หนีร้อน ไปเจอร้อนกว่า ณ Japan แดนอุทิศอุทัย

6 4

Tokyo - Kyoto - Osaka โหด มัน ฮา

(11-18 Aug 2016)

ว่ากันว่าเวลานัดเพื่อนให้มาเจอกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นเรื่องที่ยากแล้ว การนัดไปเที่ยวต่างจังหวัดยากยิ่งกว่า และการนัดไปต่างประเทศด้วยกันนั้นยากขั้นสุด

เเต่เนื่องด้วยโอกาศอันดี๊ดี ดีดี๊ดี ดีมาก ก.ไก่ล้านตัว จนทำให้เราและผองเพื่อนมีวันที่นัดไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกันได้ เย้ๆๆๆ ฉลองไปสิบปี ฮ่าาาา

ด้้วยความลงตัวอันเกิดจากอะไรก็ไม่ทราบได้ อยู่ดีดีเพื่อนรวมตัวกัน ทำให้เกิดทริปหฤโหดในทริปนี้

Tokyo - Kyoto - Osaka ทริปร่างแหลก แดกตัวเเตก แถมตัวไหม้

เรา 6 คนเริ่มการเดินทางในช่วงเย็นของวันที่ 11 ด้วยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ออกเดินทางเวลาประมาณทุ่มหนึ่ง ทุกคนรวมตัวอย่างพร้อมเพียงที่สนามบินสุวรรณภมูิด้วยชุดนอน เพราะไฟล์นี้เราต้องเเวะพักที่เวียดนามอีก ก่อนจะเดินทางถึงสนามบินนาริตะในช่วงเช้าเวลาแปดโมงตามเวลาของญี่ปุ่น

ขอเริ่มทริปด้วยภาพอาหารบนเครื่องบินของสายการบินเวียดนามนี้แล้วกันค่ะ สายการบินนี้ขึ้นชื่อว่า อาหารอร่อย ใช้ได้

เริ่มด้วย......ข้าวพะเเนงไก่นั่นเอง

รสาติแบบไทยๆ เเต่เผ็ดน้อย เออ อร่อยจิง มันใช้ได้ ดีกว่าการบินไทยเยอะะะะะ (อุ๊ปป ซอรี่น้า แต่เค้ารักการบินไทยเสมอๆๆๆ )

ขอข้ามช่วงเวลาอันเเสนทรมาน ของการนอนบนเครื่องบินไปเลย เเละเเล้วเราก็ถึงสนามบินนาริตะ ตะ ตะ ตะ เเล้วเสียงก้องกังวาลลลลลลลลล  เเต่ว่าการจะออกไปท่องเที่ยวด้วยสภาพชุดนอน หน้าสดนั้น เห็นว่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติดินแดนอันมีความมุ้งมิ้ง เเละเต็มไปด้วยอานิเมะ เราจึงหาห้องอาบน้ำในสนามบิน และยื่นจ่ายเงินไป 1300 เยน เพื่ออาบน้ำล้างหน้า ล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า และที่สำคัญเเต่งหน้า อย่างสบายใจ

ห้องอาบน้ำที่สนามบินดีทีเดียวค่ะ ห้องกว่างใหญ่ มีบริการผ้าขนหนู อุปกรณ์ไดร์เป่าผมเรียบร้อย มีโต๊ะเเต่งหน้า และเเถมฟรีน้ำหนึ่งขวด

ขอเริ่มทริปวันเเรก ดินแดนแห่งความมุ้ง อานิเมะเเลน ณ.บัดนี้!!!!!!

ขอให้ทุกคนมองความถึงความละเอียดของการเดินทาง จองรถ และราคากันนะคะ เนื่องจากอิชั้นเองก็พึ่งเพื่อนผู้มีความชำนาญในการวางแผนท่องเที่ยว พูดกันอย่างง่ายๆก็คือ เกาะเเง๊กเพื่อนนั่นเองคร้า ทริปนี้เล่าให้เห็นถึงประสบการณ์ ความรุ้สึก เเละรสชาติของอาหารในระหว่างเดินทางน้าคร้า ขอให้อ่านเพื่อเป็นอรรถรสคร้า อิอิ

Tokyo

หลังจากหน้าพร้อมชุดพร้อม เราก็พร้อมเดินทางมุ่งหน้าเข้าเมืองกันเเล้ว เอาเป๋าไปเก็บกัน พวกเราเลือกเดินทางเข้าเมืองด้วยรถบัส เราเลือกซื้อบัตรเดินทางที่ได้ทั้งบัส และรถไฟใต้ดินแบบหนึ่งวัน เเล้วหลับยาวๆๆบนรถไปค่ะ เอาเเรงกันนิ๊ด ลงรถก็เดินต่อกันสักพัก ระหว่างเดินหาโรงเเรมก็แก้เบื่อด้วยการจับโปเกมอนไปพลางๆ วันนี้เราพักกันที่ Toyoko Inn - TokyoMonzen-nakacho Eitaibashi ห้องหักที่นี้สะอาดสะอ้าน เตียงนุ่ม มีอาหารเช้า สรุปเลยว่าชอบบบ

เเค่ลากกระเป๋าถึงที่พักก็เริ่มเหนื่อยกันเเล้ว ฝากเป๋า เช็คอิน ก็ออกเดินทางต่อกันไป ระหว่างทางเจอร้านราเมงดูน่ากิน ก็ต้องเเวะค่ะ ต้องบอกว่าการสั่งอาหารของร้านราเมงที่นี่ต้องไปกดเมนู หยอดตังที่ตู้นะคะ แล้วค่อยยื่นบัตรให้ทางพนักงาน เรื่องภาษา หึหึ ญี่ปุ่นล้วนค่ะ  ต้องขอบคุณเพื่อนผู้นำทางของเราที่ร่ำเรียนภาษาญี่ปุ่นมา ช่วยเพื่อนไม่ให้อดตายก็คราวนี้ หลังจากงมหน้าตุ้อยู่นาน จนพนักงานสงสัยนี่พวกเอ็งมางัดตู้ขโมยอะไรกันหรือเปล่า ก็ได้ความกระจ่างว่า ที่นี่มีราเมงอยุ่สองอย่าง คือ

ราเมงเกลือ

ราเมงโชยุ

เเละเครื่องเคียงทั้งหลายเเหล่

อย่างเราต้องเลือกไม่ธรรมดา เเค่ได้ยินว่าราเมงเกลือ เอ้ยย มันต้องดีป่ะ มันเป็นเกลือญี่ปุ่น อาจจะกลมกล่อม เกลืออาจมาจากมหาสมุทรต้องสด ต้องอร่อย (เเต่เด้วเกลือมันสดได้ด้วยออว้าา) เลือกเลยอย่างมั่นใจ ราเมงเกลือบวกไข่ยางมะตูม โรยหน้าด้วยสาหร่าย มันต้องอร่อย กินคำเเรกแล้วต้องลอยได้จนต้องร้องว่า โออิชิ!!!!!

เเต่ช้าก่อนขอไม่ลงรูปนะคะ

เพราเเม่งเกลือจริงๆๆค่ะ นอกจากเค็มเเล้ว ก็ไม่รู้สึกถึงรสชาติอื่นใด ขอจบการรายงานอาหารมื้อเเรกสุดประทับใจไว้เเค่นี้ค่ะ จบบบบบ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ควรไปกินราเมงร้านดัง อย่ามาข้างทางแล้วคิดเองเช่นนี้ มันไม่เวิคค่ะ ฮ่าาาาา

 

Tokyo Tower

เรื่องเที่ยวบ้างเนอะ เรานั่งรถไฟใต้ดินต่อกันไปที่ Akabanebashi Station และเดินตามท่านผู้นำจนเจอกับ โตเกียว ทาวเวอร์ในที่สุด ตื่นเต้นจุง ที่นี่มีวันพีชด้วยนะฮ้า เเต่เราไม่ได้เข้า เพราะต้องเสียบัตรเพิ่มเติม เลยดูข้างนอก พอขำๆ ถ่ายรูปสักสองสามเเชะ (ร้อยรูปได้ เอิ่มลบรูปแปป)

แอบเห็นตู้กดน้ำ ที่มีวงแดงแนะนำ น้ำดื่มแบบ shot strong

เด็ดสุดที่ Pepsi shot strong เล้ย มาเข้มข้น ซาบซ่า ชอบบบบ เเนะนำค่ะ

น้ำมะนาว ชอบเปรี้ยวๆๆ กดเล้ยยย เปรี้ยวสะใจมาก

สองอย่างนี้มีเเค่ตู้กดน้ำ boss สีน้ำเงินเท่านั้นนะจ๊ะ

Asakusa – Sensoji Temple

มาต่อกันที่วัดอาซากุสะค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินมาลง Asakusa Station โอ้โหคนเยอะมากกกกก หามุมถ่ายรูปช่างยากเย็น เเละนี่คือบรรยากาศของผู้คนที่หลั่งไหลกันมา (มองรูปด้านล่างประกอบไปค่ะ)

เข้ามาถึงด้านในวัด เดินไปเจอกระถางธูปอันใหญ่ ตามธรรมเนียมเดินเข้าไปกวักควันธูปเข้าตัว เอาความโชคดีศิริมงคลเข้าตัว กวักโลดค่ะ สองมือเลยเราต้องเล่นใหญ่

เดินไปอีกด้านข้าง มีกระบอกน้ำ และบ่อน้ำ ตามธรรมเนียมเราต้องเดินไปหยิบกระบอกน้ำ รองน้ำมาแล้วล้างมือซ้าย มือขวา ต่อด้วยนำน้ำบ้วนปาก  เเละน้ำที่เหลือก็ล้างกระบอกตักน้ำ เป็นอันเสร็จพิธี

ระหว่างทางเข้าวัดก็จะเจอของกิน ของฝากขายเรียงรายสองข้างทาง มีดังโงะเจ้าดังอยู่ด้วย เเต่ว่าเเถวยาวมาก เราจึงไม่ต่อคิวซื้อ เพราะราเมงเกลือนั้นยังจุกอกอยู่เลย แวะกินซอฟครีมมันก็ยังไม่ใช่ รสชาติธรรมดาดาษดื่น แบบหาได้ทั่วไป เราจึงไม่ลงรูปนะก๊ะ 

Shibuya

จากวัดมาต่อที่ชิบุย่ากันคร้า ลงจากสถานีนั้น เราก็พุ่งตรงไปตึก Mark city ชั้น 4 ร้านซูชิในตำนาน

" Midori Sushi " จริงๆเเล้วอยากจะพุ่งตัวไปถ่ายรูปกับรูปปั้น Hachiko ก่อน แต่เพื่อนสายแดก คอเดียวกันนั้นห้ามไว้ ให้วิ่งไปต่อคิวร้านนี้ก่อนเลย เราเชื่อคนง่าย เราก็ตามเพื่อนไปเลย ในหัวคิดไว้ว่า ซูชิสดใหม่ คำใหญ่ โต๊โต ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว ลืมรูปปั้นน้องหมาไปเลยค่ะ ไปถึงกดบัตรคิวที่ตู้ วิ่งไปยืนต่อคิว จนได้คิวนั่ง โอ้วเยขาเกือบหักเเล้ว รู้สึกฟินที่ได้นั่ง เเถวเขยิบตัวไปเรื่อยๆ เล่นโปเกมอนรอไปเรื่อยๆ จนเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุด!!!!!!! เราก็ได้คิว เย้ๆๆๆ

เเต่ให้ดูบรรยากาศต่อคิวก่อน

อ่าๆๆ ตามมาด้วยซูชิ

เฮ้ยเทอออ มันดีงามมากก มันสด มันหวาน มันอร่อยยยยยยยยยยยมากก

ที่สำคัญถูกกกกกมากก ถ้าเทียบกับบ้านเรา กินหกคนตกคนละห้าร้อยบาทแบบอิ่มมมมม

เค้าขอโทดที่ไม่ได้ถ่ายสลัดมันปูมา แต่เทอเอ้ยมันอร่อยนะ หมดไปสองถ้วยน่ะ อิอิ

ห้าเเยกชิบุย่า

กินอิ่มก็เดินชอปปิ้งกันหน่อย ใครใคร่ชอปเดินชอปกันยาวๆเลยค่ะย่านนี้

กินไปเยอะเราต้องเดินย่อยออกบ้าง เเละก็ถ่ายรูปห้าเเยกมุมสูงมาสักหน่อย

ในตอนเเรก กะว่าจะเดินท่องเที่ยวต่อในย่านฮาราจุกุ เเต่สังขารไม่ไหวเเล้ว เนื่องจากเดินทางมาในช่วงกลางคืน ไม่ได้หลับพักผ่อนกันเลย เลยต้องตัดใจกลับโรงเเรมนอนหลับพักผ่อน เผื่อเเรงให้วันอื่นที่ยังเหลืออยู่ ขากลับก็เเวะซื้อขนม นม โยเกริตกลับห้องพักกินเล่นๆ พักผ่อนสักนิด วันนี้นอนก่อนละฮ่ะ เด้วมาเดินทางต่อกันพรุ่งนี้พร้อมกันนะฮ้าาาา ^^

มาต่อหล่ะน้า ........

Fuji

วันนี้พวกเราตื่นกันเเต่เช้า ได้นอนเต็มอิ่มสักทีกับเตียงนุ่มๆ เเพลนเที่ยววันนี้คือพื้นที่รอบๆ ใกล้ภูเขาไฟฟูจิ วันนี้เราเช่ารถคันใหญ่ขับกัน โดยผู้นำทางเป็นคนขับนั่นเอง (เพื่อนๆต้องทำใบขับขี่สากลกันไปนะคะ ศึกษากติกามารยาทในการขับรถที่ญี่ปุ่นด้วยนะคะ รับรองสนุกกก)

โรงเเรมที่นี่มีอาหารเช้าให้เรากันด้วย เรารีบลงไปอัดๆๆลงท้องกันเลย อาหารใช้ได้ทีเดียว ผ่าน!!!!!

เรารีบกิน รีบเก็บของเพื่อเช้คเอ้า เพราะเย็นนี้เราจะย้ายเมืองกันอีกเเล้ว อึดกว่านี้มีอีกไหม ฮ่าาา

ท่านผู้นำของเรา เป็นผู้เสียสละไปเอารถเช่ามารับทุกคนที่โรงเเรม จะได้ไม่ต้องเดินทางไปมากันเยอะ เเละที่สำคัญคือ จะมาดูว่าสามารถยัดกระเป๋าของเราหกคนเดินทางไปพร้อมกันได้ไหม พวกเรารอลุ้นดูสภาพรถกันอย่างสนุกสนาน ถ่ายรูปเล่นกันไป เเละเเล้วรถของเราก็มาถึง !!!!

รถดีจุงเบย เเต่ไม่สามารถยัดสัมภาระของทุกคนไปพร้อมกันได้ เลยต้องฝากทางโรงเเรมเอาไว้ เเล้วรีบออกเดินทางไปตาม จีพีเอส ตามกำหนดการณ์เเล้วสักสองชั่วโมงเราน่าจะถึงที่หมาย พวกเราร่วมด้วยช่วยท่านผู้นำเต็มที่ในการดูทาง เเต่ว่าเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสียงทุกคนก็เงียบลง

.................

.................

เหลือเพียงท่านผู้นำกับจีพีเอสผู้นำทางเท่านั้น ฮ่าาาาาา รู้สึกขอบคุณท่านผู้นำทางมา ณ.ที่นี้ด้วย ท่านสตรองมาาก ทุกคนกราบบบบบบบ

เราใช้เวลาในการเดินทางไปฟูจิค่อนข้างนานมากเลยในครั้งนี้ เนื่องด้วยจากสาเหตุใดไม่ทราบ รถติดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มารู้ทีหลังว่าเป็นวันหยุดของญี่ปุ่นพอดี กว่าจะถึงปาไปเกือบสามชั่วโมง

เเละเป็นเพราะว่าเสียเวลากันไปมากเเล้ว เราจึงพึ่งข้าวกล่อง ขนมนมเนยที่ 7/11 และตามจุดพักรถกันค่ะ

ข้าวกล่องในเซเว่นมันก็โอเคเลยน้า อร่อยใช้ได้ ใครชอบหม่าล่าโต้วฟู เราลองเเล้วมันอร่อย ซื้อกินตามกันได้ อิอิ ขนมปังไส้ยากิโซบะก็อร่อยนะคะ แอบจิกของเพื่อนมากิน

ปล. อย่าลองน้ำ Green shower กันเลยนะ มันไม่อร่อย ฮ่าา

มันเป็นโซดา จืด มีกลิ่นของลูกอะไรไม่รู้เขียวๆตามภาพในขวด ไม่เวิคเลย ไม่น่าลองเลย

Arakura Sengen - ChueritoPagoda

ถึงเเล้วจร้า เติมปากกันนิด เปิดประตูรถอย่างไว โดดออกมาเดินท่องเที่ยวทันที ตามธรรมเนียมเราต้องไปล้างมือ ล้างปาก ก่อนไหว้ศาลเจ้าที่บ่อน้ำก่อนนะคะ

ก่อนออกจากที่พักมาตลอดทาง ท้องฟ้าแจ่มใส แดดเปรี้ยงๆๆ แต่เมื่อเราถึงสถานที่ปัป เมฆหมอกมาจากไหนกันนนนนนนนนนนนนนนนนน ฟูจิของชั้นนนนนนนนนนนน

ก่อนมาเค้าว่าฟูจิซังนั่นขี้อาย ไม่ยอมออกมาให้คนเห็นง่ายๆ ต้องมาสามครั้งถึงจะเห็น หรือนี่คือเรื่องจริง

ไม่เป็นไร เด้วเรากลับมาหาใหม่น้า ฟูจิซัง

Yagizaki Park

เเวะดูดอกไม้สักหน่อย เเต่ว่าหน้าร้อนเช่นนี้ ดอกไม้เหลือเหี่ยวๆทั้งนั้นเลย มีให้ถ่ายอยู่ด้านหน้าทางเข้าเเค่นั้น ฮ่าาา ก็ยังดีใช้มุมกล้องถ่ายให้คนอื่นมาตามเรา ฮ่าาา

Kawaguchiko Herb hall

จากนั้นเราไปแวะต่อกันที่ร้านขายของฝาก ขายสมุนไพร ดอกไม้หอม มีกลีบดอกไม้เคลือบน้ำตาล ไว้โรยในน้ำชา เก๋ๆ สวยๆงามๆค่ะ เเต่สิ่งที่ถูกใจที่สุดก็คือ ไอติมนม และลาเวนเดอร์ เฮ้ยๆๆๆเทอ มันอร่อยยยยย เราชอบมากก เราอยากได้ อยากกินแบบดับเบิ้ล งือออ คิดถึง

ไอติมหอมนมมาก มันอบอวล ลงตัวที่สุด

Oshino Hakkai หมู่บ้าน 8 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

จากนั้นเราไปต่อกันที่ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กันค่ะ ท่านผู้นำกล่าวไว้ว่าลุกชิ้นปลาที่นี่อร่อย บอกแค่ของอร่อยก็ลืมไปแหละว่ามาดูบ่อน้ำ ฮ่าาา บ่อน้ำที่นี่ใสเเน๋ว ไหลเย็น เห็นตัวปลา แบบจริงจังเลย เเต่มันก็ไม่ใช่ทุกบ่อที่สวยงามหล่ะน้า เราถ่ายรูปบ่อน้ำที่สวยที่สุดมา แต่ความสวยของบ่อน้ำที่ใสนั้น มันสวยเพราะมีปลาสีสวยๆมาว่าย อยุ่ในนั้นด้วย ปลาที่นี่สีสวยแปลกตา ภาพที่เก็บมาไม่เท่ากับที่เห็นของจริงเลย อยากให้ไปดูกับตาตัวเองจริงๆจะดีกว่า

พวกเราเดินเข้ามาถึงด้านในเพื่อจะไปดูบ่อน้ำ เเต่ว่าไปสะดุดตากับเต้าหู้เย็นที่คนรุมซื้อกันอยู่ เลยได้ไปต่อคิวซื้อมากับเค้าด้วย เต้าหู้เย็นที่นี่สีขาว รสสัมผัสเนียนนุ่มมาก เเช่เย็นจากน้ำในบ่อนี่แหละ เข้ากันได้ดีกับโชยุ และเต้าเจี๊ยวที่โรยหน้ามา อร่อยยยอ่ะ คนชอบเต้าหู้ ต้องชอบเเน่ๆๆๆๆ

มาถึงลูกชิ้นปลาสอดไส้มายองเนส และลูกชิ้นทะเลหอยเชลโฮตาเตะ อร่อยนะเทอ อร่อยอีกแล้ว ต้องลอง!!!

มีอีกสิ่งที่อยากให้ลอง นั่นก็คือ เเตงกว่าเเช่น้ำจากบ่อเย็นๆ หากใครได้ดูการ์ตูนโตโตโระ มันจะมีอยู่ฉากหนึ่งที่ตัวเอกของเรื่องไปบ้านคุณยาย แล้วเอาผักผลไม้แช่ให้เย็นจากน้ำในลำธาร แล้วเอาแตงกวามากินแบบ ผลไม้เลย เเตงกวาที่นี่เค้าหวาน กรอบเลยน่ะ ลองดู

ป.ล. เวลากินขนม อาหาร อะไร ห้ามเดินทานนะก๊ะ ส่วนใหญ่ที่นี้จะมีที่่นั่งรับประทานให้เลย หรือไม่ก็ต้องยืนทานในบริเวณร้านเท่านั้นนะก๊ะ อะริง่าโตะโกไซมัตซึ

เสร็จจากที่นี่ เราก็ได้เวลากลับที่พักเอากระเป๋ากันได้เเล้ว และรถต้องคืนภายในเวลาสามทุ่ม ไม่งั้นจะโดนชาจน์เพิ่ม เราขับกลับกันแบบชิลๆ คิดว่าขากลับรถน่าจะไม่ติดเเล้ว เเต่ เเต่ ติดมหันต์มากมาย ทั้งคุย ทั้งนอน ทั้งกิน ก็ยังไม่ถึง ติดหนักมากๆๆๆๆ เราถึงโรงเเรมรีบเอากระเป๋า และคืนรถได้ในเวลา สามทุ่มพอดีเป๊ะเลย ฮ่าาาาา ลุ้นกันหนักมาก

จากที่คืนรถเเล้ว เราก็เดินต่อไปที่เล้าท์ของรถบัส เพราะคืนนี้เราจะเดินทางไปโอซาก้าด้วยรถบัสกัน ที่เล้าท์เราสามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อใช้บริการห้องอาบน้ำได้ค่ะ เเต่คิวห้องอาบน้ำยาวมาก พวกเราเลยไม่ได้ใช้บริการเลย ทนตัวเหม็นกันไป

นอกจากนี้ยังมีบริการฟรี ห้องเเต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าค่ะที่ชั้น3 สำหรับสุภาพสตรี เราเลยใช้บริการที่นี้เเทน เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา แปรงฟันกันไป

ส่วนของชั้น 2 คือห้องพักผ่อน รอรถ จองรถ และห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าผู้ชายค่ะ ในส่วนของห้องนี้มีน้ำดื่ม ซุปมิโซะให้ดื่นกันฟรีๆๆด้วย ฮี่ฮี่

และที่สำคัญค่ะ มีส่วนให้ยืมเครื่องสำอางฟรีด้วย เรียกได้ว่า ล้างหน้าเเล้วลืมเครื่องสำอางนี่ไม่เป็นไรเลย มีทุกแบบ ทุกเฉดสีเลยทีเดียว

เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ พนักงานจะเรียกทุกคนมาเข้าเเถว เเล้วพาเราเดินออกจากตึกไปขึ้นรถพร้อมๆกัน ประนึ่งทัวลูกเป็ดอ่ะ ภายในรถจะมีที่นั่งเเค่สามเเถวค่ะ โดยแถวริมมีผ้าม่านกั้นให้ตลอดเเนว ให้ความเป็นส่วนตัวมาก เอนตัวนอนได้อย่างสบายใจ

เอาหล่ะได้เวลานอน เราต้องพักนอนเอาเเรงกันในรถ เพื่อเที่ยวอย่างเต็มที่วันรุ่งขึ้นกันคร้า โอะยะซุมินะไซ ^^

Osaka

เเละเเล้วก็ถึงสักที นอนพลิกตัวไปสิบตลบเเล้วเนี่ยยยยย เเม้ว่านอนในรถจะสบาย เเต่ไม่เท่าบนเตียงนะคร้า พอลงรถปัป เราตามหาห้องอาบน้ำที่เล้าท์ของรถบัสเลยค่ะ เกลือจะขึ้นเสื้อเเว้ว ฮ่าาาา

เราจ่ายเงินค่าห้องอาบน้ำ 500 เยน และรอคิวอาบน้ำไป ที่นี้ห้องคับเเคบกว่าที่สนามบิน เป็นตู้อาบน้ำ และแยกออกมาห้องเเต่งตัว ห้องเปลี่ยยนเสื้อผ้า มีอุปกรณ์อาบน้ำให้ครบครัน เเต่ที่นี่ไม่มีเครื่องสำอางให้ยืมน้า พวกเราใช้เวลาอาบน้ำ แต่งตัวกันประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ลากกระเป๋าเดินทางต่อกันไปที่สถานีนัมบะ เพื่อซื้อบัตร อเมซิ่งพาส ใช้เข้าสถานที่ต่างตามระบุในบัตรไว้ฟรี+ค่าเดินทางรถไฟใต้ดินหนึ่งวัน

เมื่อได้บัตรมาจากท่านผู้นำเรียบร้อยเเล้ว เรามุ่งตัวไปโรงเเรมเพื่อเก็บข้าวของกันก่อนเลย จะได้กินข้าวกันสะที โอ้วเย วันนี้เราจะพักกันที่ Hotel Sunplaza 2 กันหล่ะ ได้ข่าวว่าเป็นห้องเสื่อ เราน่าจะได้อารมณ์แบบญี่ปุ่นเเบบดั้งเดิม อิอิ

ฝากข้าวของเสร็จ เนื่องจากยังเช้าอยู่ เราจึงทำได้เพียงการฝากกระเป๋าเท่านั้น แล้วออกเดินทางต่อไป

TsutenkakuTower 

จุดเเรกของการเดินทางท่องเที่ยวของเรา เดินจากโรงเเรมไปประมาณ 10 นาทีได้ เเต่เดินจริงความรุ้สึกช่างยาวนาน เนื่องจากความหิว และอากาศที่่ร้อนมากๆของโอซาก้า (อยากจะบอกว่า ร้อนแบบมากๆ ร้อนแบบวัวตายควายล้ม ตับจะเเตก ม้านจะออกมาเต้น เฮ้ออออ) ร้านอาหารยังไม่ค่อยเปิดกันมากนัก เเต่พวกร้านของทอดที่เปิดกัน 24 ชั่วโมงก็มีเยอะอยู่ทีเดียว เราเริ่มเดินกันซุ่มๆดุ่มๆ หาร้านที่พร้อม เราก็เข้าไปทันที ฮ่าาาา

เค้าขอโทษที่จำชื่อร้านไม่ได้ คือมันเบลอไปหมดเเล้ว เราเข้าร้านไปตากับขามันก็พาไปนั่งสั่งอาหารเองเลย ได้ของทอดมาอย่างที่เห็นไข่ม้วนเทอริยากิ กับเบคอนพันอะไรสักอย่าง ตัดเลี่ยนด้วยสลัดแบบญี่ปุ่น ส่วนสเต็กนั่น ข้ามไปเถอะนะ ไม่อร่อย ไม่โดนใจเลยยยยย

ของทอดย่านนี้จัดว่าเด็ด กรอบบ อร่อยจุง ลองกันเถอะนะทุกคน ที่นี่เค้ามีถ้วยน้ำจิ้มสีดำไว้ให้เราที่โต๊ะเลย เราก็เเค่หยิบของทอดขึ้นมา จิ้มลงไปในน้ำจิ้ม แต่ๆ จิ้มเเค่ครั้งเดียวก่อนกัดเท่านั้นนะคะ กัดแล้วอย่าเอาลงไปจิ้มอีกหล่ะ เพราะนี่คือน้ำจิ้มส่วนรวม ใช้กันหลายคน หลายครั้ง เข้าใจตรงกันนะ

กินเสร็จค่อยมีเเรงเที่ยวต่อ เดินต่อไปขึ้นทาวเวอร์ หืมมมมคิวยาวเป็นวา เป็นศอก เลยบอกลาบ๊ายบายไปต่อที่อื่นดีกว่า เเวะแชะภาพเป็นที่ระทึก เดินตามท่านผู้นำไปต่อกันที่ ปราสาทโอซาก้า!!!!

Osaka Castle 

นั่งรถไฟมาถึงนี่ ดีที่เราได้พัดของเเถมมาจากโตเกียว เพราะอากาศร้อนมากๆๆ แบบเเสบผิว เดินหลบแดด กลางแดด วิ่งก็เเล้ว ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เเต่ยังดีที่เราไม่ต้องเข้าคิวซื้อบัตรเข้าปราสาทอีก สามารถเดินขึ้นตัวปราสาทได้เลย เพราะเรามีบัตรอเมซิ่งพาส เราเดินขึ้นบันไดไปสองทางโค้งด้วยความโล่งด้วยความดีใจ แต่ๆๆๆเราเจอคิวใหม่ที่ต้องยืนเข้าแถวกลางแดดจ้า โอกอดดดดดดดดดดดดดด อดทนไปจ่ะ ฮ่าาาาาา

เมื่อถึงคิวได้ขึ้นลิฟ ก็เดินชมวิวสูงรอบปราสาท ตาเหลือบไปเห็นร้านน้ำแข็งใสลิบๆ อยู่ด้านล่าง เราาต้องไปโดนแล้วล่ะ ร้อนขนาดนี้ ฉ่าาาาาาาาาาาาาาาา

น้ำเเข็งใสกับหน้าร้อนเป็นอะไรที่เข้ากันม๊ากมาก มีหลายรสให้เลือกเลย เราเลือกรสชาเขียว สอดไส้ถั่วแดง ราดตามด้วยนมข้น อร่อยสดชื่น กินวนไปค่ะ หกคนแก้วเดียว พอดับร้อนได้เลยมากเลย อิอิ

ระหว่างเดินกลับไปที่รถไฟฟ้าใต้ดิน ก็ต้องผ่านแดดร้อนฉ่า เหงื่อไหลยิ่งกว่าอาบน้ำ เลยต้องเเวะเข้าร้านสะดวกซื้อ เราเลยลองซื้อน้ำเกลือเเร่ในรูปแบบเจลลี่ มันก็พอถูไถได้อยู่นะ แต่ที่ดีทีสุดคือการได้ยืนตากแอร์สักพักก็ยังดี ปาดเหงื่อแพรพพพพ

การจัดการน้ำเเข็งใสมีหลายแบบ ทั้งกิน และตักหกใส่เพื่อน น้ำเเข็งใสก็หมดอย่างรวดเร็ว เรานั่งวางแผนการท่องเที่ยวจากบัตรอเมซิ่งพาสกันต่อว่า จะไปใช้บัตรนี้ให้คุ้มที่ไหนกันต่อ แผนเเรกคิดว่าจะไปเเช่ออนเซ้นที่สปาเวิล ทางผ่านกลับบ้าน แต่ด้วยอากาศร้อนที่มากกว่าเมืองไทย เห็นวาการเเช่ออนเซ็นในหน้านี้ เราอาจจะสูญเสียเหงื่อ และน้ำจนเหี่ยวแห้งได้ เมื่อมองหน้าผองเพื่อนที่ร่วมทริปที่ดูสดชื่น สดใสจากการพักผ่อนอย่างเต็มที่ (ประชดเต็มที่) เลยลงความเห็นอย่างอย่างสามัคคี และพร้อมเพียงกันว่า กลับโรงเเรม พักกันสักนิดเถอะ

กลับถึงที่พัก เช็คอินได้้กุญแจห้องพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำมา และผ้าขนหนู

ผ้าขนหนูบางมากกกกกกก เล็กมากอย่างที่สุด คิดว่าเช็ดไปครึ่งหน้าคงจะเปียกทั้งผืนเเล้ว ฮ่าาาาาา

ห้องพักเป็นแบบห้องเสื่อ นอนฟูกตามเจแปนนีส สไตล์ ลองนอนดูเเล้วก็นุ่มนิ่มดี แต่พีคสุดคือ ห้องพักที่มีขนาดพอคนนอนสองคน สองคนจริงๆนะ มากกว่านี้ไม่ได้เเล้ว ข้อดีของที่นี่ ห้องอาบน้ำสะอาดสะอ้านดีค่ะ อาบได้อย่างสบายใจ แต่กะช่วงเวลาอาบน้ำให้ดี ไม่งั้นต้องต่อคิวยาวนานเลยทีเดียว

 

Dotonburi - Numba

หลังจากพักผ่อนหย่อนใจ จัดที่ทางกระเป๋าให้สามารถปูที่นอนได้ เราก็พร้อมออกเดินทางอีกครั้ง เย็นนี้เราจะไปตามล่า โอโคโนมิยากิ ที่ร้าน Mizuno ออกจากสถานีรถไฟได้เราออกตามหาร้านนี้กันเลยค่ะ เพื่อไปต่อคิวก่อน ระหว่างทางแอบซื้อทาโกยากิร้านข้างๆมารองท้องก่อน แล้วต่อคิวกันไป โชคดีที่คิวไม่ยาวมาก เราต่อไปกันประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้โต๊ะ อร่อยก็อร่อยน้า เเต่กินมากๆก็เลี่ยนอยู่ เลยสั่งสลัดกับเต้าหู้เย็นมาดับเลี่ยนไปด้วย ในเมนูมีเเนะนำอับดับ 1 2 3 อยู่ สั่งตามได้ หรือ เราเลือกสั่งของเองก็ได้นะ เเต่บางอย่างที่ไม่เข้ากัน พนักงานชายหน้าร้านจะบอกเราว่าสั่งไม่ได้ ฮ่าาาา (ทั้งที่เราคิดว่ามันไปด้วยกันได้นะ) คิดว่ายังไงมาถึงเเล้วมาลองกินกันเถอะ อิอิ

จากนั้นเพื่อนๆสามารถเดินชอปปิ้งย่านนี้ได้เลย มีของกิน ร้านเกมส์ ร้านรองเท้า ABC ร้านเครื่องสำอางค์อย่างมัตศึโมโต้ ซูรูฮะ ดองกี้ ร้านร้อยเยน และอื่นๆอีกมากมาย(มีร้าน sex shop ด้วยนะ เราไปเจอในดองกี้หล่ะ ) และ.....ป้ายกูลิโกะ จุดยอดนิยมในการถ่ายรูปด้วย อิอิ เดินให้ขาขวิดกันเลยจ่ะ

อ่ะๆๆ เด้วๆๆไปลองชีสทารต ร้าน pablo ดูกันน้า อร่อยยยยยยยยยยยยยย

(ร้านข้างๆๆอ่ะเทอ มีสาวญี่ปุ่น นุ่งสั้น เต้นเรียกแขกเข้าร้านอยู่หน้ากระจกชั้นสอง น้องๆเค้าดูเเข็งเเรงกันมากนะเทอ ลองไปดูกัน อิอิ)

เเต่เดินไปเดินมาหิวอีกแล้วหล่ะ เลยเเวะไปต่อคิว ร้านของทอด daruma อยู่ในย่านนี้นั่นแหละ เห็นคนต่อคิวยาวๆ เราเลยไปโดนด้วย ตอนเเรกว่าจะกินขำๆ คนละอันสองอัน จิบเบียร์ไปด้วย ไม่รู้ยังไง สั่งเพิ่มไปโดยไม่รุ้ตัว อิ่มเกินไปเลยทันที อยากจะกลิ้งตัวกลับโรงเรม อะไรคือการกินของทอดตอนสี่ทุ่ม อะไรคือความผอม งือออออออออออ (เดินเข้าร้านระวังกันด้วย พื้นลื่่นมาก สื่อให้เห็นถึงของทอดอุดมด้วยน้ำมันขนาดไหนกัน ฮ่าา )

เสร็จจากมื้อนี้ ก็ถึงเวลากลับโรงเเรมพักผ่อนกันสักที

การนอนเสื่อในคืนนี้ทำให้เราได้รับรู้ และรู้สึกถึงญี่ปุ่นอย่างเเท้จริง และทุกด้านเลยจริงๆๆ เมื่อทุกเสียงเงียบลงพร้อมกับไฟที่ดับลง เราก็ได้ยินเสียงหัวเราะ พูดคุยเป็นภาษาท้องถิ่นของห้องข้างๆอย่างสนุกสนาน แต่เเล้วเสียงหัวเราะก็หายไป กลายเป็นเสียงครางต่ำๆ อือ อึ อือ จบท้ายด้วยเสียงอ่าาาาาาา และก็เริ่มเสียงหัวเราะอีกครั้งนึง ตามด้วยเสียงครางในยกที่สอง ด้วยเวลาที่ดึกมากเเล้ว เราพยายามข่มตานอน ภาวนาให้ทุกเสียงจบลงในยกที่สองนี้ เหมือนว่าสวรรค์จะเป็นใจ ห้องข้างๆเราก็เงียบลง ทุกอย่างจบลงที่สองยกเท่านั้น เราอุทานกันอย่างเบาๆ ว่า ครบทุกอรรถรสจริงๆ

หลับยาวหล่ะที่นี้ อิอิ หลอนนนนน

Kyoto

วันนี้ตื่นเช้ากันเหมือนเดิม รีบออกจากที่พัก เราย้ายโรงเเรมกันอีกแล้วค่ะคุณผู้โช้มมมม เราจะย้ายไป Toyoko Inn Osaka Abeno Tennoji & Hospital Inn Ichidai-byoinMae ห่างจากโรงเเรมเดิมเพียงเล็กน้อย เดินลากกระเป๋ากันอย่างชิลๆ เมื่อเก็บข้าวของที่โรงเเรมใหม่เรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทางกันอย่างเร่งด่วน เพราะวันนี้เราจะไปเกียวโตกัน ท่านผู้นำให้เราเดินทางโดยรถไฟท้องถิ่น เราจึงไม่ได้ซื้อ JR pass เเต่อย่างใด 

Fushimi Inari Shrine

พวกเราเเวะซื้อข้าวกล่องกันที่สถานีรถไฟ เป็นการประหยัดเวลาเพื่อไปวัดเสาพันต้น ถึงวัดปัป เราเเวะยืนกินข้าวกันที่หน้าแฟมมิลิมี่มารท์ เเล้วฝ่าแดดอันเเรงกล้าเข้าวัด คนเยอะมากกกกเวลาเราเห็นเสาพันต้นในรูปกับความเป็นจริงช่างเเตกต่าง ไม่สามารถหามุมถ่ายรูปได้จริงๆเลย พอคนว่างปุป ต้องรีบกดถ่ายเลยนะ แข่งกับเวลามาก ฮ่าา

Kinkaku-ji

เราเดินทางต่อกันค่ะ ทีนี้เราใช้การเดินทางด้วยรถเมลเเล้ว เพื่อไปวัดคินคะคุจิ ระห่างนั่งรถเมลชิลใกล้จะถึงวัด ฝนตกค่ะคุณผู้โช้มมมมม ตกแบบไมลืมหูลืมตา ตกแบบพายุเข้า เฮ้ยเทอตะกี้แดดเเรงมากๆ ตอนนี้ ตอนที่เราจะต้องลงจากรถแล้วไม่มีร่ม แล้วตกเเรงขนาดนี้คืออะไรคะ

เเต่สายเที่ยวอย่างเราต้องสตรองตัดสินใจลงจากรถ เเล้ววิ่งเข้าร้านข้าว เอาจิงกะว่าจะกินข้าวร้านนี้ก็ได้หลบฝน เเต่เจ้าของร้านไล่เราออกมา ฮ่าาาาา เราเลยตัดใจวิ่งฝ่าฝนย้อนไปร้านขายของที่ระลึก ที่มีผู้คนหลบฝนกันอย่างมากมาย เราเดินหาร่มกันอยู่นาน เเต่ร่มหมดร้าน เเล้วฝนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เเต่ไม่รุ้เพราะเคราะห์กรรมอันใด อยู่ดีดีมีคนเอาเสื้อกันฝนมาคืนที่ชั้นวางตรงที่มือเราวางอยู่ เรารีบหยิบมาดู แล้วพบว่า เสื้อกันฝนมีจำนวนหกชุด พอดีจำนวนคนพอดีเลย เย้!!! ฟ้าอยากให้เราเที่ยวต่อสินะ พวกเรารีบจ่ายตง ออกจากร้านพร้อมเสื้อกันฝนอย่างมั่นใจ ประนึ่งชุดแฟชั่นวีค ฝ่าน้ำท่วมขังเข้าวัดไป ปัญหาใหม่ตามมาค่ะ รองเท้าผ้าใบของทุกคนเปียกเเฉะ ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยน้ำที่พุ่งตัวออกมา ชุ่มฉ่ำจริง 

Kiyomizudera วัดน้ำใส

เที่ยวชมวัดเสร็จ ก็อากาศเเจ่มใส แดดมาเปรี้ยงเลยทีเดียว เรายังคงนั่งรถเมลต่อกันไปที่วัดน้ำใส เด้วๆๆๆ นี่ไม่หิวกันช่ายไหม ร้านอาหาร ข้าว ขนมอยู่ไหนนนนนน เราสตรอง ไปต่อค่ะ ระหว่างทางมาวัดน้ำใส จะมีร้านเช่าชุดกิโมโนอยู่เยอะเหมือนกันนะ เพื่อนๆที่มีเวลาสามารถมาเช่าใส่ เพื่อเดินถ่ายรูปกันเก๋ๆได้เลยนะฮะ นี่ถ้าครั้งหน้ามีโอกาศมาอีก ก็ว่าต้องมาลองใส่เหมือนกัน

วัดน้ำใสถูกขึ้นชื่อให้อยู่ในรายชื่อยูเนสโก้เลยนะฮะ มีอาคารไม้ขนาดใหญ่ที่สร้างตามแบบโบราณ นั่นคือ ไม่มีตะปูเลยนั่นเอง และที่โด่งดังมากๆคือที่วัดแห่งนี้จะมีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ ไหลผ่านทำให้เป็นที่มาของชื่อ “วัดน้ำใส” ที่เราจะมาดื่มขอพรนั่นเอง บางที่่ก็ว่าให้เลือกดื่มสายใดสายหนึ่ง บางแห่งก็ว่าดื่มมันทั้งสามสายนี่แหละ เราก็เลยดื่มมันไปเลยทั้งสามสายนี่แหละ ครบทุกด้าน ส่วนกระบอกน้ำที่ตักมาดื่ม ไม่ต้องกลัวว่าจะสกปรกนะคะ เวลาใช้เสร้จเราต้องเอากระบอกน้ำไปเก็บที่เก็บเค้าเฉพาะที่มีเเสงฟ้าๆ ฆ่าเชื้ออยู่

ไหว้พระกันเสร็จก็คงต้องถึงเวลาซื้อของกินเข้ากระเพาะรองเท้ากันบ้าง เราก็ซื้อของกินระหว่างทางขาลงไปขึ้นรถกลับบ้าน เราลองชูครีมวานิลา กับชาเขียว หากใครชอบกินชินมอนก็น่าจะชอบร้านนี้นะ ส่วนตัวเราเฉยๆอ่ะ และก็ลูกชั้นปลาอีกครั้งหนึ่ง เเต่สู้ที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้น้าที่นั่นอร่อยที่สุดดด

จากที่นี่เราก็ไม่ไหวกันเเล้ว ตั่งหน้าตั้งตากลับที่พักกันอย่างเดียวเลย เพราะรุ้สึกเหนอะตัว เรานั่งรถไฟกลับที่พักกัน นำโดยท่านผู้นำ และมาโผล่ที่สถานีอุเมดะได้ยังไงไม่ทราบ ท่านผู้นำพามา เราตามเค้าต้อยๆๆๆ เเล้วอยู่ดีดีมาโผล่ที่ห้างไดมารุสะงั้น ขนาดว่าเหนือยๆๆยังไง เราก็ได้เค้กติดไม้ติดมือมาด้วยนะ เท้อเอ้ยยยยยยยยยยยยยย มันอร่อยมากเลย เค้กสตอเบอรี่ครีมสด ครีมไม่หวานเกินไป ตัดเข้ากับความเปรี้ยวนิดๆของสตอเบอรี่ ส่วนเค้กอันอื่นๆ ตัวครีมอร่อยทุกอันเลย ดูรูปกันไปก่อน วันนี้เราไม่มีเเรงเดินไปกินข้าวเเล้วจริง อาหารมื้อเย็นจบที่ห้อง ด้วยมาม่าต้มยำกุ้งของเพื่อนผู้น่ารักคนนึง ที่พกทุกสิ่งอย่างมา ขาดเหลืออะไรนางมีทุกอย่าง กราบบบบบบบบ ต่อด้วยเค้กเเละขนมเล็กน้อยจากแฟมมิลี่มารท์

วันนี้ก็ต้องนอนก่อนเเล้ว พรุ่งนี้ที่ยูนิเวอเซล คือ ศึกหนัก สู้เฟ้ยยยย

เเต่วันต่อๆไปเราจะกลับไปเก็บ กินเค้กกันอีกที อิอิ

Universal Studio Japan 

เราขอตั้งชื่อเรื่องวันนี้ว่า วิ่งสู้ฟัด ณ ฮอกวอท!!!

เราตื่นกันเเต่เช้า ลงไปทานอาหารเช้าของโรงเเรมกันอย่างหนักหน่วง ต้องใช้คำนี้ เพราะยัดข้าวปั้นไปได้ไงไม่รุ้ตั้งสามก้อน ฮ่าาาา

เราออกจากที่พัก ต่อรถไฟ ไม่นานก็ถึงจุดหมายยยย คนมาเป็นล้านแปด ทุกคนมุ่งตัวไปที่เดียวกัน เพื่อต่อคิวเข้า Universal เราเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น พอเราเข้าสู่โลกแห่งยูนิเวอเซลได้เเล้ว จะรออะไรคะ เราต้องวิ่งค่ะ ยามนี้อยากเราต้องวิ่งค่ะ วิ่งไปกดบัตรคิวเข้าแฮรี่พอตเตอร์ก่อนเลย

คุณเพื่อนผู้ร่วมทริปกล่าวว่า เราต้องไม่เเวะถ่ายรูปนะ ถ้าเราเดินเเซงเด็กญี่ปุ่นไปได้ 20 คน เราจะประหยัดเวลาไปได้ถึง 20 นาที พวกเราจึงเดินเร็วสลับวิ่งกันค่ะ กดบัตรคิวได้เวลา 9.20 AM และไปต่อคิวเข้าเครื่องเล่น 4D แฮรี่พอตเตอร์อีกเกือบสองชั่วโมง ฮ่าาาาาาาา สนุกจังเลยเทอเอ้ยยย บรรยากาศแบบฮอกวอต ใครเป็นแฟนแฮรี่ พอตเตอร์ เทอต้องชอบ แม้ว่าแฮรี่จะพูดภาษาญี่ปุ่นก็ตาม

จากนั้นเราจะพลาด บัตเตอร์เบียร์ย่านฮอกมี๊ดได้ยังไงกัน เด้วมาต่อเด้อหล่ะ กลับบ้านก่อน  อิอิ

มาต่อที่ฮอกมี๊ดน้า ย่านนี้เราจะได้เยี่ยมชมร้านหม้อใหญ่รั่ว เลือกซื้อไม้กายสิทธิ เสื้อผ้า  ขนมนมเนย กบชอคโกเเลต เจลลี่ถั่วรสขี้หู หรือแวะจิบบัตเตอร์เบียร์ก็ได้ ชิวๆๆ (เหมือนน้ำซาสี่ โรยหน้าด้วยวนิลาตีฟอง ส่วนตัวเราไม่ชอบนะ มันเลี่ยนไป)

เมื่อลูกค้าที่ซื้อไม้กายสิทธิ์แล้ว สามารถไปลองใช้คาทายกของได้ที่หน้าร้านหม้อใหญ่รั่วค่ะ โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยเเนะนำอยู่ข้างๆ เพื่อให้ทำท่าทา และออกเสียงให้ถูกต้อง "วิงการ์เดียม เรวิโอซ่า"  ฮี่ๆๆ

หากว่าหิวก็มีโรงอาหารสไตล์บ้านกริฟฟินดอร์ให้มาลองกินกัน อาหารใช้ได้นะเทอ แต่ว่าน้ำฟักทองนั้น เราไม่ปลื้มอ่ะ รสชาติแบบมีกลิ่นฟักทองเเต่มีรสเปรี้ยวด้วย รสชาติแบบนี้งงจิงๆ

เเค่ต่อคิวแฮรี่เราก็หมดไปครึ่งวันเเล้ว ฉะนั้นเพื่อความคุ้ม เราต้องมุ่งหน้าต่อไปยังเครื่องเล่นอื่่นๆที่จัดว่าเด็ดกันต่อ ทั้ง 4D สไปเดอเเมน และเครื่องเล่นหวาดเสียวอื่นๆ

อยากเเนะนำเพื่อนที่มีทุนทรัพย์ซื้อบัตร เอกเพรสเลน จะดีว่านะ เราจะได้ต่อเครื่องเล่นในระยะเวลาที่สั้นลง และมีความรู้สึกแบบวีไอพี เวลาเดินผผ่านคนที่เค้า่อคิวอยู่ก่อนเเล้วมาเป็นชั่วโมง ฮ่าาา และยังเล่นได้ครบ เพราะเครื่องเล่นเเต่ละอย่าง ต่อคิวไม่ต่ำกว่าชั่วโมงนะคะ ถ้าเป็นเครื่องเล่นพีคๆ ยอดฮิตมีมากกว่าสองชั่วโมงน้า

หรือถ้าเพื่่อนๆไม่ซื้อ จะต่อคิวแบบ single line ก็ได้ คิวนี้จะสั้นกว่าคิวปกติอยู่พอสมควร เเต่เวลาเล่นเราจะไม่ได้เล่นกับเพื่อนๆนั่นเอง หากมีครั้งไหนที่เครื่องเล่นนั่งจำนวนไม่ครบ เค้าก็จะให้คนที่ต่อคิวนี้เข้าไปเล่นหล่ะ

ระหว่างทางออกมา เพื่อนๆยังสามารถชอปปิ้งของที่ระลึกกันต่อได้เลยนะคะ มีร้านล่อตาล่อใจอยู่อีกเพียบ นี่ถึงต้องเดินกำกระเป๋าตัง หลับตาออกเลยทีเดียว ฮึ่ยยยยย

เสร็จจากนี้ ขาก็เริ่มไม่มีความรู้สึกจากการสะสมมาหลายวัน พีคสุดก็วันนี้เพราะต่อคิวเเต่ละอย่าง เส้นเลือดคอดจะขึ้นมาจ่อที่ขาเเล้วว ฮือออออออออออ เเต่ด้วยเสียพลังงานเยอะวันนี้เราต้องหาที่กินข้าวหล่ะ  พวกเราตัดสินใจว่าวันนี้จะไปกินราเมงข้อสอบ ย่านดงโบริกัน!!!

ถึงร้านต่อคิวแบบพอหอมปากหอมคอ กดบัตรซื้อราเมง ไม่นานเกิน 20 นาที เราก็ได้โต๊ะนั่งกัน พร้อมเลือกส่วนผสมของราเมงกันเเล้ว ทางร้านจะให้เราเลือกรสชาติน้ำซุป กระเทียม ต้นหอม  และระดับความเผ็ดของพริก พริกที่นี้เค้าว่ามันคือสูตรพิเศษของทางร้านเลยนะเทอ

เฮ้ยเทออออออออออ ราเมงอร่อยนะ กลมกล่อมมากมาย ที่สำคัญเลย เทออย่าลืมสั่งหมูชาชู มาเพิ่มด้วยนะ มันละมุน และเข้ากันได้ดีกับสาหร่อยที่โรยอยู่ด้านบน

เทอร้านนี้เราว่าพวกเทอไม่ควรพลาด มาลองกันเถอะ นี่ยังคิดถึงหมูอยู่เลยนะ ฮ่าาา

ปล. เราเเอบซื้อราเมงข้อสอบเเบบกล่องกลับบ้านมาทำเองด้วย เด้วลองทำเเล้วจะมาบอกว่ารสชาติโอเค เหมือนมากินที่ญี่ปุ่นไหม อิอิ

วันสุดท้ายเเล้ว วันนี้พวกเราตัดสินใจให้วันนี้เป็นวัน free days นั่นก็ถือว่าเป็นวันชอปปิ้งแห่งชาติหล่ะ

เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยอาหารจากทางโรงเเรม แล้วไปต่อกันที่ย่านนัมบะ-ดงโบริ เพื่อชอปเครื่องสำอาง ยา และรองเท้ากัน เพื่อนเลือกเดินเช็คราคากันตามสะดวกเลย พวกเราเดินชอปกันได้คนละสองถุงใหญ่ๆ จึงเเวะกินข้าวกลางวันกัน กับ ด้งทะเล หรือก็คือ ข้าวหน้าทะเลนั่นเอง ร้านนี้เราว่ายังไม่สดเท่าที่โตเกียว ร้านสุดยอดที่เรากิน 

จากนั้นก็พากันเก็บข้าวของกลับที่พัก และไปต่อกันที่สถานีอุเมดะ ห้างไดมารุ เพื่อเค้กนั้นเอง ฮ่าา ก่อนกลับไทยเราต้องกลับมาซื้อเค้กกันอีกรอบสอง และเเวะโปเกมอนเซ็นเตอร์กันสักหน่อยหล่ะ ช่วงนี้กำลังอินเทรน  เพื่อนที่สนใอยากได้ของทีระลึก และเล่นเกมที่มีเฉพาะที่โปเกมอนเซ็นเตอร์ที่นี่ มาลองกันได้ค่ะ หากไม่อินโปเกมอน ข้างๆกันก็มียูนิโคลให้ไปลองชอป ชมกันได้

โปเกมอนมีเเต่ของน่ารักๆทั้งนั้นเลย

มาต่อด้วยของกินกันสักหน่อยน้า ขอภูมิใจนำเสนอ เค้กที่ชั้นล่างของห้างไดมารุ

เริ่มที่

  • ชีสเค้ก ที่อบใหม่ก้อนต่อก้อน กลิ่นหอมไปถึงหน้าห้าง จนอดทนไม่ได้ต้องไปต่อคิวซื้อกับเค้าด้วย ชีสเค้ก rikuro's เนื้อเค้กเนียนมากๆเลย หอมฟุ้งๆ ละลายในปาก
  • Strawberry fresh cream cake เค้กอันดับสามของทางร้านharbs ครีมสดที่หอมนุ่มละลายในปาก หลอมรวมกับรสเปรี้ยวนิดของสตอเบอรี่ อีกทั้งตัวเนื้อเค้กยังนุ่มละมุน มันช่างเข้ากันจริงๆเลย 
  • Crape cake เค้กอันดับหนึ่งของทางร้าน นั่นก็คือเครปเค้กนั่นเอง ด้วยเนื้อแป้งที่หอมนุ่ม สอดไส้ด้วยครีมสด และเนื้อผลไม้อย่างเเคปตาลูป กล้วย และกีวี ทำให้เค้กชิ้นนี้อร่อยอย่างที่สุดจริงๆ ความหวาน เปรี้ยว และความหอมของเเคนตาลูปทำให้ทุกอย่างลงตัวมากกกกกก จากร้าน harbs อีกนั่นเอ้งงง
ต่อด้วยของกินในย่านห้างเเถวนั้น เค้าขอโทดอีกแล้วไม่รู้ว่าห้างไหน เดินตามท่านผู้นำด้วยความเหนื่อย เเละจริงๆข้าวเย็นนี้ไม่อยู่ในแผน เพราะตอนนี้หัวคิดถึงเเต่เค้กในมือเท่านั้น ฮ่าาาา

จบวันนี้ไปด้วยความอิ่ม และเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่ลืมเตรียมเเพคของอย่างสนุกสนาน กระเป๋างอกเพิ่มกันคนละใบสองใบ เอะมาจากไหนกัน ชอบกันเพลินสนุกสนานจริง

เราไปสนามบินโดยรถไฟกันอีกเช่นเคย เพื่อนๆหาก ว่าว่างๆกัน มาสนามบินเช้าๆ แล้วมาชอปปิ้งกันต่อได้นะคะ มาถึงสนามบิน ก็ยังมีร้านเครื่องสำอาง ร้านไดโซะ ร้านกระเป๋าเป้อย่างanello (เราได้เป้ใบเล็กมาพันห้าหล่ะ ถูกจุง อิอิ) เเละขนมของฝากอย่างโตเกียวบานาน่า ช็อคโกแลตรอยส์ โปเตโต้ฟราม ขนมจากฮอกไกโด เอ้าเทอเหลือเงินกลับบ้านกันไหมหล่ะ เรานี่เเม้เเต่เยนเดียวก็ไม่เหลือ เเถมรูดบัตรต่ออี๊กต่างหาก หมดตัวกันคราวนี้ ก่อนกลับจริงๆ ก็ได้ไปซื้อนู๊ดเดิลคัพ รสแกงกะหรี่มาลองตามท่านผู้นำด้วย เออเทอมันก็อร่อยดีนะ หากไม่รุ้จะกินอะไร ลองหยิบมาม่าแกงกะหรี่มาใส่น้ำร้อน เข้าปากดู มันโอเครรรรรรรรอ่ะแกรรรร

เอ้าลากันไปด้วยมะเขือเทศสุดแพงในแฟมมิลี่มารท คืออยากลองกิน คือดูแบบอ้วนท้วนน่ารัก คิดว่ามันน่าจะหวาน หนึ่งกล่องมีหกลูก ราคาร้อยกว่าบาท ฮ่าาาา และข้าวบนเครื่องบินจากสายการบินเวียดนามเช่นเคย

สำหรับวันนี้ต้องกล่าวคำว่า สวัสดี และลาไปก่อนกับ Japan trip มหาโหด เดินตีนเเตก อิ่มตัวกลิ้ง มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โอกาศหน้าจะได้ท่องเที่ยวตามความฝัน และลงให้เพื่อนๆได้ชมกันอีก

สวัสดี Japan แดน อุทิศอุทัย

Beaumininjapan


beaumin

beaumin

^^ Bomin ^^

FULL PROFILE