Brotherhood & Sisterhood

มิตรภาพของคนดังที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพวกเค้ามีเพื่อนที่ซี้ปึ้กกันมาอย่างยาวนานและมีเรื่องราวๆน่ารักๆมากมายไปหมด  ลองมาชมกันเลยค่ะ

Discussion (28)

เอมิเน็มขึ้นชื่อเรื่องการแร็พเรื่องราวชีวิตของตัวเอง ความรู้สึกที่อยู่ในใจจะออกมาเต็มที่ สำหรับเราไม่ได้ฟังดูสร้างภาพแต่อย่างใด เพราะมีหลายเพลงมีฟังดูแคลนอดีคและปัจจุบันที่เจ้าตัวยังมีความปวดร้าวอยู่  (เราเคยน้ำตาไหลตอนได้ยินเพลงที่เขาแร็พถึงลูกสาว)  หลายคนมักจะพูดว่าเอมิเน็มโกรธเกรี้ยวอะไรนักหนา แร็พที่ไรก็ฟังเหมือนจะเข้าไปตั๊นหน้าคนฟังอย่างนั้นแหละ  แต่ต้องฟังเนื้อหาดูดีๆค่ะ เพลง I need a doctor  นั้นหมายถึงดร.เดรนั่นเอง  เขาได้พรรณาถึงความสำนึกในบุญคุณที่เดรทำให้มีเอมิเน็มในทุกวันนี้ เนื้อเพลงพลุ่งพล่านไปด้วยความโหยหาในอดีตที่ร่วมสร้างฝันด้วยกัน   แมนๆแบบลูกผู้ชายเลยว่า "ทำยังไงก็ไม่สามารถตอบแทนพระคุณพี่ได้หมด" 


เราอาจจะคุ้นชินกับแร็พเพอร์ที่เยินยอว่าตัวเองเจ๋งแค่ไหน มีเงินมากมายเพียงใด  เอมิเน็มเองก็เคยบอกว่าตอนที่แร็พข้างถนนนั้นก็ต้องถากถางกันเอง (rap battle)  จะมีสักกี่คนที่ทำให้แร็เพอร์ชื่อดังที่ขึ้นชื่อว่าปากจัดจิกเจ็บสามารถแต่งเพลงที่ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกได้แบบนี้


ตอนที่แสดงเพลง I need a doctor ด้วยกัน สองคนนี้แร็พไปจ้องตากันไป พูดถึงตอนเจอกันครั้งแรก ใส่ชุดแบบไหนสีอะไรยังจำได้


เอมิเน็มจะขึ้นชื่อเรื่องการเก็บตัว (หลังๆนี้ไม่มีภาพพาพาราซซี่เลย หายากมาก) เค้าเรียกบ้านตัวเองว่าเป็นรังหนูทีเอาไว้ซ่อนตัว แต่เมื่อดร.เดรได้รางวัลสำคัญ เค้าก็จะโผล่มาร่วมแสดงความยินดี   สร้างความกตกอกตกใจให้ชาวบ้านว่านี่เอมิเน็มตัวจริงรึ!  หาตัวจับยากจริงๆค่ะ





หลังๆมา ดร.เดรทำค่ายเพลงจนรวยเอาๆ ติดอันดับต้นๆของแร็พเพอร์ที่รวยที่สุด  แต่ก็ยังไปแจม Recovery Tour ที่ญี่ปุ่น-เกาหลีกับเอมิเน็มเมื่อ4ปีก่อนด้วยนะคะ 

Eminem - Dr. Dre


เราไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้พิเศษมากจนมาได้ฟังเพลง I need a doctor



ใครๆก็ทราบค่ะว่าดร.เดรปั้นเอมิเน็มจนโด่งดัและกลายเป็นแร็พเพอร์ที่ได้การยกย่องว่าเก่งที่สุดในวงการ  แต่เบื้องลึกๆนั้นเป็นมาอย่างไรเราจะเล่าให้ฟัง


ย้อนไปช่วง 90sดร.เดรได้ฟังเทปตัวอย่างของแร็พเพอร์ผิวขาวคนหนึ่งและติดตามหาเขาคนนั้นเจอในอีก 3 วันต่อมา พรสวรรค์ของเอ็มนั้นทำให้เดรเริ่มคิดการใหญ่ขึ้นมา  และมันยังเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อชื่อเสียงของเขาที่เป็นศิลปินและโพรดิวเซอร์ที่โด่งดังในระดับtop ไปแล้ว  เพราะอะไรน่ะเหรอคะ


สมัยก่อนนั้น  แร็พคือสิ่งที่ดูจะสงวนให้คนผิวดำเท่านั้น (สมัยนี้ก็ยังเป็นอยู่  เรื่องการแบ่งแยก race นั้นก็ยังมีเกิดขึ้นต่อเนื่องและชัดเจน )  ถ้าพูดถึงแร็พเพอร์ผิวขาวก็เป็นมุกตลกเสียดสีมากกว่า อย่างวานิลลา ไอซ์ที่แร็พไปเต้นสับขาไปจนดังจาก  Ice Ice Baby แต่สำหรับคนดัง นี่คือ joke ดีๆนี่เอง  การส่งเอ็มในฐานะเด็กปั้นออกมาจึงเสี่ยงต่อชื่อเสียงของเดร  เรียกว่เขาต้องมั่นใจสุดชีวิตว่ามาเจอเพชรในตมจริงๆ ไม่ใช่เพชรเก๊ ไม่งั้นก็ถูกหัวเราะเยาะไปทั่งวงการแน่ๆ


แต่เดรและเอ็มทำสำเร็จค่ะ  แร็พเพอร์รุ่นพี่ประกาศว่าเอมิเน็มคืออัจฉริยะ ส่วนเอ็มที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นตำนานก็เคยบอกว่า  ตั้งแต่เริ่มต้น สิ่งที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาก็อยากจะทำให้เดรประทับใจ  บางคนพูดว่าเดรก็เป็นเหมือนพ่อที่เอ็มไม้่เคยมีมาก่อน 


ก่อนที่จะมีชื่อเสียงเงินทอง เอมิเน็มคือชายหนุ่มชนชั้นแรงงานที่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อหาเลี้ยงลูกเมียและหอบหิ้วความฝันที่กลายเป็นแร็พเพอร์มีชื่อไปยัง rap battle ใต้ดิน  แต่การแข่งนั้นไม่ได้สร้างรายได้ล้นเหลือให้มีเงินเก็บพอจะทำอะไรได้  ต้องทำงานในครัวที่ร้านอาหารเพื่อแลกกับค่าแรงขั้นต่ำและหลายๆครั้งก็รู้สึกย่ำแย่กับตัวเองที่ไม่สามารถซื้อของขวัญคริสต์มาสให้ลูกสาวได้ด้วยซ้ำ  (เรื่องราวชีวิตของเขา สรุปเอาได้จาก 8 Mile ค่ะ ไม่ห่างกันมาก)


เดรบอกว่า "เรื่องสีผิวที่แตกต่างเป็นสิ่งที่จิ๊บจ๊อยมากในการสร้างผลงานกับเอมิเน็ม  เวลาเราเข้าสตูดิโอด้วยกันก็คลิกในทันทีทันใด  ผมใส่ทำนองเข้าไป เราคุยกันนิดๆหน่อยๆ   พอบีทเริ่มแค่ 5 วินาที ผมสาบานเลยนะ เอมิเน็มก็ร้องว่า ไฮ้ มาย เนม อิส... ขึ้นมาแล้ว  เราแค่คลิกกันมากๆ  มันมีบางสิ่งที่สุดพิเศษเฉพาะเราสองคนน่ะครับ"

 
สองคนนี้เป็นเฟมินิสท์ เป็นแม่ลูกสอง และเก่งกาจพอๆกัน  นี่คือ role model ที่สังคมแอบละเลยไปจริงๆนะ    คนมักจะสนใจว่าผู้หญิงจะใส่อะไร (หรือไม่ใส่อะไรเลย)  รูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหน มีแรงดึงดูต่อคนรอบข้างมากมายเพียงใด จนมีเรื่องราวแบบนี้เต็มสื่อไปหมด  ในขณะที่ผู้หญิงที่สร้างสรรค์ผลงานจนประสบความสำเร็จนั้นถูกพูดถึงอย่างพอเป็นพิธีเท่านั้น





หน้าตาของเพื่อนซี้ตอนที่มีพิธีกรตั้งคำถามว่า ในกระเป๋าถือใส่อะไรไว้บ้าง



คืองี้ค่ะ มีนักแสดงหลายคนไม่พอใจนักที่เวลาไปออกงานก็มักจะถูกถามแต่เรื่องเสื้อผ้าหน้าผม พิธีกรแทบไม่สนใจเลยว่าพวกเธอมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับหนัง  จนมีการกระจายแฮชแทก ask her more กันออกไป     และจริงๆพวกข้อมูลเรื่องชุดนั้น ไม่ต้องสัมภาษณ์ดาราก็จะได้ข้อมูลมาจากประชาสัมพันธ์หรือตัวแทนแบรนด์อยู่แล้ว   เราเคยเจอขนาดมีพิธีกรถามนางเอกดังว่าผิวคุณดูแทนจังเลย อย่างกับสาวที่มาจากเ้ขตร้อนงั้นแหละ  แต่นางเอกคนนั้นตอบกลับไปเย็นๆว่า "ชั้นเป็นลูกครึ่งผิวดำ คุณรู้่ใช่มั้ย"    เอมี่และทีน่าก็เป็นอีกตัวอย่างของคนในวงการที่อยากจะให้คนทั่วไปได้ยอมรับว่าพวกเธอมีอะไรดีๆ มากกว่าเสื้อผ้าหรูหราที่ใส่ออกงาน




เป็นพิธีกรงานประกาศรางวัลที่ดึงเรตติ้งให้พุ่งพรวดจนพิธีกรในปีต่อจากพวกเธออาจจะต้องแอบกดดัน




จะมีใครจิกกัดเรื่องความไม่เท่าเทียมระหว่างชายหญิงในวงการฮอลลีวู้ดได้อย่างตลกร้ายกาจอย่างพวกเธอไม่มีอีกแล้ว  ผู้ชมต่างขำกลิ้งที่พวกเธอเล่นงานได้แม้กระทั่ง A Lister อย่าง ลีโอนาโด้ จอร์จ คลูนีย์ฺ  หรือเบน เอฟเฟล็ค 


แค่เราคิดว่าจะมีพิธีกรผู้ชายคนไหนที่กล้าเอาเรื่องที่ลีโอคั่วแต่นางแบบขายาวมาจิกกัดบนเวที เราก็ซูฮกพวกเธอละ  



พวกเธอรักกันมากจนขนาดมีคนถามว่าอยากจะให้ลูกแต่งงานกันตอนโตขึ้นมารึเปล่า   (เอมี่มีลูกชาย 2 หน่อ  ส่วนทีน่าก็มีลูกสาว 2 เหมือนกัน)




ล่าสุดก็คว้ารางวัล Emmy ด้วยดัน  สองคนนี้สะสมรางวัลแบบคู่สินะ
Tina Fey - Amy Poehler




หลายๆคนน่าจะได้อ่านเรื่องราวของพวกเธอจากกระทู้ smartest celebrities ไปแล้ว  และไม่ต้องน่าสงสัยว่า ที่ไหนมีเอมี่ที่นั่นก็มีทีน่า  คบกันมายาวนานกว่ายี่สิบปี


เริ่มจากศิลปินตลกโนเนมกลายมาเป็นผู้หญิงแกร่งและเก่งแห่งวงการ  พวกเธอแชร์ความฝันเดียวกันและสนับสนุนเพื่อนรักให้ประสบความสำเร็จหักล้างคำเหน็บแนมที่ว่ามิตรภาพของผู้หญิงนั้นเต็มไปด้วยความชิงดีชิงเด่นและอิจฉาริษยา เอมี่และทีน่าสร้่งผลงานเริ่ดๆร่วมกันออกมาหลายชิ้น และไม่มีฝ่ายใดทำตัวเก่นกว่ากัน เรียกว่าเข้าขามาตั้งแต่อินเนอร์จะเป๊ะกว่า




เอมี่  - "สิ่งที่ชั้นอยากทำมาตลอดคือสร้างสรรค์อะไรที่มันสนุกสนานกับเพื่อนของชั้นน่ะค่ะ"


เค้าไปเจอกันตอนเรียนแสดงแบบด้นสด (สิ่งสำคัญของนักแสดงตลกที่ต้องโชว์ไหวพริบความฮาแบบไร้สคริปท์)  ทีน่าบอกว่าเอมี่เป็นคนแรกที่สอนเคล็ดลับเรื่องความสวยความงามให้เธอ   เมื่อก่อนเธอเป็นเด็กเรียนดู nerd ไม่สนเรื่องนี้เท่าไร



การแสดงความรักต่อเพื่อสาวด้วยการติดภาพอีกคนไว้ในฉาก30 Rock ที่ทีน่ารับบทนำ (และโพรดิวซ์)