เมื่อฉันตัดใจไม่ข้องแวะกับ คสอ.ยี่ห้อหนึ่งอีกต่อไป

สวัสดียามค่ำ พร้อมสายฝนโปรยปรายค่ะ


วันนี้ขออนุญาต (บ่น) ถึงพฤติกรรมของพนักงานขายเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งหลังจากได้แวะเวียนไปที่เคานเตอร์ของเครื่องสำอางยี่ห้อนี้ทีห้างหรูใจกลางเมืองมาแล้ว 3 ครั้ง ฉันก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดว่าจะไม่มีวันเฉียดกรายเข้าใกล้อีกเป็นอันขาด ...แม้ว่าจะมีโปรโมชั่น หรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือได้ยินคำชื่นชมผลิตภัณฑ์ใดๆ ว่าเลิศศรีมณีกระเด้งเพียงใดก็ตาม

ทั้ง 3 เหตุการณ์ที่ว่า มีดังนี้ค่ะ

1. ที่ดัดขนตาเจ้ากรรม

เนื่องจากได้ยินเสียงเล่าเสียงลือถึงความ "เทพ" ของที่ดัดขนตาของยี่ห้อนี้ ฉันจึงแวะไปเพื่อสอบถามข้อมูล และแอบหวังว่าจะได้สัมผัสของจริงว่าเจ้านี่มันเลิศเลอขนาดไหนเมื่อเทียบกับตัวของลุงชูที่ใช้อยู่ในขณะนั้น (และในปัจจุบันด้วย)

เมื่อไปถึงเคานเตอร์ ปรากฎว่าสินค้าขาดตลาด พนักงานที่เจอก็เป็นประเภทถามคำ - ตอบคำ สุดท้ายฉันจึงถามว่าสินค้าจะมีอีกทีเมื่อไร? คำตอบที่ได้รับ (เหมือนไม่ใส่ใจ) คือ "อีก 2-3 เดือนค่ะ"

2. สีรองพื้นเจ้าปัญหา

ยังไม่เข็ดค่ะ ตอนปีกลายเครื่องสำอางยี่ห้อนี้มีโปรโมชั่นขายรองพื้นพร้อมเบสเป็นเซ็ตในราคาพิเศษ ก็นะ... ฉันเองก็ได้รับอิทธิพลจากห้องความงามในพันทิปมาหลายอยู่ จึงแวะไปที่เคานเตอร์เดิม ณ ห้างหรูแห่งเดิมอีกครั้ง จำได้ว่าเป็นช่วงที่ห้างกำลังมีงานเซลอยู่ด้วย แต่ด้วยความโชคดี (?) มีพนักงานคนหนึ่งยืนพิงเคานเตอร์อยู่ ฉันจึงเข้าไปสอบถามทันที

ฉันบอกกับพนักงานว่าสนใจผลิตภัณฑ์รองพื้นของยี่ห้อนี้อยู่ เธอก็ถามกลับมาว่าเคยใช้หรือไม่?

(เอ๋? ก็บอกแล้วมิใช่รึว่า "สนใจ" คำพูดของฉันมีความหมายโดยนัยอยู่แล้วว่า ไม่เคย ใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณ)

เมื่อฉันตอบไปว่าไม่เคย เธอจึงเลือกรองพื้นมา 2 สี พร้อมบอกว่าสองสีนี้เข้ากับสีผิว (หน้า) ของฉันทั้งคู่ สามารถเลือกได้ตามชอบ อันที่จริง ฉันเกือบจ่ายเงินซื้อมาแล้ว เพียงแต่สิ่งที่พนักงานคนนี้พูดเสริมขึ้นมาทำให้ฉันตัดสินใจใส่เกียร์ถอยหลังทันที เธอบอกกับฉันว่า "ควรใช้สี #103 มากกว่า #102 นะคะ เพราะผิวหน้าของคุณ คล้ำ กว่าสีผิวที่คอ"

โดยปกติเวลาเลือกซื้อรองพื้น พนักงานจะนำสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวมาลองบริเวณข้อมือหรือกรามเพื่อให้ลูกค้าเปรียบเทียบ แต่พนักงานคนนี้ใช้เพียงสายตาสังเกตและหยิบขวดรองพื้นมาใส่มือให้ แล้วพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด หรือถ้าจะพูดก็น่าจะเลือกใช้คำพูดแบบอื่น ที่เขียนไว้ข้างบนออกมา

เลิกค่ะ!

3. เซ็ตอะไรกัน? ผลิตภัณฑ์ใหม่เหรอ?

เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ล่าสุด เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ฉันเกิดสนใจผลิตภัณฑ์มาสคาร่าตัวใหม่ที่ได้เห็นมาจากนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง ในหน้าโฆษณาไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก มีเพียงภาพประกอบแสดงจุดเด่นของผลิตภัณฑ์และภาพของเซ็ต (ประกอบด้วย มาสคาร่าใหม่ 1 แท่ง กระจก น้ำยาทำความสะอาด ที่ดัดขนตา และสีทาตา 1 ตลับ) พร้อมข้อความ "สอบถามรายละเอียดที่เคานเตอร์ XXX ทุกสาขา"

เพื่อป้องกันเหตุการณ์หน้าแตก ฉันจึงติดต่อไปที่เคานเตอร์ (ห้างแห่งเดิม) โดยได้ถามราคาของผลิตภัณฑ์ ทั้งเซ็ต และความจำเป็นในการสั่งจองล่วงหน้า พนักงานที่รับสายแจ้งราคาว่าอยู่ที่ 1,250 บาทและสามารถมาติดต่อซื้อได้โดยไม่ต้องจอง ฉันใช้เวลาใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจไปที่เคานเตอร์ในช่วงเย็น

ที่เคานเตอร์ ฉันแจ้งไปตั้งแต่ต้นว่าต้องการได้ เซ็ต มาสคาร่าตัวใหม่ที่เห็นอยู่ในโฆษณา พนักงานได้หยิบมาสคาร่าตัวใหม่มาให้ฉันดูและตอบคำถามเรื่องความต่างของสีว่า "สีดำทำให้เห็นเส้นขนตาชัดเจน ส่วนสีน้ำตาลทำให้ดู เซ็กซี่ มากขึ้น" ฉันงงๆ กับคำตอบนี้เล็กน้อย แต่ก็เลือกสีน้ำตาล เพราะรู้มาว่าปัดแล้วทำให้ดูเป็น ธรรมชาติ มากกว่าที่จะใช้สีดำ เมื่อเห็นพนักงานไม่ได้หยิบผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เห็นประกอบอยู่ในเซ็ตมาให้ ฉันจึงท้วงไป พนักงานอ้ำอึ้งอยู่สักครู่ แล้วแว่บไปแอบโทร. ถามใครสักคน ฉันเห็นท่าไม่ค่อยดี จึงย้ำเรื่อง "เซ็ต" ราคาพิเศษไปอีกครั้ง พนักงานทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันไปคุ้ยในสต็อกสินค้าใต้เคานเตอร์ และหยิบเอาถุงบรรจุมาสคาร่า (รุ่น 2 หัว ข้างหนึ่งเป็นเบสมาสคาร่า อีกข้างเป็นสีเคลือบสีดำ) น้ำยาทำความสะอาด และที่ดัดขนตา แล้วหันไปเปิด "โพย" เพื่อค้นหาราคาสินค้าอย่างขะมักเขม้น ฉันเอ่ยปากท้วงอีกครั้งว่าที่เห็นมาเป็นมาสคาร่าตัวใหม่นะ ไม่ใช่ตัวสองหัวที่คุณเอามาให้ พนักงานจึงนึกขึ้นมาได้

หลังจากนั้น พนักงานได้นำโปสการ์ดแนะนำผลิตภัณฑ์มาให้ดู เธอ (ผู้ฉิง) ถามว่าฉันได้รับการ์ดใบนี้ด้วยหรือไม่ คำตอบคือ "ไม่" และได้ย้ำว่าฉันเห็นมาจากหน้าโฆษณาในนิตยสาร เธอจึงยื่นการ์ดให้ฉันดูรายละเอียด และค่อยๆ อ่าน เงื่อนไขในการซื้อสินค้าเพื่อให้ได้เซ็ตที่ฉันเห็นในนิตยสารมา สรุปว่าต้องซื้อมาสคาร่าตัวนี้พร้อมผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้ครบ 3,500 บาท ส่วนเซ็ตถุงใสที่เอามาให้ดูราคาสองพันกว่าบาท เธอพยายามซักว่าฉันโทร. สอบถามไปที่ไหน แต่ในตอนนั้นฉันหมดสิ้นศรัทธากับเคานเตอร์เครื่องสำอางยี่ห้อนี้ไปเสียแล้ว ฉันจึงบอกว่ามันเกินงบไปมาก พูดขอบคุณ แล้วเดินออกมา
**********

จากเหตุการณ์ทั้ง 3 ที่เล่ามา โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ 3 ที่เล่ามาอย่างยืดยาวมาก (ขออภัยด้วยนะคะ)

ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่แวะเวียนไปใช้บริการที่เคานเตอร์เครื่องสำอางยี่ห้อนี้อีกต่อไป  


หมายเหตุ

ข้อความทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของ "ว่าที่" ลูกค้าคนหนึ่งที่ได้รับมาจากการใช้บริการที่เคานเตอร์เครื่องสำอางยี่ห้อนี้ เพื่อความเหมาะสม จึงขอเว้นไม่เขียนถึง "ชื่อ" ของเครื่องสำอางยี่ห้อดังกล่าวค่ะ 

*********

ท้ายที่สุดนี้ ขออนุญาตพูดถึงเหตุการณ์คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นที่เคานเตอร์เครื่องสำอางยี่ห้ออื่นๆ ในห้างเดียวกันนี้ มาเพื่อเป็นตัวอย่างประกอบ และแสดงให้เห็นว่าเพราะเหตุใดฉันใจตัดสินใจเลิกข้องแวะกับเครื่องสำอางยี่ห้อนี้โดยเด็ดขาด 

กรณีสินค้าขาด

ที่เคานเตอร์ชาแนลและชิเซโด้ พนักงานกล่าว "ขออภัย" ที่ไม่มีสินค้า และพูดเสริมโดยฉันไม่จำเป็นต้องซักไซ้ว่าสินค้าจะมาอีกเมื่อไร หรือเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้สินค้าขาด สุดท้าย พวกเขาจะสรุปด้วยการขอให้มาใหม่อีกครั้ง หรือเสนอสินค้าอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกันแทน

กรณีสีรองพื้น

พนักงานของนารสฺพูดกับฉันในลักษณะที่แรงและตรงกว่าที่ได้รับจากยี่ห้อข้างบน เขาบอกว่าสีรองพื้น undertone เหลืองที่ฉันเลือกนั้นจะทำให้ฉันยิ่งซีด "เหมือนผีตองเหลือง" พร้อมอธิบายเหตุใดฉันจึงควรเลือกอีกสีที่เป็น undertone ชมพู และให้ฉันทดลองทั้งบริเวณข้อมือและกราม เขายังปัดแป้งฝุ่นเพื่อให้ฉันเปรียบเทียบได้สะดวกยิ่งขึ้นไปอีกด้วย ลักษณะท่าทางของเขาแสดงถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า และพูดแบบตรงๆ เพื่อให้เห็นภาพพร้อมให้ทดลองใช้จริง ไม่ใช่เพียงการกะประมาณด้วยสายตาเท่านั้น

กรณีสินค้าเซ็ตที่มาใหม่

พนักงานโคเซ่ดูงงๆ เมื่อฉันถามถึงผลิตภัณฑ์ที่ขายเป็นเซ็ต แต่เธอใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เข้าใจว่าฉันหมายถึงเซ็ตผลิตภัณฑ์ขายดีที่สินค้ายังไม่วางจำหน่ายตามเคานเตอร์ เธอยังถามถึงความสนใจสั่งจองสินค้าล่วงหน้าและตอบคำถามต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย

ของแถม - เมื่อลูกค้าต้องรอนาน พนักงานที่ดีควรจะ...

วันเดียวกับเหตุการณ์ที่ 3 ฉันซื้อสินค้าของ The Body Shop ราคา 300 กว่าบาท 1 ชิ้น

พนักงานทำหน้าเหยเกเมื่อต้องเดินไปรูดบัตรเครดิตห้างที่เคานเตอร์แคชเชียร์อื่น เนื่องจากเครื่องเฉพาะของบัตรที่เคานเตอร์ที่อยู่ใกล้โดนเก็บไปซ่อม เมื่อเธอกลับมา เธอบอกกับฉันเป็นอย่างแรก "ขอโทษนะคะ ที่ให้รอนาน..."

แค่นี้ก็ได้ใจไปโข ฉันลืมเรื่องที่เธอชักสีหน้าหรือพยายามอยากให้ใช้บัตรใบอื่นจ่ายแทนในทันที



ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ

Discussion (29)

BA หลายคนชอบดูถูกลูกค้า ไม่ชอบเลยอ่ะ
 เวลาใส่ชุดนักเรียนไปนี่ไม่กล้าเข้าไปซื้อเลยนะคะ
เพราะ BA ทั้งหลายนี่ มองแบบ...
เธอไม่มีปัญญาซื้อหรอก

แล้วจะไปนอากาศอยู่ที่หน้าเคาเตอร์บ่อยๆ *
เราเดาจาก สีรองพื้นและที่ดดขนตาค่ะ เอิ๊กๆ  น่าจะ ญี่ปุ่นเหมือนกัน อิอิ
แบรรนนี้ไม่เคยลองค่ะ

แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบ บีเอ ของ บีบี สาขาพารากอน ผญ แท้ !! 

คราวนั้นมีแต่งหน้าเวิกชอป เราเปนสมาชิกเค้าก็ส่ง เมสเสสมา พาแม่ปด้วยค่ะ ผญ คนัน้น เค้าก็แต่งๆ พอตอนหลังคุนแม่จะไมซื้อ เจ้ชักสีหน้าใส่ทันที ค่ะ

ครั้งนึง เคย ไปถามเรื่องสินค้า เจ้ก็ชักสีหน้าใส่ค่ะ

ps เจ้คนนี้อยุ่ตรงสาขา พารากอนมานานแล้วค่ะ แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ายังอยุ่รึเปล่า

ตกลง แบรนไหนหรอค้า อยากรู้ 55


ส่วนใหญ่ เราชอบเจอแต่ BA ที่แบบ
พอไปเดินๆ โฉบๆ she ทั้งหลาย เมิน
(บางคน ก้อไม่แม้แต่ สวัสดี )

พอบอกว่าจะซื้อ เท่านั้นแหละ
บริการดีขึ้นมาเลยทีเดียว -"- ชิส์

เราจะเป็นคนแบบแต่งตัวแบบตามอารมณ์อ่ะ ออกจะเซอร์มากกกกบางวันน่ะนะ ไอ้เรื่องที่โดนพนักงานทำเหมือนไม่มีตัวตนตอนที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์นี่ก้อโดนอยู่เรื่อยๆอ่ะนะ แต่สำหรับที่ ห้างเซนที่เซนทรัลเวิลดิ์ อันนี้ยังไม่เคยโดนนะ ก้อเลยจะไปซื้อที่เซนบ่อย แต่ที่ไม่โฉบไปอีกเลยก้อคือ เคาท์เตอร์ลังโคมที่อิเซตันน่ะค่ะ เพราะเคยไปซื้อแป้งให้น้าน่ะค่ะ แล้วรู้สึกแย่มากอย่างแรงก้อคือว่าก่อนซื้ออ่ะค่ะ มันก้ออยากเกิดได้ลิปสีนึงออกพิงค์ๆอ่ะค่ะ เพราะเคยยึดของน้ามาใช้นานแล้วชอบมาก ก้อเลยลองถาม ลองนั่น ลองนี่ เปรียบเทียบสี ทั้งในจินตนาการแล้วก้อที่เคาท์เตอร์อ่ะนะ ทีนี้พอมันได้แล้วอ่ะ ทดในใจแล้วว่า เอาแน่แท่งนี้ แต่ทีนี้ตอนนั้นอ่ะ มิราเคิ่ลโซเมจิคออกใหม่ไงเลยลองถามดู ว่ากลิ่นเป็นไงเหมือนตัวเดิมไหม ยังไม่ทันขอเทส พอดีเงยหน้ามาเห็นสีหน้าของพนักงานก่อน ถึงน้ำเสียงจะแบบถามคำตอบคำอ่ะนะเราก้อไม่ได้มายด์สักเท่าไรแต่ไอ้สีหน้าไม่อยากรับแขกและสายตาที่มองเราแบบหัวจดเท้าแล้วออกจะยิ้มเยาะๆเนี่ย มันรับไม่ได้จริงๆ ก้อเลยเลิกสอบถามเลย แล้วก้อหยิบตลับแป้งที่น้าฝากซื้อแล้วบอกพนักงานว่า เอาแบบนี้สีนี้อันนึงค่ะ จ่ายเงิน และเอาสินค้ากลับบ้านไม่มองหน้าอีกเลย แต่สุดท้ายเราก้อได้ลิปสีที่เราเล็งไว้อ่ะ จาก ห้างใกล้บ้านอยู่ดี นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พนักงานมีผลแต่ผลิตภัณฑ์แต่ก้อไม่อาจหักห้ามกิเลสได้อยู่ดี ตราบใดที่เคาท์เตอร์ในห้างอื่นไม่เป็นแบบที่เจอมานี้