My most Favorite skincare and make-up of 2015 รีวิว skincare และ make-up ที่ถูกใจในปี 2015

27 20

สวัสดีเพื่อนๆชาว Jeban ทุกคนนะคะ หลังจากซุ่มอ่านอยู่นาน ได้ประโยชน์ ได้ทริคอะไรดีๆไปเยอะแล้ว วันนี้ก็ขอมาตอบแทนให้เพื่อนๆบ้างนะคะ เราตั้งใจทำ Review นี้ขึ้นมา เพื่อแชร์ประสบการณ์และผลิตภัณฑ์ที่เราใช้แล้วดี ที่เราชอบ ผิวหน้าคนเราแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นก่อนจะใช้อะไรใหม่ๆ ควรทดสอบก่อนว่าเราแพ้ผลิตภัณฑ์นั้นๆรึเปล่า^^

ก่อนอื่นต้องขอบอกลักษณะผิวหน้าเราก่อนนะคะ ผิวหน้าเราเป็นผิวผสม ค่อนไปทางมัน มีปัญหาสิว หลุมสิว รอยสิว และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสิว เคยเป็นอย่างหนักหนาสาหัสมาก เนื่องจากแพ้น้ำ ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว และขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการรักษาด้วยตัวเองอยู่ค่ะ

Review นี้เป็น Review แรก ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ :)

คำเตือน!! Review นี้ยาวมากถึงมากที่สุด โปรดเตรียมตัวเตรียมใจล่วงหน้า

*ทุกItem ใช้เอง ซื้อเอง ชอบเอง รีวิวเอง ไม่ใช้แสตนอินนะคะ ลองมาแล้วหลายยี่ห้อทั้งถูกและแพง แต่สุดท้ายก็ขอเลือกitemที่ใช้แล้วดี ถูกกับหน้าตัวเองเป็นพอ อันไหนที่จำราคาได้ จะพยายามใส่ราคาให้ด้วย เกริ่นมาซะเยอะแล้ว มาเริ่มกันเลยนะคะ

เริ่มกันตั้งแต่การทำความสะอาดหน้า

Cleansing water : Collection Cleansing Water และ Bifesta Acne Care เราใช้ทำความสะอาดก่อนล้างหน้า และตัวที่คิดว่าเหมาะกับผิวหน้าเรา มีอยู่สองยี่ห้อค่ะ ใช้มาหมดไปเกิน 3 ขวดแล้ว ทำความสะอาดเครื่องสำอางได้สะอาดดี ไม่แสบ ไม่ระคายเคืองผิวหน้า ที่สำคัญคือไม่แพ้

ราคา : Collection Cleansing Water 2xx บาท

Bifesta Acne Care 3xx บาท

Cotton : Rii Less Tonner Cotton Pads สำลีก็สำคัญสำหรับการทำความสะอาดหน้าน๊า ควรเลือกสำลีที่ไม่บาดหน้า และไม่เป็นขลุยง่าย ซึ่งแบรนด์นี้ตอบโจทย์ได้ดีมาก แผ่นบาง ไม่เปลืองCleansing หนึ่งกล่องมี 120 แผ่น

ราคากล่องละ 70 +- บาท

Cleanser : Acne-Aid สีแดง สำหรับคนเป็นสิว ตัวนี้คงเป็นสิ่งที่คนที่มีปัญหาสิวหลายคนต้องมีติดบ้าน ทำความสะอาดหน้าได้ดี ไม่แห้งตึง สิวไม่ขึ้นเพิ่ม ใช้ติดกันมาอย่างน้อย 5 ขวดแล้วค่ะ

ราคา 190 +- บาท (ซื้อตามร้านขายยาอาจจะถูกกว่านี้)

Toner : น้ำเกลือ ยี่ห้อไหนก็ได้ ใช่ค่ะ เราใช้น้ำเกลือเช็ดหน้าหลังล้างหน้าแทนโทนเนอร์ค่ะ ไปอ่านเจอมาว่าคนที่เป็นสิวให้ใช้น้ำเกลือแทนโทนเนอร์ ใช้แล้วรู้สึกว่าหน้าสะอาดดี ไม่ระคายเคืองหน้า แล้วก็ไม่แพ้ด้วย ขนาด 500 mL.

ราคา 58+- บาท

Skincare

Essence : Biotherm life plankton essence : essenceลูกรักของเราเลยค่ะ ขาดไม่ได้จริงๆ ใช้แล้วรู้สึกว่าผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื่น ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น สิวขึ้นน้อยลง ใช้ลงตัวแรกหลังล้างหน้า ก่อนลงskincareตัวอื่นๆ ทั้งเช้าและเย็น ใช้ทุกวันมาตลอด 6 เดือนแล้วค่ะ คนรอบๆตัวทักว่าหน้าดูเนียนใสขึ้น ละเอียดขึ้น ปลื้มมากก .

ราคาประมาณ 2500 +- บาท (สำหรับขนาด 200 mL)

Aloe Gel : เจลว่านหางจระเข้ ตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่ขาดไม่ได้ ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เราจะใช้ตอนเช้าหลังลงEssence เพราะก่อนแต่งหน้าจะไม่ชอบลงskincareเยอะ ลงแค่ตัวนี้เพื่อไม่ให้หน้าแห้ง ซึมซาบเร็ว ไม่เหนอะหน้า ราคาประมาณ 55 +- บาท

: ตัวนี้จะใช้แค่ตอนกลางคืน ใช้แล้วรู้สึกว่าทำให้รูขุมขนดูกระชับขึ้น(นิดนึง)ไม่เหนอะหนะหน้า ใช้คู่กับตัว life plankton แล้วรู้สึกว่าช่วยทำให้หน้าใสขึ้น แต่เรื่องริ้วรอยยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ค่อยมีริ้วรอยที่ชัดเจน

ราคา 3500 +- (สำหรับขนาด 50 mL.)

Eye Cream : Estee Lauder eye cream : เป็นคนมีปัญหาใต้ตาคล้ำ แต่ไม่มีถุงใต้ตาหรือริ้วรอย ตัวนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร ใช้ต่อเนื่องแล้วทำให้รอยคล้ำใต้ตาลดลงได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าใช้หมดแล้วก็อาจจะลองยี่ห้ออื่นๆดูบ้าง

ราคา : จำไม่ได้

SebaMed Anti Pimple Gel : เจลแต้มสิว คงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนเป็นสิว สำหรับเจลตัวนี้มันค่อนข้างอ่อนโยน ไม่ระคายเคือง แต้มได้บ่อย สิวยุบเร็ว และไม่ทำให้บริเวณรอบๆ ลอกหรือเป็นขลุยเหมือนบางยี่ห้อที่เคยลอง

ราคา 250 บาท

Thursday Plantation Tea Tree Oil : Tea Tree Oil ตัวนี้ จะเรียกว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านของเราเลยก็ว่าได้ จะเป็นสิว เป็นแผล หรือใช้ดมให้ผ่อนคลายก็ยังได้ เพราะกลิ่นมันเหมือนน้ำมันAroma แต่ปกติแล้วจะใช้แต้มสิวแบบที่ไม่มีหัว หรือสิวที่กำลังจะขึ้น ทาก่อนนอนพอตื่นมาจะรู้สึกได้เลยว่าสิวมันยุบ เป็น Multi Purposeจริงๆค่ะ

ราคาประมาณ 3xx บาท

BK Mask : Mask แต้มสิวแบรนด์ของคนไทย ตัวโปรดเลย วันไหนที่อยู่บ้าน ก็จะใช้แต้มบริเวณสิวทิ้งไว้ หรือจะใช้แต้มก่อนนอนก็ได้นะคะ ทำให้สิวอักเสบหายเร็วขึ้น แห้งเร็วขึ้นเยอะเลย

ราคาประมาณ 3xx บาท

Mineral Water : Spray น้ำแร่ มีสองแบรนด์ที่ใช้บ่อย คือ Evian และ Fresh Drop เป็นอีกหนึ่งอย่างที่หยิบมาใช้บ่อยมาก ทั้งหลังล้างหน้า หลังแต่งหน้า ระหว่างวัน ทำให้สดชื่น แล้วแอบคิดไปเองว่ามันทำให้เครื่องสำอางติดทนนานมากขึ้นค่ะ

ราคาประมาณ 100-200 บาท

เย้ๆ จบหมวด Skincareแล้ว มาต่อกันที่หมวด Makeup นะคะ

Primer : Collection Primed & Ready เป็นตัวตายตัวแทนของ Benefit Porefessional ในราคาที่ต่างกันเกินครึ่ง ส่วนตัวแล้วชอบCollection มากกว่า เพราะมันไม่มีน้ำหอม ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกันเลย และที่สำคัญคือใช้แล้วไม่อุดตันค่ะ

ราคาประมาณ 2xx บาท

Eye Primer : Essence Eye Shadow Base ด้วยความที่เป็นคนหนังตาไม่มันมาก เคยลองมาหลายยี่ห้อแล้ว ก็ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกันมากจนแทบจะไม่แตกต่าง เลยยกให้ตัวนี้ เพราะทั้งถูกและดี จะเสียแพงกว่าทำไม

ราคาประมาณ 245 บาท

Foundation : รองพื้นตัวโปรดจะมีอยู่สองตัวค่ะ

-KMA Water Resist Liquid Foundation จะเป็นตัวที่ใช้ในชีวิตประจำวันปกติ everyday look ไม่ได้ต้องการปกปิดขั้นสุด แต่ก็สามารถปกปิดร่องรอยต่างๆได้ดีพอควร ตัวนี้จริงๆก็เป็น Full Coverage แต่จะเบาบางกว่า คุมมันได้ดีพอควร สีไม่dropระหว่างวัน ไม่เยิ้ม ไม่หลุดง่าย

ราคา 350-450 บาท แล้วแต่แหล่งที่ซื้อ

-Estee Lauder Stay in place makeup สี Sand จะใช้สำหรับวันที่ต้องการปกปิดมากเป็นพิเศษ Formal Look อาจจะไปงาน สมัครงาน ตัวนี้หลายๆคนคงรู้สรรพคุณกันดีอยู่แล้วนะคะ ปกปิดขั้นเทพ จะรอยดำ รอยแดง เอาอยู่หมด คุมมันขั้นสุด แต่ต้องระวังนิดนึงเวลาลง เพราะเนื้อรองพื้นจะแห้งเร็ว ทาไม่ดีอาจจะเป็นคราบและหนาได้

ราคาประมาณ 12xx บาท

Concealer : Collection Lasting Perfection Concealer จริงๆปกติแล้วไม่ค่อยได้ใช้Concealerซักเท่าไหร่ แต่ถ้าวันไหนร่องรอยมันมากเกินที่รองพื้นจะปกปิด ก็อาจจะต้องใช้มันช่วยบ้าง ตัวนี้ทาได้ทั้งจุดต่างๆบนใบหน้า หรือแม้กระทั่งใต้ตาก็ไม่เป็นคราบหรือตกร่อง สีก็เข้ากับหน้าได้ดีไม่ลอยค่ะ แต่ต้องระวังเพราะมันค่อนข้างแห้งเร็ว คือป้ายแล้วต้องรีบเกลี่ยเลย ถ้าใครไม่เคยใช้ และอยากจะลองใช้Concealerดู ลองตัวนี้ก็ได้ค่ะ ถูกและดีอีกแล้ว

ราคาไม่เกิน3xx บาท

Finishing Powder : Covermark Finishing Powder S JQ (สี Y3) แป้งเนื้อละเอียดดีพอควร สีเหลืองนวลๆ ทาแล้วหน้าผ่อง แต่ไม่วอก เซ็ทรองพื้นได้ดี ไม่ทำให้รองพื้นเปลี่ยนสี คุมมันได้ดีถึงดีมาก กระปุกใหญ่สะใจมาก ไม่รู้จะใช้หมดมั้ย ที่สำคัญ ราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าตังมากค่ะ

ราคาประมาณ 250 +-

Cushion: Soul Skin Mineral Air CC Cushion แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ของคนไทย ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้านี้เห็นกระแส Cushion มาแรงมาก ก็เลยอยากลองบ้าง ลอง Cushion มาหลายตัวมากกกกก ทั้งตัวที่ฮิตติดกระแส ตัวที่เค้าว่าดี แต่ก็ยังไม่ถูกใจซักที จนหันมาลองอุดหนุนแบรนด์ของคนไทยดูบ้าง ลองอยู่หลายแบรนด์จนมาเจอตัวนี้ คือมันเข้ากับผิวหน้าเรามาก ปกปิดได้ดี-ดีมาก สำหรับ Cushion ถึงเหงื่อออกหน้าก็ไม่เยิ้มไม่มัน จะให้เป็นlook dewy ดูฉ่ำๆ วาวๆ จนตอนนี้รองพื้นก็กลายเป็นไม่ค่อยได้ใช้ คือใช้ Cushion ตัวเดียวจบ ประหยัดเวลาแต่งหน้าไปได้เยอะมาก ราคาก็ไม่แพง คือถูกใจถึงขั้นต้องซื้อมาตุนเลยค่ะ

ราคา 690 บาท

Bronzer : ที่หยิบใช้บ่อยที่สุดจะมีสองตัวค่ะ ให้ผลไม่ต่างกันมาก ติดทนพอกัน แต่โทนสีอาจจะต่างกันเล็กน้อย

-Essence Shading Powder (เบอร์02 )ตัวนี้สีจะออกไปโทนน้ำตาลเทาหน่อย เนื้อแมท ชอบตรงที่มี highlight มาให้ด้วยในตลับ ทำให้ในวันที่รีบๆสามารถหยิบตัวนี้ตัวเดียวจบเลย ตัวhighlight สีไม่วิ้งมาก กำลังพอดี ดูไม่หลอกตาดีค่ะ

-Catrice Sun Glow Matt Bronzing Powder (เบอร์ 020 Deep Bronze)สีจะออกไปโทนน้ำตาลแดงนิดๆ เนื้อแมทเหมือนกัน ติดทนพอกัน ใช้บ่อยพอกัน เลยตัดสินใจไม่ได้ เลือกมาทั้งสองอันเลย

Blush on : เหมือนเดิมค่ะ ขอเลือก2สีที่หยิบใช้บ่อยที่สุดนะคะ

- Wet n Wild สี Pearlescent Pink สีชมพู๊ ชมพู มีวิ๊งทองละเอียดผสมอยู่ ทาแล้วเล่นแสงสวยมาก ติดทนดีงาม แต่packageดูก๊องแก๊งไปหน่อย แต่ให้อภัยเพราะสีสวยและราคาถูกมาก

-Essence Blush up Powder (เบอร์ 10 Heat Wave) อันนี้รูปที่ถ่ายมาอาจจะไม่สวยนะคะ แต่สีจริงมันสวยมากกก มีสองโทนสีในตลับเดียว ส้มไล่โทนไปชมพู จะทาเป็นสีเดี่ยวๆ หรือปัดรวมๆกัน ก็สวย เนื้อแมทไม่มีวิ้งค์ ติดทนดีงามอีกเหมือนเดิม ราคาประมาณ 2ร้อยนิดๆค่ะ

Eyeshadow :

Urban Decay Naked 3 : Palette นี้ คงไม่ต้องพูดอะไรมาก สาวๆคงรู้จักกันดี เป็นโทนสีที่ทาได้ทุกวัน ทำได้หลายlook คุณภาพก็คงไม่ต้องพูดถึงเนอะ รู้ๆกันค่ะ

-In2It Eye Colour Palette (เบอร์ 04 Island Sand) : ส่วน Palette นี้ เป็นม้ามืดมากค่ะ คือตอนที่ซื้อ ซื้อแบบไม่คิดอะไร เดินผ่านแล้วเห็นมันลดราคา ก็เลยหยิบมางั้นๆ แต่ปรากฏว่าตอนนี้กลายเป็นลูกรักเลย เพราะสีสวย เม็ดสีแน่น ตลับเล็กพกง่าย อยากให้ติดทนมากๆก็ใช้ eye primerช่วย ข้อเสียอย่างเดียวคือไม่มีสีแมทเลย แต่โดยรวมแล้วชอบมากก ใช้ทุกวัน ดีงามพระรามแปดมากค่ะ ราคาประมาณร้อยกว่าบาทเท่านั้น

Mascara : Mascaraเป็นสิ่งนึงที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ ขอแค่ไม่แพนด้าก็พอ เพราะเป็นคนติดขนตาแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว ที่ใช้ทุกวันก็จะเป็นสามตัวนี้ค่ะ Dejavu Fiberwig สำหรับขนตาบน Maybelline ปัดทับตัวแรกอีกที ตัวสุดท้าย Dejavu Tiny Sniper สำหรับปัดขนตาล่างค่ะ เพราะตัวแปรงมันเล็กดี ทั้งสามตัวไม่แพนด้าเลย แต่ถ้าร้องไห้ก็อาจจะมีเลอะๆบ้างนะคะ

Eye brow Pencil : Mille 3D Eye brow waterproof สี light brown ติดทนดีค่ะ สีสวยเข้ากับสีผม เนื้อนิ่ม แต่หัวดินสอแอบบังคับยากไปนิดนึง ทำให้เขียนพลาดได้ง่าย ต้องใช้ความเคยชินเอา

Eye brow Mascara : Kate Eyebrow color Mascara จะเป็นแบรนด์อื่นไปไม่ได้เนอะ สำหรับMascaraคิ้ว สรรพคุณก็ไม่ต้องบรรยาย ติดลมบนอยู่แล้ว ติดทน ไม่เป็นก้อน แต่ติอย่างเดียวคือขนาดเลือกสีที่มันเป็นน้ำตาลทองมากที่สุดแล้ว แต่เวลาทาออกมา ก็ยังติดเฉดน้ำตาลเทาอยู่ดี

มาถึงItemสุดท้ายแล้วค่า พึ่งรู้ว่าการทำรีวิวมันยากและใช้เวลานานมากขนาดนี้

Lipstick : จริงๆเป็นคนที่มีlipstickทุกเฉดสี แต่จะมีสีที่ใช้ประจำอยู่แค่2เฉดสี คือแดงกับส้ม เพราะเป็นคนทาสีชมพูหรือสีนู้ดไม่ขึ้น วันนี้เลยจะขอเลือก 6 สี ที่ใช้บ่อยที่สุดมานะคะ

-Sephora Lip stain สี 01 สีแดงแมท pigmentชัดเจน รุ่นนี้ขึ้นชื่อเรื่องความติดทนอยู่แล้ว คือติดทนมาก ทานข้าว ทานน้ำ ไปสองมื้อ สีก็ยังชัดเจนอยู่ ราคาก็น่าคบหา 490 บาท ขาดตัว หาซื้อได้ที่ Sephora ทุกสาขา

-Revlon สี 07 In the red นี่ก็สีแดงที่ทาบ่อยมาก คือมันไม่แดงแจ๋ และมันก็ไม่เข้มไป คือมันแดงกำลังดี ทาสีนี้ทีไร ต้องมีคนถามทุกทีว่าใช้ลิปอะไร ส่วนเรื่องความติดทนก็ถือว่าอยู่ในระดับที่โอเค ถ้าเทียบกับราคา ไม่น่าจะเกินสองร้อยบาท

-Wet n Wild สี Mocha-Licious สีนี้พึ่งซื้อไม่นาน กำลังเห่อ เป็นลูกรักตัวใหม่ เพราะเห็นตอนนี้เทรนปากโทนแดงน้ำตาลกำลังมา ก็เลยลองทาสีนี้ดู ปรากฏว่าผ่าน สีมันแซบมาก อาจจะดูเข้มไปสำหรับบางคน แต่เราว่ามันดูน่าค้นหาดี ติดทนมั้ย? ก็ไม่แย่มาก แต่เนื้ออาจจะแห้งไปหน่อย ต้องบำรุงดีๆก่อนทา แต่ราคาน่ารักอีกแล้ว 15x บาท

-Mac สี Sushi Kiss มาโทนส้มซอฟๆลงมาบ้าง สีนี้ก็ได้มาแบบไม่ได้ตั้งใจอีกเหมือนกัน เดินไปcounter Mac บอกพี่BAว่าอยากได้สีส้มนมๆ นางก็เลือกมาให้ลอง สรุปก็ได้ติดมือกลับบ้านมาอีกตามเคย เวลาแต่งหน้าอ่อนๆ สีนี้จะเป็นสีแรกที่หยิบเอามาใช้ ราคาประมาณ 7xx บาท

-Misaekyeon สี Orange love สีส้มนมคล้ายๆสีบน แต่สีนี้เวลาทา ต้องทาtint สีส้มรอบนึงก่อน แล้วทาสีนี้ทับ มันจะพอดีมาก แถมติดทนด้วย ราคาจำไม่ได้จริงๆ

-Giorgio Armani เบอร์ 307 ส่วนแท่งนี้เป็นโทนส้มอมแดง เม็ดสีไม่จัดมาก เนื้อcreamy ใช้ทาวันที่แต่งหน้าเหมือนไม่แต่ง คือดูปากสีธรรมชาติ ส้มระเรื่อๆ ทาแล้วปากไม่แห้ง แต่ด้วยความที่มันเป็นcreamy มันก็อาจจะไม่ติดทนมากนัก แต่เป็นสีที่ใช้ได้ทุกวัน คนที่ไม่ค่อยได้แต่งหน้าหรือแต่งหน้าอ่อนๆน่าจะชอบ ราคาประมาณ 12xx บาท

swatch สีลิปเปรียบเทียบกันซักนิด ^^

เย้ๆ! ในที่สุดก็ทำreviewนี้จนจบสมบูรณ์ซักที หวังว่าReviewนี้คงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ เจอกันใหม่Reviewหน้าค่ะ ยังมีReview Maskหน้า กาวติดขนตา และขนตารออยู่ค่ะ ขอบคุณค่ะ :)


pichypp

pichypp

FULL PROFILE