนังฟอร์มยักษ์  ส่วนมาร์ตินที่โด่งดังมาก่อนหน้าก็ได้รับบทนำในหนังพันล้าน The Hobbits   ก่อนที่จะมีการถ่ายทำซีซั่นที่ 4 ก็มีกระแสข่าวออกมาว่าพระเอกหนุ่มทั้งสองอาจจะไม่อยากกลับมารับบทคู่หูนักสืบอีกแล้ว เพราะต่างก็เป็นดารา high profile ตารางงานแน่นหนากันทั้งคู่ 

ในที่สุด Sherlock ซีซั่น 4 ก็ออนแอร์จนได้  เรตติ้งไม่ได้ดิ่งวูบ เพราะยังมีแฟน ๆ มากมายเฝ้าคอยการกลับมาของเชอร์ล็อกคและดร.วัตสัน  แต่ในตอนสุดท้ายที่ควรจะเป็นจุด peak ของการเล่าเรื่องราวกลับเป็นตอนที่ทำเรตติ้งได้น้อยที่สุด    ส่วนบทรีวิวของนักวิจารณ์และคนดูก็ไม่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มเหมือนเดิม 


The Sun ก็ได้ปล่อยข่าวสร้างความคลางแคลงใจให้กับแฟนๆว่าที่จริงแล้วทั้งคู่แสดงมิตรภาพผ่านหน้าจอเท่านั้น   สื่อกอสสิปยักษ์ใหญ่ของอังกฤษได้อ้างแหล่งข่าววงในว่า

"เบเนดิคท์และมาร์ตินไม่ได้คบหากันเป็นเพื่อน นอกจากในเวลาทำงานแล้ว พวกเค้าก็ไม่ได้สุงสิงกัน"


"พวกเค้าต่างก็เป็นมืออาชีพและปฏิบัติต่อกันด้วยความสุภาพ แต่มันไม่ได้เป็นการแสดงออกอันอบอุ่นเท่าใดหากคิดถึงช่วงเวลาที่ทำงานร่วมกันในช่วง 6 ปีนี้  ดูเหมือนว่าพวกเค้าไม่ได้ปรารถนาที่จะกลับมาถ่าย Sherlock ต่ออีกซีซั่น"













เรื่องนี้เงียบหายไปจนกระทั่งมาร์ตินได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเล่น Sherlock ซีซั่นต่อไปกับสื่แ The Telegraph ว่า

" มีหลายคนที่ยึดมั่นว่าพวกเราจะหันมาหลงรักกันเอง"

"ผมกับเบน  เราไม่เคยเลยสักครั้งที่จะแสดงท่าทีเหมือนชายคนรัก   เราโคตรจะไม่ใช่แฟนกันครับ"

หลังจากที่ยืนยันว่าต้องการจะเบรคจากความคิดการถ่ายทำซีซั่น 5 ไปก่อน  เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องพักเรื่อง  Sherlock ไว้นั้นเพราะความกดดันกับกระแสตอบรับจากคนดู

"การได้เล่นซีรีย์เรื่องนี้ก็เปรียบได้กับวง The Beatles แบบย่อยๆ ความคาดหวังจากผู้คนสูงมากจนมันไม่สนุกสนานอีกแล้ว เราไม่สามารถเอนจอยมันได้หรอกครับเพราะมีคนเรียกร้องให้ทำแบบนั้นแบบนี้  ถ้ายอมไม่ทำ เราก็กลายเป็นหมาไปเลย "


.


แต่เบนกลับมีความเห็นกับเรื่องนี้ไปคนละทางและใช้ถ้อยคำเหน็บแนมเพื่อนซี้บนจอผ่านการสัมภาษณ์กับ Telegraph เจ้าเดียวกันว่า
"มันน่าสมเพชนะครับถ้าเรื่องทำนองนี้ทำให้คุณถึงกับไม่อยากจะทำบางสิ่งต่อ  เพราะความคาดหวังงั้นหรอกเหรอ ?   ผมไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะ"

"ความคลั่งไคล้นั้นสามารถขึ้นไปสูงในระดับที่พวกแฟนๆ เชื่อว่าซีรีย์เป็นของพวกเค้า แม้ว่าคนที่สร้างซีรีย์ขึ้นมาจะเป็นพวกเรา   แต่ต้องขอบอกว่ามันไม่ได้มีอิทธิพลต่อความคิดของผมแบบนั้น "




เมื่อได้ไปให้สัมภาษณ์กับ RadioTimes.com  เบนก็ได้ให้ความเห็นในเรื่อง shipping   JohnLock ว่า

 "ผมไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากเท่าใดครับ"

"ผมคิดว่ามันไม่เข้าท่าที่จะโทษแฟน ๆ   คุณจะตามน้ำไปด้วยหรือไม่นั้น ยังไงก็มีเรื่องที่ทำให้ให้แฟนๆไม่สมหวังกันได้อยู่แล้ว  "




หลังจากที่เพื่อนร่วมงานแสดงความไม่เห็นด้วยแนวคิดอย่างชัดเจนและกลายเป็น talk of the town   มาร์ตินก็ได้ขยายความหัวข้อ "Fans Blaming" ที่สื่อบันเทิงนำไปพาดหัวข่าวโดยถ้วนหน้า  เมื่อได้รับคำถามจากนักข่าว The Daily Beast ว่า
"ความเห็นของคุณเรื่องความคาดหวังที่สร้างความกดดันจาก Sherlock นั้น มันเป็นแนวคิดที่เป็นธรรมดาสามัญในยุคใหม่ใช่มั้ย"

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ  ถ้าคุณโชคดี นี่คือแนวคิดที่เป็นธรรมดาสามัญในยุคใหม่เพราะผลงานของคุณมีแฟน ๆ ติดตามจำนวนมาก นั่นย่อมดีกว่าผลงานที้ไร้แฟน  ผมตั้งใจจะสื่อว่า   ความคาดหวังที่มีต่อ Sherlock  มันเป็นเรื่องที่ทำให้หนักใจได้นะครับ   มันมีกระทั่งเรื่องที่แฟนๆบางกลุ่มจะจัดงานบอลแล้วทำซีรีย์ในเวอร์ชั่นที่พวกเค้าอยากได้กันเอง  ซึ่งมันก็พอจะเข้าใจได้นะถ้าพวกเราได้รับรู้ว่ามันเป็นเนื้อหาจริงๆ  แต่พอมีคนพยายามจะควบคุมให้อะไรได้อย่างใจ มันก็เริ่มน่าเบื่อ  พอมีแฟนที่บอกว่า Sherlock ต้องทำแบบนี้เท่านั้นแม้ว่าเราจะตัดสินใจกันแล้วว่าทิศทางของซีรีย์จะไปทางไหน  แต่พวกเค้ากลับบอกว่าไม่ เราทำSherlock ในเวอร์ชั่นพวกเราแล้ว และคุณต้องทำตามแบบนั้น     ผมรู้ครับว่าพวกเค้าอยากจะให้อะไรเป็นไปตามที่ต้องการ แต่มันไม่ได้หมยความว่ามันจะเปิดขึ้นมาได้ มันก็เป็นจุดที่รู้สึกแปลก ๆ และชวนเหนื่อยหน่าย

แต่สำหรับตัวซีรีย์แล้ว ผมตระหนักเรื่องคุณค่าของมันที่สำคัญต่อชีวิตผม  ทั้งในเรื่องการงานและความรู้สึกส่วนตัว  ผมรักซีรีย์เรื่องนี้  ผมเป็นแฟนตัวยง    มันจึงน่าเสียดายที่สื่อสิ่งพิมพ์เอาคำพูดผมไปสื่อความหมายแบบผิด ๆ เพื่อจะพาดหัวข่าว ทั้งๆในหัวข่าวไม่ใช่คำพูดของผมในการให้สัมภาษณ์นั้น"




Tom Hardy  and Charlize Theron 

หากพูดถึงดารา A List ที่จับคู่ประชันฝีมือเล่นหนังแอคชั่นสุดมันที่คว้าออสการ์ไปถึง 6 ตัว คุณอาจจะนึกถึงบรรยากาศของความเป็นมิตรของผู้ร่วมงานที่พยายามสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพ  แต่ในกองถ่าย Mad Max: Fury Road นั้น  นอกจากความร้อนระอุของท้องทะเลทรายที่เป็นโลเคชั่นถ่ายทำ อารมณ์ที่คุกรุ่นของนักแสดงนำที่พร้อมที่จะระเบิดใส่กันทำให้เกิดกระแสกอสสิปหลั่งไหลตามมา  พวกเขาเกลียดขี้หน้ากันจริงหรือ ?  
ที่จริงแล้ว จะบอกว่าเป็นแคแรคเตอร์เพื่อนรักก็ไม่ถูกนัก เพราะในหนัง ทั้งสองพยายามห้ำหั่นกันตั้งแต่แรกแล้วค่อยมาเป็นพันธมิตร  แต่สายตาที่ดูเย็นชาแข็งกร้าวของทั้งคู่นั้นอาจจะมาจากinner จริง ๆ ก็เป็นได้   


ที่สำคัญ  พวกเค้ายังไม่ได้สร้างภาพว่ามีไมตรีจ๊ะจ๋าประสาเพื่อนร่วมงาน แต่ยอมรับตรง ๆว่า โคตรจะไม่กินเส้นกัน


"ชั้นได้ยินมานะคะว่าเค้าไม่ได้ทำตัวแบบนี้ตอนถ่ายหนังเรื่องอื่น ๆ  เห็นว่าเค้าผ่านประสบการณ์มาช่ำชอง

มันอาจจะเป็นที่ตัวของหนังเองก็ได้ที่ทำให้เราปรับเข้าหากันได้อย่างยากลำบาก เพราะเป็นแคแรคเตอร์ที่เกลียดกัน   ถ้าเราเข้าขากันอย่างดีก็อาจทำให้หนังออกมาเลวร้ายลงไปเป็นสิบเท่า"



ทอม ฮาร์ดี้กลับเป็นฝ่ายที่ตอบคำถามเรื่องนี้แบบเลี่ยง ๆ  เขาบอกว่าดราม่าในกองถ่ายนั้นไม่ได้รุนแรงมากเท่ากับที่คนอื่น ๆ เอาไปบอกต่อให้เข้าใจผิด  แต่คนที่ยืนยันเรื่องความไม่ลงรอยให้กระจ่างยิ่งขึ้นคือโซอี้ คราวิทซ์ เพื่อนนักแสดงใน Mad Max

"ใช่แล้วค่ะ  พวกเค้าเข้ากันไม่ได้เลย  เราทำงานร่วมกันกลางทะเลทรายอย่างยาวนาน  ชั้นว่าทุกคนก็คงเหนื่อยล้า ทั้งสับสนและคิดถึงบ้านกัน  เราไม่ได้เห็นอะไรอย่างอื่นนอกจากทรายอยู่ตั้ง 6 เดือน  มันทำให้ประสาทเสีย  จริงๆ นะ"


Sarah Jessica Parker and Kim Cattrall
ความบาดหมางข้ามทศวรรษที่อาจจะทำให้ผู้ที่เชื่อมั่นในมิตรภาพของสาวแซ่บแห่งนิวยอร์คจะต้องอกหัก
แฟนๆ Sex and the city คงจดจำได้ดีว่าแครีย์และซาแมนต้านั้นแทบไม่มีเรื่องขุ่นเคืองใจกันเหมือนกับเพื่อนสาวอีกสองคน  พวกเธอยอมรับด้านที่ไม่สมบูรณ์แบบของอีกฝ่ายได้ เมื่อทำผิดพลาดก็ไม่ได้พิพากษากันว่าเป็นคนไร้ศีลธรรมจรรยาหรือพวกเจ็บไม่ยอมจำ เมื่อมีปัญหาก็มักจะเป็นคนแรกที่นึกถึงเพื่อขอกำลังใจและคำปรึกษา  แม้แครีย์จะนอกใจ หรือพูดจาไร้เหตุผลในบางครั้ง  ซาแมนต้าก็ดูจะเป็นคนที่อยู่ฝ่ายเธอเสมอ



แต่ในความเป็นจริง เมื่อผู้กำกับสั่งคัทแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเธอไม่ได้ใกล้เคียงกับบทบาทการแสดงเลย


ข่าวเรื่องนักแสดงร่วมกองถ่ายไม่ถูกกันนั้นปิดข่าวได้ยากเพราะทีมงานที่รับรู้เรื่องราวความขัดแย้งนั้นมีหลายสิบหลายร้อยชีวิต  เม้ากันแซ่บเพียงวงในแต่สักพักก็รั่วไหลไปที่สื่อ   ทั้ง SJP และคิมพยายามรักษาภาพลักษณ์ด้วยการโต้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระไม่มีมูลความจริง  พวกเธอมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน    แต่ในที่สุดหนึ่งในนั้นก็ไม่อยากปกปิดเรื่องนี้อีกต่อไป


หลังจากมีความพยายามปัดฝุ่น Sex and the city มาสร้างเป็นหนังภาคที่ 3 กระแสข่าวเรื่องความไม่แน่นอนของโพรเจ็คท์นี้ก็ตามมา เพราะดูทีท่าแล้วคิมไม่ได้พอใจต่อข้อเสนอหรือบทหนัง จนกระทั่งเมื่อได้ข้อสรุปแน่นอนว่าคิมขอปลีกตัวออกจากหนังภาคต่อนี้ ก็เริ่มมีข่าวโจมตีเธอตามมาด้วยการอ้างชื่อของ "แหล่งข่าววงใน" โดยเฉพาะ จากPeople สื่อบันเทิงที่สามารถเข้าถึงประชาสัมพันธ์และคนใกล้ตัวของคนดัง หลังจากที่ SJP ให้สัมภาษณ์ว่าเธอผิดหวังมากมายที่จะไม่มีการสร้าง satc ภาค 3 ไม่นานต่อมา แหล่งข่าวกระซิบบอกกับ People ว่า คิมคือต้นเหตุที่ทำลายการสร้างหนังให้พังทลายลงไป  บางคนแสดงความเชื่อว่าฝ่ายที่ให้ข้อมูกับสื่อดังหนีไม่พ้นเป็นฝ่ายของ SJP

"คิมพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่าแล้วเกิดอะไรขึ้น ที่จริงเป็นเพราะคิมที่ทำให้โพรเจคท์นี้ล่ม"

ในเรื่องที่คิมแสดงออกว่าไม่ต้องการเล่นหนังภาคต่อนั้น แหล่งข่าวได้ให้ข้อมูลโต้แย้งว่า "เธอเคยได้เจรจากับผู้สร้างเพื่อตกลงร่วมเล่นหนังเรื่องนี้ไปแล้ว"



คิมให้สัมภาษณ์ยืนยันกับเพียร์ส มอร์แกนว่า เธอปฏิเสธการกลับมาแสดงเป็นซาแมนต้ามาตลอด   เธออายุมากกว่านักแสดงคนอื่นถึง 10 ปี และไม่ได้อาศัยที่นิวยอร์คและสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงทุกคนไว้คือซีรีย์เรื่องนี้  เมื่อซีรีย์ปิดฉากลง  เธอก็อยากจะทำสิ่งใหม่ ๆ   "ชั้นไม่ได้เรียกร้องขอค่าตัว  ไม่ได้ฝ่ายขอให้มีโพรเจ็คท์นี้ขึ้นมา  ที่ปล่อยข่าวว่าชั้นทำตัวเป็นดิว่าน่ะไร้สาระมาก"

"มันเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเลยไม่ใช่เพราะอยากจะได้มีบทเยอะ ๆ ในหนัง มันเกี่ยวกับการตัดสินใจที่หนักแน่นเด็ดขาด เป็นการสร้างหลพงใจในชีวิตทเพื่อปิดฉากบทบาทนี้และเริ่มต้นสิ่งอื่นบ้าง ชั้นอายุ 61 แล้วนะคะ หากจะเริ่มก็ต้องทำเดี๋ยวนี้เลย"


ส่วนความคิดของเธอที่มีต่อ SJP คิมทิ้งไว้แบบเจ็บๆว่า
" แซร่าควรจะทำตัวให้ดีๆกว่านี้ซะบ้างนะ"



"แหล่งข่าววงในของ People  ยังยืนกรานว่าคิมคือต้นเหตุของดราม่าจนหนังไม่สามารถไปต่อได้ และในที่สุด SJP ก็เปิดปากพูดกับสื่อเองว่า

"ตอนนี้มันก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่เลยค่ะ ขนาดว่าทำงานร่วมกันมานานหลายปี คนๆ หนึ่งกลับมาโจมตีคุณในเรื่องที่ไม่เป็นจริง มันเจ็บลึกจนชั้นต้องประหลาดใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Sex and the city แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความหมายใดต่อโลกเรา แต่พอเจออะไรแบบนี้ก็ต้องรู้สึกเจ็บกันทั้งนั้น ชั้นอยากจะตอบโต้แล้วก็ร้องถามไปว่า นี้ล้อเล่นกันอยู่รึเปล่า หกเดือนมานี้ชั้นรับรู้ข้อมูลทุกอย่าง มันมีการเจรจา มีอีเมล มีการพูดคุยกับทนาย ตัวแทนและผู้บริหารที่สตูดิโอ แล้วก็มีการให้คำแนะนำมาตลอดว่าอย่าไปยุ่ง เดี๋ยวจะเกิดเรื่องขึ้นมา"


"สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้เสียความรู้สึก เพราะนี่คือประสบการณ์การทำงานที่ชั้นหลงรัก ชั้นรักพวกเธอทุกคน เราแบ่งปันประสบการณ์นี้ด้วยกัน มันทิ้งไว้ซึ่งความทรงจำอันล้ำค่า มีเพียงพวกเราสี่คนที่ได้รู้สึกแบบนี้ รู้มั้ย แต่กลายเป็นว่าโลกหมุนกลับทันทีทันใด พูดได้แค่ว่า นี่มันเหลวไหลสิ้นดี แล้วมันก็มีประเด็นการกล่าวหาเรื่องล่วงละเมิดทางเพศขึ้นมา ชั้นถูกสั่งให้ปิดปากเงียบมายาวนาน ทีนี้ชั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าคนอื่นๆออกมาเปิดเผยเรื่องที่ยากลำบากที่จะพูด เป็นเรื่องบาดแผลที่เกิดจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับพวกเค้าหรือเป็นคนวงในที่รับรู้เหตุการณ์นี้ งั้นชั้นก็ควรจะลุกขึ้นมาพูดเรื่อง Sex and the city ภาค 3 ได้เหมือนกัน ชั้นอายุมากพอจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว"

"ถ้ามีใครเรียกเหตุการณ์นี้ว่าผู้หญิงจิกตีกัน ชั้นไม่ได้ทะเลาะกับใครค่ะ" SJP ยืนยัน

" ชั้นไม่ได้ทะเลาะกับคิม ไม่จำเป็นต้องส่งของขวัญไปให้เธอเพระาชั้นไม่ได้ทำอะไรใคร"


"เธอออกมาพูดอะไรเยอะแยะมากมายได้อย่างสบายใจ มันเป็นข้อดีของการใช้ชีวิตในโลกประชาธิปไตย แต่ชั้นจะไม่กล่าวคำขอโทษกับใคร นั่นหมายถึงว่า มันไม่มีการทะเลาะเกิดขึ้น แต่เป็นเรื่องที่ใครบางคนเลือกที่จะออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นหนึ่ง และตัวชั้นก็เลือกที่จะรู้สึกขอบคุณกับผลงานของเธอ บทบาทของหน้าทางหน้ากล้องตลอดเวลาหลายปีที่เราร่วมงานกัน"

"สตูดิโอบอกว่าพวกเค้าไม่สามารถตกลงยอมรับข้อเรียกร้องของเธอได้ พวกเราทุกคนได้ทำสัญญากันหมดยกเว้นเธอ แล้วจะให้ทำยังไงได้ล่ะคะ"


เมื่อคิมได้ยินคำสัมภาษณ์นี้แล้วก็ฟาดกลับทันทีว่า ข้อเรียกร้องเดียวที่เธอีต่อโพรเจคท์ SATC ภาค3 คือ ไม่ขอกลับมาร่วมแสดงอีก

ใครกันแน่ที่พูดความจริง?





เรื่องราวความขัดแย้งเงียบไปสักพักก่อนจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันตามมา พี่ชายแท้ๆของคิมหายตัวไปก่อนจะถูกพบเป็นศพ สร้างความเศร้าโศกให้กับตัวเธอและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้เห็นว่า SJP ได้ฝากแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ความโศกเศร้านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นโทสะทำให้เธอตอบโต้ผ่าน social media ทันที


"วันนี้แม่ถามชั้นว่า เมื่อไรยายแซร่าคนปากอย่างใจอย่างจะเลิกจองเวรลูกซะที ที่เธอพยายามจะส่งข้อความมาถึง ก็ยิ่งย้ำเตือนให้นึกได้ว่าเธอได้ใจร้ายใจดำกับชั้นมากแค่ไหน ขอให้ชั้นได้ประกาศให้ชัดเจนสุด ๆ ตรงนี้ไปเลยนะ (ถ้าที่ผ่านมามันยังไม่เคลียร์เต็มที่) เธอไม่ได้เป็นครอบครัว ไม่ใช่เพื่อนชั้น ชั้นขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าอย่ามาใช้เรื่องเศร้าโศกของคนอื่นมาเป็นเครื่องมือเพื่อกู้ภาพลักษณ์สาวแสนดีกลับมา"

"ชั้นไม่ต้องการความรักและกำลังใจสนับสนุนจากเธอในช่วงเวลาที่โศกสลด แซร่า เจสสิก้า พาร์คเคอร์"
SJP ออกสือบันเทิงอีกครั้งและย้ำถึงความรู้สึกที่เจ็บปวดที่ถูกคิมว่าร้าย  แต่เธอเลือกที่จะไม่ตอบโต้ แม้คิมจะพูดเรื่องเธอกับเพีย์ส มอร์แกน เพราะเจ้าตัวก็มีสิทธิ์ที่จะพูดในสิ่งที่ต้องการ


The End

Discussion (4)

ยังไงก็ยังจิ้นต่อไปนะ55

เห็นมาร์ตินแล้วนึกถึงแต่ fargo ?

หลังจอจะไม่เลิฟกันไม่ว่า แต่ขอให้มาทำ Sherlock ต่อไปเรื่อยๆ ขอฟินบนจอก็ด้ายยยย