ถ้าเรื่องหน้า ไว้ใจป้าเถอะ Laura Mercier (foundation, loose powder, compact powder, mineral loose powder, tinted moisturizer)
UglyBeauty1920สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ชาวจีบัน
ช่วงนี้เชื่อว่าหลาย ๆ คนกำลังตกอยู่ในสถานะเดียวกับเรา คือ งานก็เยอะ สอบก็มี อีเว้นท์ก็ต้องไป สถานการณ์ต่าง เวลาจำกัด สภาพหน้าไม่พร้อม ทำให้ต้องมีตัวช่วยค่ะ จะบอกว่าไปหาตัวช่วยใหม่มั้ย ไม่เลย ที่มีอยู่ในกรุที่คุ้นเคยนี่แหละค่ะ แต่เพราะสถานการณ์ ความเหมาะสม และเวลา ทำให้เราได้เรียนรู้ รู้จักปรับใช้กับสิ่งที่มีอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ต้องคอยหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ตามคอนเซ็ปท์ "รักแท้ มักมีน้อย"
กระทู้นี้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการรีวิว ทั้งข้อดี ข้อเสีย และเหตุผลว่า ทั้ง ๆที่มีข้อเสียแต่ทำไมยังไว้ใจแบรนด์นี้ และแนะนำปรับใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสถานการณ์ด้วยค่ะ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เวลาแค่ไหน โบกรองพื้นตลอดก็ไม่ใช่เรื่องนะค่ะ ให้หน้าไปปรับ ให้เราได้เปลี่ยน เรียนรู้กันไปค่ะ ช่วงท้ายกระทู้หลังจากรีวิวแล้ว จะเป็นการจับคู่ผลิตภัณฑ์ว่า ใช้ตัวไหนกับตัวไหน จะได้ลุค เหมาะกับโอกาสไหนค่ะ
ปล. ได้ข่าวว่าช่วงนี้เห็บเยอะ เราก็แอบกลัวว่ากระทู้เราจะโดนสอยเบา ๆ แต่ใช้เอง ตำเอง เจ็บเอง รักเอง ไม่มีอวยแน่นอนค่ะ ^_^
เริ่มกันที่ตัวแรกโลดดดด
1. Laura Mercier Mineral Powder
ตัวนี้เป็นแป้งผสมรองพื้นแบบฝุ่นค่ะ
ข้อดี
- มีหลายเชดสีให้เลือก
- แป้งเนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย
- ใช้ได้นาน เพราะปริมาณที่ใช้แต่ละครั้งน้อยมาก
- ไม่คุมมัน แต่ไม่มันเพิ่ม (เราเป็นคนหน้ามันนะ)
- สำหรับเราไม่ดรอป แต่มีรุ่นน้องคนนึงบอกว่า สีดรอปลง แต่คุยกันแล้วคิดว่า น่าจะเป็นเพราะสีรองพื้นน้องเค้ามากกว่าที่ดรอป
- แรก ๆ ก็คิดว่าแพง แต่ใช้ได้นานมากกกก จนคิดว่า คุ้มมากกว่าคุ้มมากมาย
- ต้องใช้กับแปรง ซึ่งตอนเราไปซื้อ พนักงานเซโฟร่าเค้าก็ถามว่า มีแปรงรึยัง เค้าเลยแนะนำแปรงเซโฟร่าให้ เป็นแปรงที่ดีมากกก ทนมากกกก แป้งหมดนานแล้วแต่แปรงยังอยู่ สามารถเอามาปรับใช้เกลี่ยรองพื้นได้เนียนดี เอ๊ะ เหมือนจะดี แต่เป็นข้อเสียเพราะ "พกพาไม่ได้ ไม่สะดวก" ไหนจะกระปุก ไหนจะแปรง ลำบากมากค่ะ ถ้าใครสนใจ ควรคำนึงถึงข้อนี้ด้วยนะค่ะ
2. Laura Mercier Loose Setting Powder (Translucent)
หลังจากใช้ตัว mineral loose powder ก็เริ่มมาสนใจการแต่งหน้า ให้ได้ลุคแบบไม่หนา ดูเป็นผิว ๆ มากขึ้น และพบว่า สิ่งสำคัญคืออย่างหนึ่งคือ แป้ง เอาตรง ๆ ก็คือ ซื้อตามโมเมเลยค่ะ คิดว่าลองซื้อดูไม่น่าจะเสียหาย เรื่องสีไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเป็นแบบโปร่งแสง แต่อะไรหนอที่ทำให้นางดังและดีคงต้องลองค่ะ
ข้อดี
- คุมมันนะ เราใช้อยู่สองตัว คือตัวนี้ กับอินนีสฟรี คิดว่าตัวนี้คุมมันมากกว่า
- เนื้อแป้งละเอียดมากกกกกกกก ทำให้ไม่ดูหนา
- ใช้ได้นานมากกกกกกกกกก เพราะใช้น้อยมาก ถ้าเทียบกับอินนิสฟรี ใช้ปริมาณน้อยกว่าอินนิสฟรีมาก
- แป้งโปร่งแสง แต่หน้าผ่อง
ข้อเสีย
- จะดีใจและรักมากกว่าเดิม ถ้าให้พัพมาด้วย นี่ต้องลำบากหาพัพอีก เราใช้พัพของ the body shop กับ Sephora ส่วนตัวชอบของ the body shop มากกว่านะ แต่ทั้งสองยี่ห้อราคาน่ารัก ไม่เสียหายอะไร ขนาดพอดีกระปุก ใส่ไว้ในกระปุกได้เลย
- พกพาลำบากอีกเช่นเคย
- กระปุกแตกง่าย (รึป่าว) อันนี้เราไม่แน่ใจ เพราะมาเปิดอีกทีกระปุกเราก็แตก ถามหลานว่าใครทำ หลานตอบ "bad guy" แล้วก็เอาสติกเกอร์มาติดบนฝาให้ปลอบใจ (ตามภาพ) เอ่ิมมม วินาทีตอนเปิดกระปุกแล้วแป้งหกนี่ ใจสลาย แถมพอมันแตกแล้ว มันก็จะคอยล่วงออกมาเรื่อย ๆเลอะเทอะมาก ทางที่ดี อย่าให้ได้แตกตั้งแต่ครั้งแรกค่ะ
หลังจากที่ค้นพบความลำบากในการพกพาของทั้งสองแบบ ก็ตัดสินใจซื้อแบบตลับค่ะ
4. Laura Mercier The Smooth Finish Foundation Powder
แป้งผสมรองพื้นแบบตลับ เราไม่เคยใช้รุ่นก่อนหน้านี้ แต่ตัวนี้เราว่า ดีมากเลยทีเดียวค่ะ
ตัวตลับ
- กลม พกพาสะดวก สามารถพกในครัชท์ได้สบาย ๆ
- แบ่งชั้นแป้งกับ ชั้นเก็บพัพ
- แต่เราไม่ชอบตัวกระจก เหมือนแป้งจะทำให้กระจกหม่นตลอดเวลา
- ทนทาน ตกหลายรอบแล้ว แต่ไม่แตก แต่ไม่ตกน่าจะดีกว่านะ 5555555
- เป็นแป้งที่เรามั่นใจมาก ๆ ว่า ทาเท่าไหร่มันก็ไม่หนา ทาแรก ๆ แบบงงว่าทารึยัง? แต่ผิวดีขึ้นหลังทาชัดเจน
- ปกปิดระดับนึง อย่างที่บอกว่ามันไม่หนา ถ้ามีรอยสิวที่เข้มมากๆ หรือสิวเม็ดโต ต้องใช้คอนซีลเลอร์ช่วยค่ะ
- ลุครีบ ลุคธรรมชาติ แป้งตัวนี้ตอบโจทย์มาก
- แป้งอัดแข้งมาแน่นมากกกกก ทำให้ใช้เท่าไหร่ก็ยากที่จะลดลง หลังๆมานี่เรียกว่าขูดแป้งทาดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าถ้าใช้เรื่อยๆ เมื่อไหร่จะหมด คุ้มใช้ได้เลย
- คุมมันมั้ย? ไม่มันเพิ่มมากกว่า ใช้ลุคผิว ๆ ดิวอี้ค่ะ เผอิญเป็นคนไม่ชอบแมท แต่ก็ไม่อยากมัน เป็นแฮปปี้กับตัวนี้ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
- พัฟทำมาได้ดีมาก ส่วนนึงที่ได้ลุคเนียนธรรมชาติน่าจะมาจากพัพที่คุมปริมาณได้ดี
- ซักแล้ว เหมือนใหม่ ดีเหมือนเดิม ดีก็ตรงนี้แหละ
4.Laura Mercier Silk Crème Oil Free Photo Edition Foundation
ขอเกริ่นก่อนว่า ตอนไปซื้อตั้งใจจะซื้อ Too Faced born this way แต่หมดสต๊อกไปซะงั้น เลยเดินไปหาป้าลอร่าที่รักและไว้ใจ ได้ยินรีวิวมาไม่น้อย ไม่คิดว่าป้าจะทำให้เราผิดหวัง และป้าก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริง ๆ คะ
บอกก่อนว่าใครต้องการความแมท เซกู๊ดบายตัวนี้ได้เลย แต่ใครก็ที่ต้องการความเป็นผิว ที่ยังคงปกปิด สามารถเพิ่มความหนา ระดับปกปิดได้ ก็อ่านต่อค่ะ ^^
ข้อดี
- เนื้อเบาบาง เกลี่ยง่าย
- มีหลายเฉดสีให้เลือก
- ปกปิดได้ดี เพิ่มระดับได้
- ติดทน ให้ความเป็นผิว ถ่ายรูปสวย เพื่อนทัก
- รองพื้นอะไร ยิ่งอยู่นานยิ่งทน มันดีก็ตรงนี้จริง ๆ
- ไม่คุมมัน แต่ก็ไม่มันเพิ่ม ไม่มันเยิ้ม แต่ถ้าคนหน้ามันมาก ๆ เราไม่แน่นำนะ เราเป็นคนหน้ามัน แต่ไม่ซับหน้า ไม่เคยพกกระดาษซับหน้ามัน แต่ใช้ตัวนี้ได้ดี
- ใช้น้อย ๆ เผลอ ๆ เบากว่าบีบีด้วยซ้ำค่ะ
- ไม่ชอบตัวหลอดเลยยยย จริงๆ เพราะวัสดุที่ใช้ทำหลอด ประกอบกับสีตามสไตล์ป้าลอร่า ทำให้หลอดเลอะง่ายค่ะ
- เนื่องจากตอนซื้อเป็นช่วงที่กลับจากเที่ยวทะเล และกำลังอินผิวแทน ๆ หลังจากนั้นเดือนนึง ก็งานเข้าสิคะ ผิวขาวขึ้น เลยใช้ผสมกับรองพื้น Boujois สีสว่างที่มี ทำให้รู้สึกว่าปริมาณที่บีบออกมามันเยอะไปหน่อย ใช้ไม่เคยหมดเลย แต่ละครั้งที่บีบมา เสียดาย เพราะราคาค่อยข้างสูง ผิดที่หลอดหรือผิดที่เรา (คนละครึ่งละกัน แฮ่)
5. Laura Mercier Tinted Moisturizer Broad Spectrum SPF 20 sinscreen lightweight flawless coverage
ได้ขนาดทดลองมาเมื่อนานมากแล้ว (ตอนนี้อาจปรับสูตรแล้ว) ไม่ค่อยได้ใช้ แต่หลังๆมานี้ใช้บ่อยมาก ไม่คิดว่าจะดี แต่ค่ะแต่ (อ่านต่อใต้ภาพ)
ข้อดี
- ปกปิดไม่มาก แทบไม่ปกปิดเลย แต่ปรับผิวให้ดีขึ้น
- ติดทนระดับนึง ถ้ามีห้าระดับ ให้อยู่ระดับสองค่ะ
- ไม่คุมมัน
- ไม่อุดตัน (อาจเพราะเราไม่แพ้)
- คิดข้อเสียไม่ออกจริง ๆ ค่ะ ไม่ได้มีข้อดีมาก แต่ก็ไมได้มีข้อเสียอะไร เพราะเป็นแค่ Tinted Moisturiserซึ่งเราคิดว่า ตัวผลิตภัณฑ์ทำหน้าที่ตามนั้นได้ดีแล้วค่ะ ไว้ปรับสภาพผิว
ต่อไป เป็นการจับคู่ผลิตภัณฑ์สำหรับเบสเมคอัพ สำหรับ ลุค และโอกาส รวมถึงเวลาที่มีสำหรับการแต่งหน้าด้วยค่ะ
First look
ลุคหน้าแน่น ผิวดี งานเนี๊ยบ ติดทน มีเวลาในการแต่งหน้าเต็มที่
สองตัวนี้ค่อนข้างทำงานร่วมกันได้ดี เพราะตัวแป้งจะช่วยทำให้ตัวรองพื้นไม่มันเพิ่ม สำหรับคนหน้ามันค่ะ แต่ถ้าคนหน้าแห้ง อาจต้องเปลี่ยนแป้งนะค่ะ เวลาดู Pony จะเห็นว่าเค้าใช้เวลาเกลี่ยรองพื้นนานพอสมควร ซึ่งก็จริงของเค้าค่ะ ค่อยๆเกลี่ย ในงานเนียน ในงานเนี๊ยบค่ะ
Second look
บางทีก็ต้องสวยในเวลาเร่งรีบ บวกอารมณ์ขี้เกียจ แค่มีคิ้ว ผิวดี ๆ ปากสีสดใสก็รอดแล้วค่ะ สวยไปเรียน สวยไปเซเว่น สวยไปตลาด สวยไปไหนก็ได้ หรือจะสวยอยู่บ้าน งานไม่เนียบ เน้นงานรอด แบบธรรมชาติค่ะ
ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที (ถ้ามีคอนซีลเลอร์เพิ่มมา) หรืออาจจะแค่ 5 นาที
แค่กันแดด กับผลิตภัณฑ์ในรูป เขียนคิ้ว ลิปมันเปลี่ยนสี หรือจะลิปแมทสีสด แต่ทาน้อย ๆ ทับด้วยบาล์มใส ๆ ก็รอดแล้วค่ะ ^_^
หรือจะเป็น
เราเป็นคนนึงค่ะ ที่เชื่อว่า แต่ละแบรนด์ก็มีจุดเด่นของตัวเอง เช่น แบรนด์นี้สกินแคร์ดี แบรนด์นี้ลิปสติกเลิศ หรือแบรนด์นี้เบสเมคอัพเชื่อถือได้ แล้วเวลาซื้อของ ถ้าเจอสินค้าจากแบรนด์นึงดี ก็จะลองตัวอื่นของแบรนด์นั้นด้วยเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการและสนใจ ก็เหมือนกับหลาย ๆคนที่พอพูดถึงลิปสติกก็ต้องแมคเท่านั้น หรือถ้าพูดถึงอายแชร์โดว์ก็ของเพลย์เซฟกับ urban decay สำหรับเราก็ตามที่รีวิวเลยค่ะ แต่ถามว่าอยากลองยี่ห้ออื่นมั้ย อยากมากกก แต่ต้องเตือนตัวเองทุกครั้งว่า เครื่องสำอางค์ มีอายุการใช้งาน ถ้าใช้ไม่หมด ก็เสียดายจะทิ้ง เพราะฉะนั้น ถ้าที่มีอยู่แล้ว ใช้ได้ดี ก็พยายามจะใช้ต่อจนใกล้หมด โดยเฉพาะพวกเบสเมคอัพที่ ใช้เท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่หมดสักที สวยไม่เปลือง สวยไม่งก สวยไม่สิวเพราะเครื่องสำอางค์หมดอายุกันดีกว่านะคะ ^^
จบไปแล้วนะคะ สำหรับกระทู้แนะนำพร้อมรีวิวผลิตภัณฑ์ laura mercier หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อน ๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ^______________^
ฝากกระทู้นี้ไว้ห้ติตตามอีกกระทู้นึงนะค้าาาา ^_______^
Kiehl's & Shu Uemura สกินแคร์สองเจ้านี้ ดีจริงหรือ? (Skin Care Review) http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=210185
Discussion (20)