มี Steiva-A 0.025% และ Skinoren แต่เลือกใช้ไม่ถูก
Parie3
จุดประสงค์:
รักษารอยดำจากสิวและลดสิวเสี้ยนที่จมูกและคางแต่ได้ยินมาว่าSteiva-A หรือ Retin A สิวอาจจะเห่อมากกว่าเดิม
ใช้แบบไหนดีที่สุดคะ:
A)Day: Skinoren + ครีมบำรุง
Night: Steiva-A ทั้งหน้าหรือเฉพาะT-Zone ดี? + ครีมบำรุง
B)Day: Skinoren + ครีมบำรุง
Night: Skinoren + ครีมบำรุง+ Steiva-a เฉพาะจุดเช่นสิวอุดตันเม็ดใหญ่
C)Day: Skinoren + ครีมบำรุง
Night: Steiva-A ทั่วหน้า + ครีมบำรุง + Skinoren เฉพาะจุดด่างดำ
D)อื่นๆแนะนำด้วยค่ะ
จุดประสงค์:
รักษารอยดำจากสิวและลดสิวเสี้ยนที่จมูกและคางแต่ได้ยินมาว่าSteiva-A หรือ Retin A สิวอาจจะเห่อมากกว่าเดิม
ใช้แบบไหนดีที่สุดคะ:
A)Day: Skinoren + ครีมบำรุง
Night: Steiva-A ทั้งหน้าหรือเฉพาะT-Zone ดี? + ครีมบำรุง
B)Day: Skinoren + ครีมบำรุง
Night: Skinoren + ครีมบำรุง+ Steiva-a เฉพาะจุดเช่นสิวอุดตันเม็ดใหญ่
C)Day: Skinoren + ครีมบำรุง
Night: Steiva-A ทั่วหน้า + ครีมบำรุง + Skinoren เฉพาะจุดด่างดำ
D)อื่นๆแนะนำด้วยค่ะ
Discussion (3)
เออ... skinoren ปกติแล้วใช้รักษาฝ้า แต่ก็มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อาจจะเหมาะกับกรณีคนที่มีปัญหาสิวอักเสษเป็นส่วนใหญ่ ปกติจะทาเช้าเย็น แต่เรื่องจากตัวยามีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะมีอาการแสบ แดงหลังการทาได้
ส่วน Retin A (หรือ Steiva-a ที่มีตัวยาสำคัญคือ กรดวิตามิน A tretinoin ) จะช่วยละลายไขมันอุดตัน จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาสิวอุดตัน ไม่ควรใช้กับสิวอักเสษเพราะจะทำให้เป็นมากขึ้น สำหรับคนที่ไม่เคยใช้เลยต้องทำใจนิดนึงว่าช่วง 2-3 อาทิตย์แรกสิวจะผุดขึ้นมา หลังจากนั้นหน้าจะดีขึ้นเรื่อยๆคะ
เนื่องจาก Retin-A ไวต่อแสง จึงมักทาเฉพาะก่อนนอนคะ นอกจากนี้จากที่คุยกับแพทย์ผิวหนัง retin-A มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงสามารถใช้retin-A ในการลดริ้วรอยได้ (สังเกตว่ายาลดริ้วรอยส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของ กรดวิตามินเอ ผสมอยู่
ส่วนคำถามของเจ้าของกระทู้ แนะนำนะคะ
Steiva-A ใช้ทุกคืนก่อนใช้ครีมบำรุง ทาทั่วหน้าเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก และบริเวณสิวอักเสบ
Skinoren ใช้ตอนเช้าก่อนครีมบำรุง ทาบริเวณรอยดำและสิวอักเสษ (ถ้าใช้แล้วไม่แสบ หรือแดงจะทาทั่วหน้าก็ได้)