เที่ยวฮอกไกโด(เองไม่ง้อทัวร์) วันที่ 10 - 16 พ.ค. 2558 :Vol.4 the final
marliblossom44สวัสดีค่ะ สาวๆจีบัน marliblossom กับทริปฮอกไกโดกลับมาแล้วค่าาาาาาาา หายไป 1 เดือน แหะๆ งานค่อนข้างยุ่งค่ะ มีแอบไปเที่ยวบ้าง งานสังคมก็เยอะค่ะช่วงนี้ วันอาทิตย์นี้ไม่ติดอะไร จัดเลยค่ะ 3 วันสุดท้ายที่ฮอกไกโด ดิฉันไปเที่ยวไหนบ้าง ติดตามกันได้เลยค่ะ
สามารถอ่านภาคก่อนหน้าได้ที่
Vol.1 http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=207897
Vol.2 http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=207932
Vol.3 http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=208124
วันที่ 14 พ.ค.
ตื่นนอนพร้อมกับอากาศครึ้มๆ ยามเช้าที่ซัปโปโรค่ะ วันนี้เราจะไปเที่ยวโอตารุ เมืองที่เค้าว่ากันว่าโรแมนติกอยู่ห่างจากซัปโปโรประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มต้นที่สถานี JR ค่ะ ไปซื้อ Sapporo-Otaru Welcome Pass (ดิฉันไม่ได้ใช้ Hokkaido rail pass ในทริปนี้) ราคา 1,700 เยน จะได้บัตรรถไฟ JR เส้นทางซัปโปโร-โอตารุ 1 วัน ไม่จำกัดเที่ยว 1 ใบ พร้อมกับบัตรรถไฟฟ้าใต้ดินในซัปโปโร 1 วันไม่จำกัดเที่ยวอีก 1 ใบ
เส้นทางรถไฟส่วนใหญ่จะวิ่งเลียบทะเลไปค่ะ ดูจากอากาศข้างนอก น้ำท่าจะเย็นน่าดู พอถึงโอตารุออกจากสถานี เราเลือกเดินเที่ยว จริง ๆ แล้วสามารถนั่งรถเมล์ไปได้นะคะ มีป้ายรถเมล์อยู่หน้าสถานีเลย ถ่ายรูปหน้าสถานีไว้ก่อน เผื่อหลง หรือเดินขาจะหลุดจะได้บอก Taxi มาถูก ฮ่าๆ
การเดินไปที่คลองโอตารุไม่ยากค่ะ คือออกจากสถานีมาก็เดินตรงไปเลย เดินลงเนินมา ฝนตกปอยๆ อากาศเย็นลงไปอี๊ก เมืองนี้บรรยากาศเป็นเมืองท่าเล็กๆ มีกลิ่นอายตะวันตกเยอะมาก สัมผัสได้ถึงสไตล์คนที่ต่างจะซัปโปโรและเมืองที่ไปมาก่อนหน้านี้ ระหว่างทางเจอทางรถไฟเก่าค่ะ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว
เดินต่อไปค่ะ ในที่สุดก็เห็นคลองโอตารุค่ะ บรรยากาศนี่ถ้ามาคนเดียวคงเหงาแย่ เมื่อก่อนคลองนี้ไว้สำหรับลำเรียงสินค้าเข้าโกดังต่าง ๆ ความเก๋มันน่าจะอยู่โกดังเก่าสไตล์ตะวันตกที่เรียงกับไปตามคลอง แต่กำแพงริมคลองเรียงอิฐแบบญี่ปุ่น
จริง ๆ แล้วที่นี่มีถนนท่องเที่ยวสายหลัก ที่จะมีของกิน ของขายเยอะ แต่ด้วยดิฉันก็ไม่ค่อยได้ศึกษาโปรแกรมท่องเที่่ยวของที่นี่มากนัก เราก็เลยเดินไปถนนที่คิดว่าขนานกับเส้นนั้น แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ เป้าหมายคือ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ค่ะ
ด้านในของพิพิธภัณฑ์ ชั้น 1 จะมีกล่องดนตรีขายเยอะมาก หลากหลายแบบ ชั้น 2 เป็นพิพิธภัณฑ์ กล่องดนตรีเก่าเยอะมาก มีนาฬิกาใหญ่ไว้หยอดเหรียญเลือกเพลงได้ ดิฉันกับเพื่อนก็หยอดไป ฟังเพลงเพลินพักขา ส่วนชั้น 3 เป็นโซนขายของอีกจุดหนึ่ง
พอใกล้เที่ยง พวกเราก็เริ่มหิวค่ะ จุดต่อไปเลยจะไปกินซูชิอันเลื่องชื่อของที่นี่ แต่ไม่ได้ศึกษามาก่อนหลอกนะคะว่าร้านไหน ดิฉันและเพื่อนใช้ feeling ในการตัดสินใจล้วน ๆ หยิบโบว์ชัวร์และไปถามพนักงานที่พิพิธฯ เธอน่ารักยินดีตอบมาก วาดลูกศร เส้นทางให้ จริง ๆ แล้วจากหน้าพิพิธฯ เดินตรงไปจะเป็นถนนท่องเที่ยวสายหลัก ที่มีของทีระลึก ของกิน ร้าน Le Tao อันเลื่องชื่อก็อยู่ที่เส้นนี้ แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าต้องมีอะไรซักอย่างดลใจดิฉันและเพื่อน ทำให้พวกเราเลี้ยวซ้ายแทน ในขณะที่ยังไม่รู้ตัวว่าเดินหลงอยู่ ก็เดินชิวไปตามทาง ซักพักเริ่มไม่ไหวค่ะ เพราะหนาว เลยเปิด google map ซึ่งก็งงกันซักพัก แล้วรีบเลี้ยวเดินไปทางขาว เจ้ากรรมทางเป็นแบบเดินขึ้นเนิน จนมาถึงแยกเล็กๆ แยกหนึ่งค่ะ ดิฉันเห็นป้ายเป็นรูปไก่ค่ะ ดิฉันเห็นรูปไก่ทอด ดิฉันก็แบบเฮ้ย นั่นไก่นารุโตะ นี่หน่า ไหนๆ ก็เหนื่อยละ แวะพักลองกินหน่อยแล้วกัน เปิดประตูเข้าไป ร้านเงียบมากค่ะ ไม่มีคน (เข้าใจเองว่าเวลานั้นเลยเที่ยงมาแล้ว) มีคุณป้าเดินมารับบริการ เราเลยได้เป็นแขกโต๊ะเดียวในร้าน สุด exclusive ร้านนี้มีคุณลุงเป็นเชฟ ทอดไก่สดๆ เราสั่งมาครึ่งตัว รอนานอยู่เหมือนกัน ก็จิบช้าเขียวร้อนรอไป ลุงเชฟทอดเสร็จ คุณป้ามาเสิร์ฟร้อน ๆ เลยค่ะ ลองกินดูมันประมาณไก่ทอดน้ำปลาบ้านเรา ที่ญี่ปุ่นไม่มีน้ำปลาอาจจะหมักเกลือแทน แต่หนังไก่กรอบดีค่ะ เพื่อเพิ่มความจัดจ้าน ดิฉันก็ปรุงน้ำจิ้มเอง โดยไปขอซอสโชยุและพริกจากป้า ทำเป็นแจ๋วไว้จิ้มไก่ ฮ่า ๆ อดคิดไม่ได้ค่ะว่า สงสัยจะเป็นร้านไก่นารุโตะ ของ 2 ลุงป้านี้แน่ๆ ที่ดลใจให้เราเดินเลี้ยวซ้ายมา
เราเดินตามหาร้านซูชิต่อค่ะ แวะถามพนักงาน Lawson เพื่อความชัวร์ พนักงานตอบด้วยความดีใจว่า ถึงแล้วๆ ออกไปเลี้ยวซ้ายนี่ก็ทั้งเส้นเลย (เดาจาท่าทางนางนะคะ อิอิ) โจทย์ต่อมาของเราคือ ร้านไหนดี เพราะมันเยอะมากเรียงราย ตอนนั้นเวลาซักบ่ายสองได้ ทัวร์ นักท่องเที่ยวรอบเช้าก็ไปหมดแล้ว ไม่มีไกด์ไลน์ให้ตัดสินใจเลย เดินๆ ไปเจอร้านหนึ่ง ป้ายหน้าร้านบอกว่าถ้าแสดงโบว์ชัวร์ท่องเที่ยวโอตารุ รับส่วนลด 10% เอาว่ะ ร้านนี้แหละ เปิดประตูเข้าไป เฟี้ยวววว เงียบอีกแหละ คุณลุงเชฟพนักงานหน้าให้เข้ามาได้ คุณป้าก็รีบเดินออกมาต้อนรับ เป็นโต๊ะเดียวในร้าน สุด exclusive อีกแล้ว แต่ซูชิ อร่อยจริง ๆ ค่ะ โดยเฉพาะข้าว มันยังอุ่น มันนุ่ม รู้สึกได้เลยว่าแตกต่างจากที่เคยกินที่อื่นมา มีเรื่องน่ารักของลุงป้าคู่นี้ค่ะ ระหว่างที่เรากำลังกินกันอยู่ ป้าก็เดินมาถามว่ามาจากจีนเหรอ เราบอกว่าไม่ใช่ มาจากไทยแลนด์ ป้าก็งงๆ ถามใหม่ว่ามาจากไต้หวันเหรอ เราก็บอกว่าไม่ใช่ แล้วป้าก็เดินจากไป ไปคุยกับลุง ได้ยินเสียงหารือกัน ไทๆ ซักพักป้าเดินกลับมา ถามพร้อมทำท่าชกมวยไทย พวกเราก็ใช่ๆ มวยไทย ไทยแลนด์ ฮากันไป ร้านนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้นะคะ เพราะเดินเยอะสติหลุด
หลังจากอิ่มซูชิ เราก็ไปเดินเล่นกันที่ถนนท่องเที่ยว ถนนนี้มีชื่อว่า sakaimachi street ซึ่งจะมีร้านของของที่ระลึก มีร้านขายแก้ว เป่าแก้ว งานเครื่องหนัง มีซอฟไอติมขายตลอดทาง ร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านเก๋ๆ ร้านอาหารทะเล ที่เป็น Highlight น่าจะเป็นร้าน Le Tao นี่ดิฉันก็เพิ่มรู้ว่าเค้าเด่นเรื่องชีสเค้ก ฮ่า ๆ แต่ไปเดินลองชิมอะไรหลายๆอย่าง แล้วไม่ค่อยถูกปากดิฉันและเพื่อน ช๊อคโกแลตของเค้าเราว่า royce อร่อยกว่า คหสต นะคะ เลยไม่ได้ซื้ออะไรกลับมา ก่อนกลับเราแวะดื่มโกโก้กันที่ชั้นสูงสุดของ Museum of Venetian Art จากนั้นเดินกลับไปที่สถานี และนั่งรถไฟกลับซัปโปโร
ถึงซัปโปโร ได้เวลาอาหารเย็น เราเลยหาอะไรกินที่ห้างในสถานีรถไฟไปเลย มื้อนี้ง่ายๆ เป็นข้าวห่อไข่ ของดิฉันซอสขาว ของเพื่อนเป็นซอสดำ คหสต เห็นว่า ซอสดำอร่อยกว่าค่ะ เข้มๆ ปนกับชีสแล้วอร่อย
จัดมื้อเย็นเสร็จ เรา 2 สาว ก็เริ่มปฎิบัติการชอปปิ้งค่ะ ค่ำนี้เราใช้เวลากันจนห้างปิดที่ Big camera ค่ะ ส่วนใหญ่เราอยู่กันที่ร้าน Loft เครื่องสำอางเยอะมาก อีกอย่างที่ควรซื้อคือปากกาลบได้ค่ะ
วันที่ 15 พ.ค.
วันนี้ พวกเราแอบตื่นกันสายนิดหน่อย อิอิ โดยเราจะใช้บัตรรถไฟใต้ดินที่ได้จาก Sapporo-Otaru welcome pass เมื่อวาน เพื่อเดินทางไปศาลเจ้าฮอกไกโดค่ะ ในสถานีคนไม่เยอะมาก ก่อนขึ้นจากสถานีเราแวะเติมพลังนิดหน่อยค่ะที่สะตาบะคึ
ออกจากสถานีเราก็เดินไปที่ศาลเจ้าซึ่งต้องผ่านสวนสาธารณะ ต้นไม้ใหญ่มาก และลมแรงมาก พัดมาแต่ละรอบ เสียงใบไม้สะบัดดังทั้งสวน บรรยากาศดีมากเลยค่ะสวนนี้ ก่อนเข้าเขตศาลเจ้ามีสะพานข้ามลำธารน้ำใสใส
ศาลเจ้าฮอกไกโดมีพื้นที่กว้างขวาง เงียบ สงบ คนมาท่องเที่ยวไม่เยอะมาก
ไหว้พระขอพรเสร็จ ก็เดินกลับ เจอป้ายน้องหมีขาวที่สถานี เสียใจที่เวลาไม่พอ ไว้โอกาสหน้าพี่จะไปเยี่ยมน้องนะ
เรานั่งรถไฟใต้ดินไปจุดหมายต่อไปคือ ตรอกราเม็ง หลงนิดนึงค่ะ แต่ไม่ใช่ปัญหา ในซอยนี้มีเป็นสิบร้านนะคะ ก็ใช้อารมณ์ล้วนๆ ในการเลือกร้าน ดิฉันกิน corn butter ramen อร่อยมากกกกกกก
กินเสร็จเราก็รีบนั่งรถไฟใต้ดิน ไปขึ้นรถบัสที่หน้า Tokyu Department Store เพื่อไปชอปปิ้งกันที่ Mitsui Outlet Park ค่ะ เรารู้สึกว่าสินค้าแบรนด์เนมที่นี่ราคาดีกว่าที่ Gotemba ค่ะ จริงๆรถบัสขากลับคันสุดท้ายหมดตอนห้าโยงเย็น ซื้อกันจนลืมเวลา สรุปต้องนั่งรถเมล์ไปต่อรถไฟใต้ตินกลับโรงแรมค่ะ
เอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อน แล้วออกไปเก็บตกซื้อของฝาก เนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว จะได้ pack เข้ากระเป๋าใหญ่ไว้โหลดใต้เครื่องได้เลย
วันที่ 16 พ.ค.
พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น สาวไทย 2 คน เดินลากประเป๋าใบใหญ่กันคนละใบ พร้อมเป้และกระเป๋าเล็ก ไปที่สถานี ไปถึงสถานียังไม่เปิด เลยได้ใช้บริการซื้อบัตรรถไฟจากตู้อัตโนมัติ เจอคนไทยหลายคนที่เจอกันตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในทริป กลับ airasia ไฟล์ทเดียวกัน สถานีเปิดก็เดินลากกระเป๋าไปยืนหนาวกันที่ชานชะลา นั่งรถไฟไปไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงสนามบินชินชิโตเสะ แถวเช็คอินยาวมาก ยืนรอนานทีเดียว ดีนะที่เผื่อเวลา โดยกะจะฝากท้องที่สนามบิน สุดท้ายฝันสลาย ร้านยังไม่เปิด เปิดแต่ร้านขายขนมของฝาก ก็เลยนอกจากซื้อไปฝากคนอื่น ก็ซื้อไปนั่งกินเองด้วยบนเครืองบิน ได้เวลาเครื่องบินออกเดินทาง อำลาฮอกไกโด อันแสนสนุก ไว้โอกาสหน้าจะมีเที่ยวในช่วงฤดูอื่นอีกแน่นอน
จบแล้วค่ะ...ทริปฮอกไกโดของดิฉัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับท่านบ้างในการวางแผนไปเที่ยว คหสต. ของดิฉัน การท่องเที่ยวเป็นการเปิดโลกทัศน์ ได้ประสบการณ์ใหม่ ดังนั้น ประสบการณ์หลายอย่างเช่น หลงทาง ที่พักไม่ดี เดินทางลำบาก พวกนี้ ต้องทำใจค่ะ ถือเป็นการลอง เพราะเราไปเที่ยว ดิฉันว่ามันก็สนุกดี ท่องเที่ยวอย่าไปเครียด ใช้ชีวิตในโมเม้นม์นั้นให้สนุกคือสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ (แต่ถ้ามีตังเยอะก็ใช้เงินซื้อความสะดวกสบายได้ค่ะไม่ยาก ^_^)
พบกันโอกาสหน้านะคะ
Marliblossom
Discussion (4)