คนค้ำประกัน ..

ถ้าเราต้องการความช่วยเหลือ กำลังจะออกรถใหม่ แต่เค้าต้องการคนค้ำ ก็มีน้องเราทำงานเงินเดือน 20000 อยู่กันมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน อยู่กับย่ามาตลอด เค้าเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง พอเราทำงานมีเงิน โบนัสออก ก็พาย่าพาน้องไปกินข้าวนอกบ้านไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย แต่พอโตมาจนอายุ 30 ความเป็นพี่น้องมันหมดไปแล้วหรือขอให้เค้าค้ำประกันออกรถให้ เค้าปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นพี่น้องกัน ความเป็นพี่น้องมันก็มีกฎว่าตัวใครตัวมันด้วยเหรอ น้อยใจที่สุด เวลาเรามีเงินเราให้เราช่วยทุกอย่างมีเรื่องเดือนร้อนที่ทำงาน มาปรึกษาเราให้กำลังใจเสมอ แต่พอเราเดือนร้อนกลับเหยียบย้ำซ้ำเติมตลอด ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Discussion (9)

คืออย่างนี้ค่ะ เราจะรีไฟแนนซ์รถค่ะ เป็นแท็กซี่ 2 คัน เพื่อออกรถใหม่อีก 2 คัน แต่คนค้ำเก่าเนี่ยเงินเดือนไม่สูงเหมือนน้อง ถ้าใช้คนเงินเดือนสูง ก้จะรีเงินได้สูง กรณีศึกษานะค่ะ ถ้าเกิดเดือนร้อนไม่มีเงินส่งจริง ก้จะให้ยึดรถเลยค่ะ เพราะเพื่อน ๆ ที่ขับแท็กซี่ พอออกรถมาไม่มีเงินส่งรถก็โดนยึดค่ะ ไม่เสียหายถึงคนค้ำอยู่แล้ว เพราะมีตัวอย่างให้เห็นอยู่หลายรายแต่อธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เนื่องจากเค้าไม่เคยมาคลุกคลีกับธุรกิจแบบนี้  เพื่อน ๆ เค้าก็ต่อยอดรถแบบนี้กันทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่มีใครเอาเงินก้อนของตัวเองไปลงกับรถ ให้รถมันหาเงินส่งตัวมันเองทั้งนั้นแหละค่ะ  ขอบคุณทุกความคิดเห้นนะค่ะ  
ภาษิตจีนบอกไว้ว่า
"ตายแทนได้ แต่ค้ำประกันไม่ได้"
เห็นด้วยกับที่ความเห็นอื่นๆบอกมาแล้วค่ะ

ลองมองในมุมกลับกัน เค้าคงตัดสินใจลำบากเหมือนกันที่ต้องปฏิเสธคุณ แต่ค้ำประกันนี่มันเรื่องใหญ่จริงๆนะคะ
ต่อให้คุณไม่ได้เบี้ยวค่างวด แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณทำให้คุณส่งค่ารถต่อไม่ได้จริงๆ เช่น ตาย (เราไม่ได้แช่งคุณนะคะ แต่ทั้งพ่อและคนรู้จักเราเจอ case แบบนี้มา 3 ครั้งแล้ว) ภาระก็ต้องตกที่เค้าซึ่งความเสี่ยงอาจจะมากเกินกว่าที่เค้าจะรับได้

เรื่องค้ำประกันบอกได้เลยว่าเราเองก็กลัวมากตั้งแต่ตอนคุณพ่อเจอเข้าไป 2 ครั้ง ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลใช้หนี้แทนเค้าเป็นล้าน นี่คนรู้จักอีกคนเพิ่งโดน(ค้ำประกันซื้อรถเหมือนกันด้วยค่ะ)กำลังเครียดอยู่ เงินเป็นหลักแสน

ที่บอกมาทั้งหมดคือไม่อยากให้จขกท.ด่วนสรุปว่าน้องคุณใจดำ แต่อยากให้มองความเสี่ยงของเค้าด้วย เอาใจเขามาใส่ใจเรานะคะ

ตามที่คุณจีนพูดน่ะ ใช่เลย ลองสอบถามถึงเหตุผลที่แท้จริงจากน้องคุณก่อนมั้ย

เพราะจากประสบการณ์ตรง ไปเซ็นค้ำรถให้เพื่อน (เพื่อนก็ไม่ได้เบี้ยวอะไรหรอกนะ จนตอนนี้ผ่อนหมดไปแล้ว) แต่หลังจากนั้นสัก 2 ปี ก็คิดที่จะกู้ซื้อบ้านเอง พอไปยื่นเรื่องที่ธนาคาร ปรากฎว่าไม่ผ่านเพราะเรามีภาระหนี้สินในการผ่อนรถอยู่ เราก็บอกว่าเป็นแค่คนค้ำประกัน จนท.ธนาคารก็ตอบประมาณว่าต้องเอามาพิจารณาให้การอนุมัติด้วย เพราะถ้าเกิดในอนาคตเพื่อนคุณเบี้ยวหล่ะ เงินเดือนคุณแค่นี้จะรับผิดชอบทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไว้ได้ยังไง



 

ค้ำประกันนี่เรื่องใหญ่มากนะคะ
เราคนนึงล่ะที่ไม่ค้ำประกันให้ใครเด็ดขาด
จะญาติพี่น้องสนิทแค่ไหนแต่เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใครค่ะ

ที่บริษัทมีพี่คนนึงค้ำประกันรถให้ญาติแล้วญาติไม่จ่าย เอารถหนีไปเลย
พี่คนนั้นไม่รู้เรื่อง จนผ่านไปเป็นปีๆ สุดท้ายถูกฟ้องเกือบเสียบ้านตัวเองเลยค่ะ