เสียใจ เพราะไม่ได้ทำตามฝัน

 
เราฝันอยากเป็นแอร์ เพราะในความคิดเราเป็นอาชีพที่ต้องสวย เก่ง แล้วก็เงินดี

(อาชีพที่แข่งขันสูงมากกกก จนบางคนคิดว่า คนที่อยากจะเป็นน่ะเพ้อเจ้อ ซึ่งเราก็เคยโดนว่า)

เราอยากสวย อยากเก่ง อยากมีเงิน ค่ะ ก็เลยมีความเชื่อลึกๆว่าชั้นจะต้องทำได้

เพื่อนสนิทเราพอรู้ว่าเราอยากเป็น เชียร์เรา สนับสนุนให้กำลังใจเรามากกกๆ

แต่พอเราพูดกับแม่เรา แม่เราพูดกลับมา ทำให้ความรู้สึกอยากเป็น มันถูกเบรกแบบกะทันหันเลย 


แม่เราพูดประมานว่า เราน่ะเป็นไม่ได้หรอก ทั้งส่วนสูง ทั้งภาษา  เราเสียงสั่นจนแทบจะร้องไห้  ช็อคไปเลย

เราเลยถามแม่ตรงๆว่า แม่คิดว่าเราจะเป็นไม่ได้ใช่มั้ย แม่เราก็ตอบว่า คิดว่าไม่น่าได้นะ



เราตั้งใจไว้ว่า หลังจากเราเรียนจบจะยังไม่ทำงาน เราจะตั้งใจเรียนภาษาเองเพื่อสอบโทอิค ดูแลตัวเองให้มากขึ้น 

ฝึกบุคลิกภาพตัวเอง คือจบแล้วจะทำทุกอย่างเลยให้ตัวเองดูดีขึ้น 

รุ่นพี่ของเราคนนึงยังไม่เคยทำงานเลย เค้าปรับบุคลิกภาพตัวเอง ไปเรียนภาษา อัพโทอิค แล้วเข้าคอร์สเตรียมติดปีกจากอาจารย์ท่านนึง 

ผ่านไปไม่ถึงปี พี่คนนี้เป็นแอร์สมใจแล้วค่ะ  พอเรารู้ ทำให้เรายิ่งฮึดขึ้นมากก


แต่เราก็ต้องใช้เงินจากแม่อยู่ดี  แต่ในเมื่อแม่คิดว่า เราทำไม่ได้ ถ้าเราจะขอเงินมาทำอะไรพวกนี้ แม่คงคิดว่ามันเปล่าประโยชน์

สุดท้ายเราก็ไม่ได้ทำฝันให้เป็นจริง ความรู้สึกตอนนี้มันบอกไม่ถูกเลยจริงๆ พิมพ์ไปน้ำตาไหลไป  


 

Discussion (5)

ฝันไม่เป็นจริง? ฝันสลาย?

มันจะสลายได้ไง ในเมื่อยังไม่ลงมือทำเลย ณ จุดๆนี้ เราเอาเงินสะสมทั้งหมดที่มี มาลงครอสเรียนภาษา พัฒนาบุคลิกภาพ ไม่ต้องรอให้เรียนจบ ทำเลย


ถึงแม้จะไม่ได้ลงครอสเรียนภาษา แต่ถ้าเราตั้งใจมาตั้งแต่ต้นพัฒนาฝึกฝน รับรองเธอต้องเก่งแน่ๆ

ความชอบ+การฝึกฝน+คำสบประมาท = ความสำเร็จ

เราเชื่อว่าเธอทำได้นะ

ชีวิตเรา เราลิขิตเอง : )
อยู่ ปี4 กำลังจะจบเดือนมีนานี้แล้วค่ะ 

ก็จะพยามปรับปรุงตัวเองให้มีคุณสมบัติพร้อมกับการเป็นแอร์ ตอนนี้กำลังฝึกยิ้ม อะไรเล็กๆๆน้อยๆ ที่เราพอรู้ เราจะฝึกเองอยู่เรื่อยๆ 

ในใจลึกๆก็ยังอยากเป็นอยุ่ค่ะ จะพยามทีละเล้กละน้อย อยากลองดู  

น้องอายุเท่าไรคะ ถ้าเรียนป.ตรีทางด้านภาษาแล้วเรียนโทภาษาที่สาม น้องจบไปก็สมัครเป็นแอร์ได้เหมือนกัน พี่เองเคยขอแม่เรียนภาษาสเปนตอนป.ตรีแต่แม่ไม่ให้พี่เลยซื้อหนังสือมาเรียนเอง พยายามทำความเข้าใจ ดูทีวีดาวเทียมช่องสเปน หลังจากนั้นพี่พบว่ามันไม่ยากเหมือนที่คิดไว้ ส่วนคุณแม่พี่ก็เข้าใจว่าเขาก็มีเหตุผลของเขาที่เราไม่เข้าใจ ก็ยอมรับไป ตอนนี้พี่จะทำอะไรพ่อแม่ก็ไม่ห้ามแล้ว เพราะเขาเห็นว่าเราโตพอที่จะจัดการชีวิตได้
ฟังเหมือนว่ายังอายุไม่มากเท่าไหร่รึป่าวคะ คุณคล้ายๆกับเราสมัยก่อนเลยจะขอเล่าขอพูดอะไรให้ฟังนะคะ

ตอนเด็กๆเราก็มีความฝันอยู่หลายอย่างค่ะ เป็นครู เป็นพยาบาลไรงี้ จนกระทั่งเมืี่อตอน ม.2 เราตัดสินใจว่าเราอยากเป็นนักแสดง ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมแต่กลัวจะขอกแม่ค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่ามันน่าอายมั้ย เข้าใจมั้ยอ่ะ แบบบอกคนว่าอยากเป็นนักแสดง อะไรงี้ ในที่สุดเราก็ตัดสินใจ บอกว่าโดยการส่งข้อความ ตินนั้นสิ่งที่แม่ตอบกลับมาไม่ใช่แค่คิดว่าเราทำไมไม่ได้ แต่เชิงว่า ตำหนิ เราเลยละค่ะ แต่โดยรวมๆก็คือ อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน ประมาณนี้ละค่ะ แต่เราก็ยังคงความฝันนี้ต่อไป จนกระทั่งถึง ม4 ม5 ที่เราเริ่มกลับมาคิดถึงจุดนี้ แล้วก็รู้สึกว่า มันยากและไม่แน่นอนจริงๆนะ อาชีพนี้ ตนกลายๆว่าเลิกฝันค่ะ ตอนนั้นตั้งแต่จุดนี้ พอมีคนมาถามว่า อนาคตอยากทำอะไร คำตอบคือ ไม่รู้ ไม่มีอะไรอยากทำเป็นพิเศษค่ะ พยายามปิดกั้นความฝันที่ดูเป็นไปไม่ได้นี้ไว้ จนกระทั่งเข้ามหาลัยที่เลือกจะไปทางจิตวิทยา เหตุผลว่า จิตวิทยามันจบแล้วเอาไปใช้ได้หลายทาง เหมาะกับเราที่ยังไม่รู้จะไปทางไหนดีค่ะ พอเข้ามหาลัยก็เลยคิดว่่าเดี๋ยวจะเข้าชมรมการละครสนุกๆค่ะ เพราะไหนๆก็ชอบทำ พอเราเข้ามา ก็มักจะได้ยินหลายๆคนพูดว่า โคดรัก การละคร การแสดงเลย อะไรประมาณนี้ค่ะ พอเราได้ยิน มันเกิดความรู้สึกประมาณว่า อิจฉา ว่าเราอยากจะพูดได้แบบนั้นมั่งจัง ช่วงๆปี 1 ก็ค้นพบด้วยว่า จิตวิทยานี่มันไม่น่าสนใจจริงๆ แล้วก็ได้คำพูดจากที่ปรึกษามาว่า "ถ้าอาชีพทุกอย่างในโลกนี้ เท่าเทียมกัน คือไม่ตองกลัวเรื่องงานได้ยากง่าย จะเลือกอะไร" คำตอบของเราก็คือ นักแสดงค่ะ พอใกล้จบปี1 เลยตัดสินใจเลือก การละคร เอกการแสดงและกำกับการแสดง และคณิตศาสตร์ ควบ 2 คณะค่ะ หลังจากนั้นก็บอกพ่อแม่ เราคิดว่าเพราะเค้าเห็นเราโตแล้วมั้ง เค้าเลยแนวแบบ อยากไปทางไหนก็เอา พอขึ้นปี 2 เราเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการที่เลือกคณิตศาสตร์ เป็นคณะเอกที่สองค่ะ เพราะเราไม่อยากทำงานด้านนี้ เราอยากทำงานที่โรงละคร เป็นนักแสดง แล้วรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นเอาเวลาเรียนเลขมาเรียนการละครเพิ่มดีกว่ามั้ย เราก็ไปปรึกษากับพ่อแม่ ทำให้ได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ถึงตอนนี้ ทั้งสองก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องที่เราเรียนการละครหรอกค่ะ เค้าคิดว่าเราเรียนเพราะมันตื่นเต้น สนุก เรากำลังเห่อๆ แต่เค้าคิดว่าพอต่อไปเราก็ต้องเบื่อด้านนี้ แต่ตัวเรารู้ค่ะ ว่านี่คือ ที่ๆของเรา มีคนคัดค้านมากมาย แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจเอา คณิตศาสตร์เป็นคณะโท ส่วนการละครคณะเอก เป็น 2 สาขาคือการแสดงและการกำกับการแสดง และการเต้น เวลาเราได้แสดงละครที่โรงเรียนอะไรยังงี้เรากฃ้บอกเล่าให้พ่อแม่ฟังค่ะ พ่อแม่และเราสนิทกันค่ะ เหมือนเป็นเพื่อนๆกันไรงี้เลย

มาถึงจุดนี้เราเห็น จขกทแล้วคิดว่า เหมือนเราตอน ม2 เลย ที่แค่คนรอบข้างบอกว่าทำไม่ได้ก็ท้อมากๆ ส่วนนึงเราคิดว่าเป็นเพราความคิดจขกทในตอนนี้ค่ะ ที่บอกว่าเราอยากสวย อยากเก่ง อยากมีเงินดี เลยอยากเป็นแอร์อะค่ะ เราฟังตรงนี้นะคะ เราบอกตรงๆถ้าเราเป็นแม่ เราก็คิดว่าทำไม่ได้หรอกว่า ถ้าเกิดอยากเป็นแอร์แค่เพราะว่า "อยากสวย อยากเก่ง อยากมีเงิน" เพราะจะมาเป็นแอร์มันต้องสวยและเก่งอยู่แล้วตัวหาก (จริงๆก็ไม่ได้จริงจะทีเดียว มันต้องบุคลิกภาพ ไม่ใช่สวย) ไม่ใช่ว่าถ้าได้เป็นแอร์หมายถึงว่าเราสวยแล้ว ตอนเราอ่านถึงประโยคนี้เราก็คิดค่ะ ว่าทำไม่ได้แน่ๆ เพราะจะทำอาชีพอะไร มันต้องรักค่ะ ต้องอยากทำ ไม่ใช่แค่เรื่อง เงิน หรือความสวย จริงๆแล้วพอโตขึ้นไป ถ้าจขกทยังอยากเป็นแอร์อยู่ แม่จะเริ่มเห็นถึงความตั้งใจค่ะ เพราะเราโตแล้ว ความคิดดีขึ้น มันเลยจะแสดงว่าเราไตร่ตรองเรื่องความฝันนี้มาดีแล้ว ถึงตอนนั้นเราคิดว่าแม่คงจะสนับสนุนเรื่องเงินค่ะ ไม่น่ามีปัญหา
แต่ก็ไม่ต้องรอถึงเรียนจบก็ได้นะ อย่างเรื่องภาษาฝึกตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ก็ได้ เพราะมันก็เป็นเรื่องทั่วไปนี้อยู่แล้วเรียนภาษา แม่น่าจะสนับสนุนที่เราใฝ่รู้ไม่เกี่ยงว่ามันเกี่ยวกับความฝันเราหรือไม่ เราคิดว่าตอน ม2 ถ้าเราจะไปเรียนการแสดงก็คงโดนปฏิเสธค่ะ แต่ตอนนี้มันมั่นคงแล้วสำหรับเรา เค้าก็ช่วยเราจ่ายค่าเทอม (เรียนการละคร) จ่ายค่าเรียนร้องเพลงเสริม จ่ายค่าอัดรูปค่าถ่ายรูป headshot เวลาจะไปออดิชั่นงาน พอเวลามันผ่านไปอะไรๆจะง่ายลงค่ะ