Review : Essence หรือน้ำตบ ที่เคยใช้ค่ะ (มือใหม่หัดรีวิว)

31 21
วันนี้จะมารีวิว Essence หรือน้ำตบ 4 ยี่ห้อที่เราเคยใช้มาค่ะ
จะรีวิวให้เห็นว่าเนื้อสัมผัสและผลลัพธ์หลังจากใช้เป็นยังไง
เพื่อเป็นตัวช่วยการตัดสินใจให้เพื่อน ๆ ที่กำลังมองหา essence มาบำรุงผิวกันนะคะ

นี่คือ Essence 4 ตัวที่เราจะมารีวิววันนี้ค่ะ
1. SK-II Facial Treatment Essence
2. Tony Moly Intense Care Galactomyces First Essence
3. Hada Labo Arbutin Whitening Lotion
4. DHC Moisture Fruit Lotion

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า พื้นฐานเราเป็นคนผิวแห้งมากค่ะ ก็เลยต้องหาอะไรอย่างงี้มาบำรุงผิวเพื่อเตรียมผิวหน้าก่อนจะบำรุงขั้นอื่นกันต่อไป มาเริ่มกันเลยค่ะ

1. SK-II Facial Treatment Essence


     Essence ตัวดังจาก SK-II ที่ใคร ๆ ก็รู้จักในนามน้ำป้าเจี๊ยบ ตัวนี้เราซื้อมาก็เพราะเห็นใคร ๆ ก็บอกว่าดีค่ะ ด้วยส่วนผสมของพิเทร่าที่มีความเข้มข้นถึง 90% ที่ช่วยในเรื่องผิวกระจ่าง และความชุ่มชื่น ก็เลยอยากลองว่าน้ำป้าเจี๊ยบจะทำอะไรกับผิวที่แห้งเกินเยียวยาอย่างเราได้บ้าง
เนื้อสัมผัส : เทออกมาจากขวดแทบไม่ต่างจากน้ำเลยค่ะ ไม่มีความหนืดเลย พอแตะลงบนผิวหน้า ก็รู้สึกเหมือนน้ำอีกค่ะ ซึมเร็วมากถึงมากที่สุด จนเราแทบไม่รู้สึกว่าผิวเราได้ถูกเติมความชุ่มชื่นลงไปด้วย essence แล้วนะ คือแปบเดียวแห้งสบาย ไม่รู้สึกเหนอะหนะแต่อย่างใดค่ะ
กลิ่น : นี่คงเป็นข้อเสียของน้ำป้าเจี๊ยบมั้งค่ะ เราว่ากลิ่นเปรี้ยว ๆ เกือบจะเป็นน้ำส้มสายชูละ 555 ทาลงไปบนหน้าแอบกลัวคนข้าง ๆ ได้กลิ่น แต่ก็หายหวงได้เลยค่ะสำหรับใครที่แพ้น้ำหอม Essence ตัวนี้ไม่มีแน่นอน กลิ่นธรรมชาติเลยค่ะ
ราคา : ขนาด 75 ml. 1900-2800 บาท
ผลลัพธ์ : สำหรับเราใช้แล้วไม่เกิดอะไรขึ้นเลยค่ะ คือคงตัว ไม่มีใครทักว่าหน้าใสขึ้น หรือดีขึ้นแต่อย่างใด ตอนทาก็ไม่รู้สึกว่าผิวชุ่มชื่นขึ้นด้วยอะค่ะ รู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าไร (ทำให้แอบคิดว่าหรือพิเทร่าจะไม่เหมาะกับเรา)

2. Tony Moly Intense Care Galactomyces First Essence

   Essence ที่เรียกกันว่าน้ำป้าเจี๊ยบเกาหลี ด้วยสูตรที่ทางแบรนด์เคลมว่ามีส่วนผสมของ Galactomyces หรือพิเทร่า เข้มข้มถึง 94.5% ซึ่งเข้มข้นกว่า SK-II ที่มีความเข้มข้นของพิเทร่าประมาณ 90% และด้วยราคาที่น่าคบ เราเลยซื้อมาลองค่ะ
เนื้อสัมผัส : ตัวนี้เนื้อสัมผัสต่างจาก SK-II ตรงที่มีความหนืดนิด ๆ (นิดเดียวจริง ๆ นะ) เมื่อสัมผัสลงบยผิวหน้า ความแตกต่างที่เห็นได้่ชัดเลยเมื่อเทียบกับ SK-II คือตัวนี้จะซึมยากกว่ามากค่ะ มีความรู้สึกว่ามีน้ำมันนิด ๆ นวด ๆ คลึง ๆ ไปสักพักก็ซึมค่ะ ไม่ซึมทันทีเหมือน SK-II แต่เรากลับชอบ เพราะให้ความรู้สึกว่าหน้าได้รับการบำรุงแล้ว ผิวชุ่มชื่นขึ้นค่ะ แต่ถ้าใครผิวมันคิดว่าคงไม่ค่อยชอบค่ะ ทาเสร็จแล้วอาจจะทิ้งความรู้สึกเหนอะ ๆ ที่หน้า แต่เราผิวแห้งก็พอดีค่ะ ไม่เหนอะ ชุ่ม ๆ ดี ชอบมากค่ะ
กลิ่น : Essence ตัวนี้ไม่มีกลิ่นค่ะ แต่ก็ไม่มีกลิ่นเปรี้ยวเหมือน SK-II นะ คือแบบไม่มีกลิ่นไปเลยอะค่ะ ใครที่แพ้น้ำหอม ตัวนี้วางใจได้ค่ะ
ราคา: ขนาด 155 ml. 1000-2250 บาท
ผลลัพธ์ : สำหรับตัวนี้เราปลื้มมากค่ะ ใช้ไปแค่ประมาณอาทิตย์เดียว เพื่อนทักว่าหน้าใสขึ้น ตัวเราเองก็รู้สึกได้ค่ะว่าผิวกระจ่างใสขึ้นจริง ๆ จากเดิมที่มีปัญหาหน้าแห้งเป็นขุยก็ลดลง ประทับใจมากค่ะ (แต่ถ้าใครผิวมันอาจจะไม่ชอบเท่าไรนะคะ)

3. Hada Labo Arbutin Whitening Lotion


   โลชั่นตบผิวที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ซื้อมาก็เพราะว่าใคร ๆ ก็บอกว่าดี ลองแล้วก็ชอบจริง ๆ ค่ะ
เนื้อสัมผัส : ตัวนี้เนื้อสัมผัสเหมือนน้ำแต่ก็มีความหนืดนิด ๆ แต่ไม่ให้ความรู้สึกว่ามีน้ำมันเหมือนกับ Tony Moly ค่ะ
ซึมง่าย แต่ก็ยังไม่เท่า SK-II ต้องตบประมาณ 3-4 ครั้งถึงจะซึมดี เมื่อสัมผัสลงบนผิวหน้าก็พอเนื้อโลชั่นซึมแล้วก็รู้สึกเบาสบาย รู้สึกว่าผิวหน้าชุ่มชื่นขึ้น แต่ก็ยังไม่เท่า Tony Moly พอเนื้อโลชั่นซึมแล้วก็ไม่เหนอะค่ะ ไม่ทิ้งความมันไว้บนใบหน้าเหมือน Tony Moly ใครที่ผิวมันตัวนี้ก็เหมาะเลยค่ะ (เห็นเพื่อนบางคนบอกว่าใช้ตัวเดียวไม่ต้องลงมอยเจอร์ไรเซอร์อะไรอีก O_O ) แต่ผิวแห้งมากแบบเราก็เอาไม่อยู่ค่ะ ยังต้องใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมลงตามไปด้วย
กลิ่น : เจ้าตัวนี้ก็ไม่มีกลิ่นค่ะ ใครที่แพ้น้ำหอมสบายใจได้เลย
ราคา : 170ml. 440-495 บาท
ผลลัพธ์ : ตัวนี่้เราใช้หมดมาหลายขวดแล้วค่ะ ทำให้หน้าชุ่มชื่นขึ้นจริงค่ะ ปัญหาหน้าลอกเป็นขุยก็หมดไป (แต่ต้องใช้คู่กับมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมด้วย) ความกระจ่างใสเห็นผลในระยะยาวค่ะ ประมาณ 3 เดือน ไม่มีใครทักทันทีว่าไปทำอะไรมาทำไมหน้าใส แต่รู้สึกได้ด้วยตัวเองค่ะว่าหน้าดีขึ้นจริง ๆ 555

4. DHC Moisture Fruit Lotion


   ตัวนี้ได้มาตอนที่ DHC กำลังจะโบกมือบ้ายบายจากเมืองไทย ตอนนั้นกำลังมองหาโลชั่นเนื้ออีมัลชั่นเบา ๆ มาบำรุงหน้าซะหน่อย เห็นตัวนี้ก็คิดว่าคงเป็นเนื้ออีมัลชั่น ซื้อมา 2 ขวดเลยค่ะ ปรากฎว่าพอลองเปิดใช้ไม่ใช่เนื้ออีมัลชั่นซะงั้น แต่เป็นน้ำ
เนื้อสัมผัส : ตัวนี้ให้ความรู้สึกเหมือนน้ำค่ะ แต่พอสัมผัสลงบนผิวหน้ากลับให้ความรู้สึกชุ่มชื่น แถมซึมง่ายอีกด้วย ตัวนี้คล้าย ๆ กับ Hada ขวดสีน้ำเงินค่ะ ไม่ทิ้งความเหนอะไว้บนหน้าค่ะ แต่เนื้อสัมผัสเหมือนน้ำมากกว่า ไม่มีสี
กลิ่น : ตัวนี้มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แนว Citrus เบาบางมาก แทบจะไม่ได้กลิ่นเลย ทางแบรนด์เคลมว่าเป็น Alcohol-free แต่ถ้าใครแพ้น้ำหอมอาจจะต้องระวังหน่อยค่ะ
ราคา : 100 ml. ประมาณ 550 บาท
ผลลัพธ์ : ตัวนี้ให้ความรู้สึกชุ่มชื่นมากกว่า Hada ขวดน้ำเงินค่ะ ผิวมันสามารถใช้ได้ค่ะ แต่เช่นเคยค่ะผิวแห้งอย่างเราใช้แค่โลชั่นตัวนี้อย่างเดียวก็เอาไม่อยู่ ต้องตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมอีก เห็นผลในระยะยาวอีกเช่นกันว่าผิวชุ่มชื่นขึ้น แต่ตัวนี้ไม่ได้ช่วยในความขาวกระจ่างใสนะคะ ช่วยเรื่องความชุ่มชื่นอย่างเดียว โดยรวมแล้วประทับใจค่ะ

สรุป Essence ที่เราประทับใจที่สุดในบรรดา 4 ตัวนี้ เราชอบของ Tony Moly ที่สุดค่ะ

รีวิวแถมซะหน่อย ตัวนี้เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมที่เราเพิ่งได้มาค่ะ
SK-II Essenial Power Rich Cream

    พอดีช่วงนี้เป็นหน้าหนาว ผิวเราที่แห้งมากอยู่แล้วก็แห้งเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษค่ะ เลยต้องหามอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อครีมที่เข้มข้นหน่อยมาบำรุง ทางแบรนด์เคลมว่า ช่วยเรื่องกระชับรูขุมขนและทำให้ผิวแห้งกร้านกลับมาชุ่มชื่น ก็เลยสอยมาลองค่ะ
เนื้อสัมผัส : เป็นเนื้อครีมที่ค่อนข้างหนักค่ะ เพราะตัวนี้เป็นรุ่น Rich cream ด้วย ก่อนทาต้องวอร์มครีมก่อนซะหน่อยค่ะ เมื่อสัมผัสบนผิวหน้านวด ๆ ไปรู้สึกว่าเนื้อครีมไม่ค่อยซึมเข้าผิวเราอะค่ะ เหมือนเป็นแค่ฟิล์มมาเคลือบผิวไว้เฉย ๆ ไม่รู้สึกว่าครีมซึมเข้าลงไปในผิว
กลิ่น : มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เรากว่ากลิ่นคล้าย ๆ OP Intensive C นะคะ
ราคา : เราได้ขนาดทดลอง 15 g. มาค่ะ 400-650 บาท
ผลลัพธ์ : ตอนนี้เพิ่งใช้ได้ประมาณ 3 วันค่ะ รู้สึกว่าผิวเหมือนเดิม คงตัว แต่ก็ไม่แห้งจนเป็นขุยอะไร ไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์จะออกมาดีเหมือนคนอื่นหรือเปล่า เพราะทาแล้วไม่รู้สึกว่าครีมซึมเลย T_T
 
จบแล้วค่ะ สำหรับรีวิวสกินแคร์ครั้งแรกของเรา
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ในการเลือกซื้อ Essence ไปบำรุงผิวในหน้าหนาวนี้นะคะ ^^



 


Arsaphes

Arsaphes

FULL PROFILE