รีวิว Silk’n Infinity เครื่องกำจัดขน สุดยอดไอเท็มสำหรับคนขนดก

13 4

อย่างที่รู้ ผู้หญิงกับเรื่องสวยๆ งามๆ นั้นเป็นของคู่กัน แถมสมัยนี้สาวๆ เรายิ่งดูแลตัวเองกันเป็นพิเศษ มองไปทางไหนก็มีแต่คนดูดี หน้าดีไม่พอ ผิวยังดีอีกด้วย หันมามองตัวเอง.. ถึงจะไม่ได้สวยสไตล์พิมพ์นิยม แต่ชั้นก็ของานผิวดีกับเค้าบ้าง อะไรบ้าง 


เรื่องของเรื่องคือ เราเป็นผู้หญิงคนนึงที่จัดว่ามีขนเยอะมากกกก สาเหตุนึงคือมาจากกรรมพันธุ์ พ่อแม่เราเป็นคนอินเดีย ดังนั้นเราเลยได้รับดีเอ็นเอขนดกนี้มาแบบเต็มๆซึ่งตอนเด็กๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะคนในครอบครัวที่บ้านก็ผิวประมาณเราหมด 


แต่พอโตขึ้นมันเริ่มมีอารมณ์แบบรักสวยรักงามบ้างอะไรบ้าง ก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ไปเรียนมหาลัยเห็นเพื่อนผู้หญิงคนอื่น ผิวเนี๊ยนเนียน ขาวใส ขนงี้แทบไม่มีเลยสักเส้น ใส่อะไรก็ดูดี ตัดภาพมาที่เราขนด๊กดก ซึ่งขนเจ้าปัญหาพวกนี้เนี่ยสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันของเราพอสมควรเลย เช่น เวลาแต่งหน้า การที่มีขนที่หน้าเยอะทำให้เกลี่ยรองพื้นยาก เป็นคราบ แต่งหน้าแล้วไม่เนียน 

หรือบางทีอยากแต่งตัวตามแฟชั่น ใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นก็ใส่ไม่ได้ เพราะไม่มั่นใจ ส่วนใหญ่เลยพยายามใส่แต่แขนยาว ไม่ก็ต้องมีเสื้อคลุมตลอด 

เรียกได้ว่าใส่แขนยาว ขายาว มาทั้งชีวิต

ตู้เสื้อผ้าที่บ้านเนี่ยก็มีแต่เสื้อผ้าสไตล์เดิมๆ (เศร้าไปอีก T Tพวกกางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น มีแค่ 2-3 ตัวเท่านั้น

และอากาศทุกวันนี้มันก็ร้อนมากๆๆ จะใส่แต่แขนยาวก็ไม่ไหวนะคะซิส และทั้งหมดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราหาวิธีกำจัดขนให้มันออกไปจากชีวิตชั้นซะที!

เริ่มจาก....

  1. โกนขน วิธีที่ง่ายที่สุด บ้านๆ เบสิกเลย

ข้อดี : ง่าย เร็ว ประหยัดด้วย ซื้อแค่มีดโกนอันเดียวจบเลย 

ข้อเสีย : ไม่ค่อยเกลี้ยงเท่าไรสำหรับคนขนเยอะ ขนกลับมาขึ้นใหม่เร็วมาก แถมกลับมาคราวนี้ ขึ้นเป็นตอแข็งๆ น่าเกลียดกว่าเดิมอีก

2. ครีมกำจัดขน เห็นโฆษณาในทีวีมา ก็ขอลองหน่อย 

ข้อดี : ง่าย ราคาไม่สูงมาก 

ข้อเสีย : บอกเลยว่าแทบไม่สะเทือนถึงขนเราเลยจ้า ทำแล้วเหมือนไม่ได้ทำ บรัยยย

3. มูสกำจัดขน

            ข้อดี : ง่าย แค่บีบแล้วละเลงให้ทั่วผิว ทิ้งไว้แปปนึงแล้วเช็ดออก

ข้อเสีย : ขนขาด มันไม่ได้หลุดออกมาทั้งรากอ่ะ รู้สึกแสบๆ บนผิวด้วยระหว่างรอ อีกอย่างเรื่องกลิ่นนี่ไม่ผ่านอย่างแรง ฉุนมาก เวียนหัว ไม่โอเค จบ

4. การแว็กซ์ 
วันนึงไปเดินเล่นที่ห้างแถวบ้าน บังเอิญผ่านร้านแว็กซ์ เห็นคนมาทำกันเยอะอยู่ แอบดูป้ายราคาหน้าร้าน ราคาไม่ได้แรงมากก็แอบสนใจ 

ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อน เผื่อบางคนที่ไม่เคยแว็กซ์อาจจะไม่รู้ว่าการแว็กซ์ขนเนี่ย มี 2 แบบ

- แบบแรก คือ แว็กซ์เย็น ซึ่งจะมีราคาถูกกว่า ตกจุดละประมาณ 80 บาท ซึ่งสำหรับขนเราเนี่ยแว็กซ์เย็นจะเอาไม่ค่อยอยู่เท่าไร ต้องทำซ้ำประมาณ 2-3 รอบกว่าจะเกลี้ยง หรือต้องทำบริเวณที่ขนไม่หนา

- แบบที่ 2 คือ แว็กซ์ร้อน ซึ่งราคาจะสูงกว่าแว็กซ์เย็น ราคาประมาณจุดละ 300 บาท หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับบริเวณ ซึ่งแว็กซ์ร้อนจะมีข้อดีตรงที่ทำแล้วรู้สึกเกลี้ยงเลยในรอบเดียว เหมาะกับบริเวณที่ขนหนา หรือขนเยอะ แต่ข้อเสียก็คือมันแพงนี่แหละ 5555

เคยใช้แว็กซ์ที่เป็นแผ่นสำเร็จสำหรับทำเองที่บ้านด้วย แต่เราไม่ค่อยชอบ รู้สึกเหนอะหนะ และขนไม่ค่อยหลุดเท่าไร

ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของคนที่แว็กซ์บ่อยๆ อย่างเราเนี่ย คิดว่าการแว็กซ์มีข้อจำกัด หรือเงื่อนไขค่อนข้างเยอะ เช่น 

- ถ้าทาครีม โลชั่นบนผิวก่อนมาแว็กซ์ จะทำให้เป็นขนคุด เพราะผิวมันลื่น ซึ่งอันนี้เราไม่เคยรู้มาก่อน เพิ่งมารู้หลังจากที่แว็กซ์ไปแล้วเนี่ยแหละ (ถ้าเจอร้านไหนที่ดีหน่อยเค้าก็จะแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนมาแว็กซ์)

- ไม่เหมาะกับคนผิวแห้ง เพราะ จะทำให้เป็นแผลง่ายเวลาแว็กซ์ดึงขนออก

- ห้ามถูสบู่บริเวณที่เพิ่งแว็กซ์เสร็จ 2 วัน ดังนั้น เวลาจะแว็กซ์ที ต้องทยอยทำ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ได้อาบน้ำพอดี 555

- หลังแว็กซ์เสร็จต้องทาเจลพวก Aloe Vera เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น ไม่ควรทาโลชั่นตามที่บอกไปข้อแรก

สำหรับคนขนเยอะแบบเราเนี่ยปกติจะแว็กซ์ประมาณเดือนละครั้ง ทุกเดือน รวมๆ ราคาทั้งตัวก็ประมาณหลายพันอยู่ โดยเราจะแว็กซ์ทั้งแบบร้อนและเย็นเลย ขึ้นอยู่กับความหนา ความเยอะของขนแต่ละบริเวณ ตามที่อธิบายด้านบน 


แต่ถ้าบางทีก็มีทนเจ็บไม่ไหวเหมือนกัน น้ำตาเล็ดเบาๆ เลยเอาเท่าที่ไหว ค่อยมาแว็กซ์ต่ออาทิตย์หน้า อะไรประมาณนี้ เอาจริงๆ เราก็ไม่ได้อยากจะแว็กซ์เรื่อยๆ แบบนี้หรอกนะ แต่ถ้าให้เทียบกับโกน หรือใช้ครีมกำจัดขน ซึ่งมันไม่ค่อยเกลี้ยงเท่าไร ก็คิดว่าแว็กซ์มันโอเคกว่า เคยคิดจะไปทำเลเซอร์นะ แต่หลังจากที่ได้หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หรือไปถามตามคลินิกก็รู้สึกว่าแพงไป คอร์สนึงราคาหลายพันไปจนถึงหลักหมื่น ทำได้ไม่กี่ครั้ง หมดคอร์สก็ต้องซื้อคอร์สใหม่ ซึ่งสำหรับคนขนเยอะแบบเราเผลอๆ ต้องหลายคอร์สด้วยถึงจะเอาอยู่ (น้ำตาจะไหล T T) อีกอย่างเราก็เพิ่งเริ่มทำงาน มันดูเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเลยทีเดียว แถมการไปเข้าคลินิกแต่ละที เราต้องเสียเวลาหลายชั่วโมง ทั้งการเดินทาง ไปถึงก็ต้องรอคิว แล้วก็นอนเฉยๆ ให้หมอทำไปทีละจุดเนื่องจากยังไม่มีทางเลือกอื่น ชีวิตมนุษย์ขนอย่างเราก็ต้องคอยเข้าร้านแว็กซ์วนไปๆ ทุกเดือนๆ 

วันนึง...ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ก็เลื่อนฟีด Facebook ไปเรื่อย บังเอิญไปเจอกับโฆษณารีวิวเครื่องกำจัดขนแบบทำเองได้ที่บ้านชื่อแบรนด์ Silkn พอได้ลองอ่านดูก็รู้สึกว่า เห้ย! เครื่องนี้แหละที่สร้างมาเพื่อชั้นจริงๆ (feeling มีความหวัง) ชักอยากจะลองใช้บ้างแล้วสิ เลยลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้าในเพจ ซึ่งนางบอกว่านางเป็นเครื่องกำจัดขนระยะยาว 6-12 เดือน OMGแค่ฟังก็ว้าวแล้ว และเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ คือกำจัดขนโดยใช้แสง HPL ซึ่งจะไม่เจ็บไม่แสบ ผิวไม่ไหม้ แถมราคาก็พอไหวอยู่ 


ในเมื่อใจมันไปขนาดนี้แล้ว คงต้องจัดแล้วล่ะ เลยตัดสินใจแวะไปที่เคาน์เตอร์ของแบรนด์ ที่สาขาเซ็นทรัลบางนาใกล้บ้าน ไปถึงพนักงานเค้าก็แนะนำให้ฟังว่าแต่ละรุ่นแตกต่างกันยังไง แล้วช่วยเลือกรุ่นที่เหมาะกับคนขนเยอะแบบเรา สุดท้ายก็ได้เครื่อง Silkn Infinity รุ่นใหม่ล่าสุดมา 


แท่แดดดดด! นี่ก็คือหน้าตาของเครื่องกำจัดขน Silkn Infinity เครื่องเป็นสีขาวล้วนๆ คลีนๆ ขนาดกำลังดี หยิบจับสะดวกเลยค่ะ ตัวเครื่องไม่หนักเลย อุปกรณในกล่องที่เค้าให้มาก็จะมี

- คู่มือภาษาไทย 

- ผ้าสำหรับเช็ดทำความสะอาดเครื่อง 

- กระเป๋ากันกระแทก สำหรับพกพาเวลาเดินทาง

- ตัวอะแดปเตอร์ และหัวปลั๊กทั้งหมด 3 แบบ สำหรับใช้ต่างประเทศได้ด้วย

เอาล่ะค่ะ คราวนี้ก็ถึงเวลากำจัดขนดกปุกปุยเจ้าปัญหาพวกนี้แล้ว หึหึหึ เสร็จชั้นแน่

เริ่มขั้นตอนที่1) โกนขนให้เรียบร้อย  เหตุผลที่ต้องโกนก่อนเนี่ยพนักงานบอกว่าเพื่อให้แสง HPL ลงไปจับกับรากขนได้ ทำให้รากขนฝ่อ

ทำความสะอาดผิวแล้วเช็ดให้แห้งเด้อ แต่อย่าเพิ่งทาครีม ทาโลชั่นนะ

2เสียบปลั๊กเครื่อง กดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่อง และปรับระดับพลังงานที่เหมาะกับผิวเรา ผิวสีเข้ม หรือเข้มมาก ใช้ระดับ 1-2 ถ้าผิวกลางๆ ถึงผิวขาว ใช้ระดับ 3-5 ซึ่งผิวประมาณเราจะใช้อยู่ที่ระดับ 3 ค่ะ

3) แนบตรงที่ปล่อยแสงให้สนิทกับผิว ถ้าแนบไม่สนิทแสงจะไม่ออกนะแล้วกดปุ่มสีขาวใหญ่กลางตัวเครื่อง เพื่อยิงแสง

จุดเด่นพิเศษของ Silk'n Infinity คือ"พลังงานกัลวานิก" ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Silk'n ช่วยในการเปิดรูขุมขนชั่วคราว ทำให้เเสง HPL ลงสู่รากขนได้ดีขึ้น ขนจึงฝ่อเร็วขึ้นเหมาะกับคนขนเยอะแบบเราที่สุด!!!

4. ยิงให้ทั่วบริเวณที่ต้องการ แขน ขา หน้า หนวด เอาให้หมด 555 อ๋อ ลืมบอกไป เครื่องกำจัดขนของแบรนด์ Silk’n เค้าจะมีความพิเศษตรงที่เวลายิง สามารถยิงได้เลยโดยไม่ต้องสวมแว่นตา เพราะ มีระบบ sensor ป้องกันการยิงในอากาศ รวมถึงก่อนยิงไม่ต้องทาเจล หรือประคบน้ำแข็งด้วย สะดวกมากๆ เลย ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวนะที่ทำได้แบบนี้ จากที่เคยดูรีวิวในเน็ต

ตอนนี้เราก็ทำครบที่ส่วนที่เราต้องการแล้ว พนักงานแนะนำว่าให้ใช้ติดต่อกันประมาณ 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือจะทำทุกวันก็ได้ถ้าต้องการให้เห็นผลเร็ว

ตอนนี้เนี่ยเราก็ใช้มาได้เดือนกว่าๆ แล้วค่ะ บอกเลยว่าประทับใจม้ากกก /เสียงสูง ไม่คิดว่าจะได้ผลขนาดนี้อ่ะ โอ๊ย เราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้ ชั้นจะได้ไม่ต้องทนเจ็บปวดรวดร้าวกับการเเว็กซ์ทั้งหมดทั้งมวล 

ซึ่งผลลัพธ์ทั้งหมดที่เห็นได้เลยก็คือ

- ขนคุดที่เคยเป็น หายแล้วจ้า! ดีใจเว่อร์

- เส้นขนบางลง นุ่มขึ้น ไม่รู้สึกหนา หรือแข็งเป็นตอๆ เหมือนเมื่อก่อน

- จำนวนขนลดลงเยอะมากกกก ย้ำว่ามากจริงๆ คือลูบตัวแล้วรู้สึกได้ถึงผิวอ่ะ นึกออกมะ 555

- ขนบนหน้า หนวด น้อยลง แต่งหน้าง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเกลี่ยนาน แถมไม่เป็นคราบด้วย

- ผิวเรียบเนียนขึ้น บริเวณผิวที่เคยเป็นหนังไก่ดีขึ้นเยอะเลย


สรุปคือปลื้มมากจริงๆ ดีใจมาก ไม่คิดว่าจะมีวันนี้เลย คือคิดถูกมากๆ ที่ได้ซื้อมาใช้จริงๆ ตอนนี้ก็แบ่งกันใช้กับน้องกับแม่ที่บ้าน ทุกคนบอกเหมือนกันว่ามันเวิร์คมากจริงๆ ใครที่มีปัญหาเรื่องขนเยอะ ขนหนานะ เราขอแนะนำเลย นี่แหละคือสุดยอดไอเท็มที่พวกเธอคู่ควร มันถูกสร้างมาเพื่อชาวเราจริงๆ ค่ะซิส รีบไปตำด่วนนนน ใช้แล้วเป็นไงมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะ

1. HPL ใช้เเล้วไม่เจ็บ

- อันนี้ต่างจาก IPL ที่เคยหาข้อมูลมา IPL เวลายิงจะรู้สึกเจ็บ ต้องทาเจลเย็น ประคบเย็น หรือทายาชาก่อนยิง (มีความเยอะ 555)
2. พลังงานกัลวานิก

- ดีจริงไรจริง ทำให้ขนฝ่อเร็วมาก ขนาดเราขนเยอะ ใช้เเค่เดือนเดียว ขนเหลือน้อยมาก แทบไม่มีเลย
3. ใช้ได้ทุกสีผิว

- อันนี้ก็ดีงาม คือเคยอ่านรีวิวในเน็ตมา มีคนผิวเข้มเคยไปทำ IPL แล้วผิวไหม้ น่ากลัวมาก แต่ Silk'n Infinity คือใช้ได้กับทุกสีผิวเลย น้องเราผู้ชาย ผิวเข้มกว่า ใช้เเล้วผิวไม่ไหม้ ไม่เจ็บ ปลื้มมมสุด
4. Bluetooth เช็กจำนวนชอตผ่านแอพ Silk'n

- ล้ำมากกก ณ จุดนี้ สามารถเชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟนผ่านแอพ ก็สามารถเช็กจำนวนชอตที่ใช้ไป/ชอตที่เหลือของเครื่องได้ แถมยังแจ้งเตือนให้มาใช้เครื่อง เป็นประจำได้ด้วย
5. ใช้ได้ทั้งตัว หน้า และ ตัว

- คุ้มมากๆ เครื่องเดียวใช้ได้ทั้งตัว เพราะหัวยิงถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับทุกส่วนของร่างกาย ไม่ต้องมาคอยเปลี่ยนหัวให้ยุ่งยาก เสียเวลา เหมือนยี่ห้ออื่นๆ แถมใช้กับหน้าได้ด้วยนะ
6. ดีไซน์เครื่องเล็ก พกพาสะดวก

- เคยเห็นของยี่ห้ออื่นมันใหญ่เทอะทะมาก ความรู้สึกเหมือนหม้อหุงข้าวอ่ะ ไม่สะดวกเวลาพกไปไหนแน่นอน แล้วก็ไม่กล้าใช้กับหน้าดวย หัวยิงใหญ่ๆ มันน่าจะเจ็บ เเละเก็บรายละเอียดขนยากกว่า
7. กำจัดขนระยะยาว ผิวเรียบเนียน

- ไม่ต้องคอยกำจัดขนบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน แถมผิวไม่ระคายเคืองเหมือนพวกเเว็กซ์ ผิวเนียนขึ้นกว่าเดิม ไม่เป็นขนคุด หนังไก่เลย

ใครอยากเห็นผลการเปลี่ยนแปลง เมคโอเวอร์ของเราบ้าง ยกมือให้ดูหน่อย อิอิ ไว้ว่างๆ จะมาอัพให้ชมกันแบบจัดหนัก จัดเต็มนะจ๊ะ ครั้งนี้ขอตัวไปก่อน บ๊ายบายยย^____^