ช่วยด้วยค่ะ เมื่อจขกท.กลายเป็นคนขี้ขโมย T^T (จิตตกมาก)

            นิสัยขี้ขโมยมันดูไกลห่างตัวเรามาก จนมาวันนี้เป็นวันที่เราตระหนักได้ว่า เรามันนิสัยขี้ขโมยชัดๆ มันเกิดจากการที่เราอยากได้ของชิ้นหนึ่งมากๆ ซึ่งก็เป็นของราคาแพงพอสมควร และเนื่องจากเรายังไม่มีรายได้ค่ะ ยังต้องอาศัยเงินค่าขนมจากคุณแม่อยู่ตลอดเวลา เงินเก็บก็เป็นศูนย์เพราะใช้จ่ายไม่ระวังเลยสักนิด ทีนี้เมื่อเราอยากได้ของชิ้นนี้มาก แถมเงินค่าขนมก็ไม่พอ แล้วเราเกรงใจคุณแม่ค่ะ ไม่อยากขอค่าขนมเพิ่มหรือขอเงินเขาตรงๆเพื่อซื้อของชิ้นนั้น เพราะเราก็รู้ตัวว่ามันไม่ได้จำเป็น ไม่ได้คอขาดบาดตายถึงขนาดกับต้องขอเงินเพิ่ม แล้วที่สำคัญคือ ยิ่งด้วยเศรษฐกิจแบบนี้เราไม่อยากให้คุณแม่มาปวดหัวว่าต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอีกแล้ว แต่ด้วยความอยากได้ค่ะ มันทำให้เราตัดสินใจขโมยเงินคุณแม่...

             เราเริ่มหยิบจากแบงค์ยี่สิบบาท แบงค์ห้าสิบบาท นานๆทีจะมีแบงค์ร้อย แต่เราหยิบทุกวันๆ จนจำนวนเงินมันกลายเป็นหลักพันพอให้เราซื้อของชิ้นนั้นได้ ตอนซื้อของก็ตกใจตัวเองเหมือนกันค่ะว่า เลวขนาดหยิบมาเรื่อยๆจนได้เป็นหลักพันได้ยังไง เลยตั้งใจว่าได้ของชิ้นนี้แล้วจะไม่ทำแล้วจะ พอ เพราะถึงคุณแม่ไม่รู้ว่าเราหยิบแต่เราก็รู้สึกผิดกับคุณแม่ในระดับหนึ่งมาก แต่นิสัยขี้ขโมยมันคงซึมเข้าไปในกระแสความชั่วของเราแล้วค่ะ (ไม่อยากใช้คำว่ากระแสเลือดค่ะ เพราะที่บ้านเราก็เลือดเดียวกัน แต่ไม่มีใครเลวเหมือนเรา) เราไม่เลิกหยิบเงินคุณแม่ เหมือนเรายิ่งได้ใจเพราะคุณแม่ไม่รู้เลย แล้วก็ทั้งปลอบใจตัวเองว่า ก็ดีเหมือนกันน่ะ ไม่ต้องขอเงินคุณแม่เพิ่ม คุณแม่ไม่ต้องมาปวดหัวกับค่าใช้จ่าย อยากได้อะไรก็หยิบเอง คุณแม่ไม่รู้ คุณแม่จะได้ไม่เครียด มีความสุขทุกฝ่าย จากแบงค์ห้าสิบกลายเป็นแบงค์ร้อยในที่สุด แล้วคือไม่ใช่ร้อยเดียวไงค่ะ หยิบทีก็หลายร้อย แต่นับว่าเป็นบุญค่ะที่ความเลวของเรายังมีขีดจำกัด ไม่คิดหยิบเกินห้าร้อย เราทำแบบนี้มาเป็นเดือนๆค่ะ


               จนเร็วๆนี้ เราเดินเข้าไปในห้องคุณแม่ เราเห็นคุณเม่เอากระเป๋าตังค์มานอนด้วย ปกติคุณแม่จะเอากะเป๋าตังค์ไว้บนโต๊ะทำงานค่ะ...เราซีดเลยค่ะ ความรู้สึกแรกคือ ซวยแล้วตรู แต่คุณแม่ก็ไม่พูดอะไรค่ะ คุณแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติ เราก็เลยนิ่งๆ วันต่อมาคุณแม่ก็เก็บกระเป๋าตังค์ไว้บนโต๊ะทำงานที่เดิมตามปกติ เราก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรหรอก แล้วเราก็ทำสันดานเดิมค่ะ หยิบ ฉก ขโมย...


                อีกสามวันต่อมา สามวันหลังจากพฤติกรรมชั่วๆล่าสุดของเราเท่านั้นค่ะ คุณแม่เราเอากระเป๋าตังค์มานอนด้วยทุกคืน คราวนี้ไม่ใช่แค่กระเป๋าตังค์นะค่ะ ซองเงินฉุกเฉินในบ้าน สมุดบัญชี คุณแม่ก็เอามาเก็บไว้กับตัว แต่คุณแม่วางกระเป๋าตังค์และซองเงินไว้บนโต๊ะในห้องนอน ที่เวลาเดินเข้ามาแล้วทุกคนสามารถเห็นได้ คุณแม่ไม่ได้เก็บไว้แนบตัวหรือจงใจซ่อนกระเป๋าตังค์เลยแม้แต่น้อย วันแรกเราก็ยังคิดว่า ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวก็เอาไปเก็บไว้ที่เดิม แต่วันถัดมาคุณแม่ก็เอามานอนด้วยทุกคืนๆ ถือว่าผิดวิสัยคุณแม่แล้วค่ะ แวบแรกที่เราเห็นกระเป๋าตังค์คือ หน้าชาค่ะ ร้อนตัวว่าคุณแม่จะรู้หรือเปล่า คิดวกวนอยู่คนเดียวว่า คุณแม่จะจับได้มั้ย คุณแม่คิดอะไรอยู่ แต่คุณแม่ไม่ถาม ไม่พูด ไม่ว่า ไม่ได้คาดคั้นอะไรจากเรา หรือคุณแม่จะไม่รู้ว่าเราทำอะไร อาจจะเอามาเก็บไว้กับตัวเฉยๆ ความคิดและคำถามต่างๆมันแล่นออกมามากมายค่ะ แต่ไม่มีคำตอบใดๆที่ช่วยไขความสงสัยหรือทำให้เราหยุดวิตกจริตได้เลย เราเลยได้แต่คิดวกไปวนมาเหมือนคนบ้า


                 แต่เหนือความคิดกลัวคุณแม่จะจับได้นั้นคือ เราเสียใจค่ะ การที่คุณแม่เอากระเป๋าตังค์มานอนด้วยก็เท่ากับว่าคนในบ้านเราไว้ใจไม่ได้แล้ว แล้วบ้านเราก็อยู่กันไม่กี่คน ไม่ได้มีคนใช้ คนสวน เงินที่หายไปจะไปอยู่ไหนได้ คนในบ้านที่ไว้ใจไม่ได้คือเรา ลูกสาวคุณแม่ ความคิดนี้มันเจ็บค่ะ สะท้อนอยู่ในหัวว่า ตรูมันเลว ทำไปได้ยังไง คุณแม่เคยพูดว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรทำลูกเสียใจ แม่จะเสียใจกว่าร้อยเท่า...ไม่อยากคิดเลยค่ะว่าถ้าคุณแม่รู้ว่าเราทำอะไรลงไปแล้วจริงๆ คุณแม่จะเสียใจเรื่องไหนมากกว่ากันระหว่างเสียใจที่เลี้ยงลูกมาดีแต่ลูกไม่รักดี หรือเสียใจที่ไม่เอาขี้เถ้ายัดปากเราตั้งแต่เด็ก


             ฉากตอนขอเงินคุณแม่ครั้งล่าสุดคือช่วงที่คุณแม่เอากระเป๋าตังค์มานอนด้วย มันแวบเข้ามาในหัวเลย ไม่รู้เราหลอนหรือเราคิดไปเองว่า สีหน้าคุณแม่ไม่เหมือนเดิมนี่หน่า หน้าคุณแม่เหมือนเก็บความสงสัยอะไรไว้ เราคิดไปถึงช่วงระยะเวลาสามวันหลังจากคุณแม่เริ่มเอากระเป๋าตังค์มานอนด้วย ถ้าเป็นอย่างที่เราคิดไว้ สามวันนั้นคุณแม่คงลองพิสูจน์อะไรบางอย่าง แล้วคุณแม่คงได้คำตอบนั้นแล้วว่า “มีลูกสาวเป็นขี้ขโมย” แต่คุณแม่ไม่พูดอะไรเลย คุณแม่ดีเหมือนเดิม ซื้อนู้นซื้อนี่ให้กินตามปกติ ขอค่าขนมคุณแม่ก็ให้ตามปกติ ไม่มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าคุณแม่รู้แล้วว่าเราทำอะไรลงไป นอกจากการเราเองที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคุณแม่ เมื่อคุณแม่”เลือกเก็บ”กระเป๋าตังค์ไว้กับตัวเอง ภาพกระเป๋าตังค์และซองเงินต่างๆมันทำร้ายเราค่ะ เราชั่วจนขนาดทำให้คุณแม่ไม่ไว้ใจลูกสาวตัวเองอีกต่อไป...และการที่คุณแม่ไม่พูดอะไรเลยยิ่งพาเราอึดอัด ยิ่งคิดไม่ตกว่า สรุปคุณแม่คิดอะไรอยู่ หรือรู้หรือยัง ถ้ารู้แล้วทำไมไม่ถาม คุณแม่เกลียดเรามั้ย ยิ่งคิดยิ่งโมโหตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งเกลียดตัวเอง


             เราไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป จะเดินหน้าสารภาพบาปหรือจะอยู่เฉยๆดี ถ้าเราเลือกที่จะสารภาพบาป เรารู้ค่ะว่าคุณแม่จะให้อภัยเรา แต่ความสัมพันธ์คงไม่เหมือนเดิม ความไว้ใจคุณแม่ที่มีต่อเราคงไม่มี เราทนไม่ได้ค่ะ เรารับไม่ได้ที่จะปล่อยให้คุณแม่เสียใจพฤติกรรมสิ้นคิดของเรา แล้วเราก็รับไม่ได้ยิ่งกว่าเมื่อเราจะเป็นคนที่เห็นคุณแม่เสียใจด้วยเรื่องของเราเอง แต่ถ้าเราเฉยๆต่อไปและคุณแม่ก็ไม่พูดอะไร มันก็มีแต่ความอึดอัดค่ะ ไม่รู้ว่าการที่คุณแม่ไม่พูดคือคุณแม่ไม่รู้จริงๆ หรือคุณแม่กำลังบีบให้เราพูดเองหรือเปล่านะคะ แต่ความรู้สึกผิดนี่แหละค่ะที่กำลังกัดกินเราอยู่ เราไม่อยากเลือกอะไรเลยค่ะ เลือกทางไหนก็เจ็บทุกทาง อยากร้องไห้ค่ะ กลัวคุณแม่ไม่รักเราเหมือนเดิม กลัวคุณแม่ไม่มองเราเหมือนเดิม เสียใจค่ะ เสียใจมากด้วย รู้นะคะว่าควรจะสารภาพบาป แต่ใจก็ยังดึงดันให้หาทางอื่นต่อไป

ตอนนี้เครียดค่ะเครียด อยากรู้ว่าถ้าเป็นเพื่อนๆจะทำยังไงกันคะ

ปล.

ก็หวังว่าเรื่องเราจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้แก่คนที่มีเรื่องราวคล้ายกับเรา จากวัยรุ่นคึกคะนองคนหนึ่งกลายเป็นคนนิสัยโจรในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่ได้เป็นโจรทำร้ายคนอื่นไกล แต่กลับเป็นโจรทำร้ายคุณแม่ตัวเอง ทำร้ายคนที่รักเราที่สุด ทำร้ายเขาจนไม่รู้ว่าเขาจะยังรักเราเหมือนหรือไม่

ขออภัยหากภาษาไม่สุภาพหรือใช้คำผิด

 

สุดท้ายนี้

คุณแม่คะ ลูกขอโทษ

 

Discussion (33)

เป็นกำลังใจให้นะคะ
มาเริ่มต้นกันใหม่ดีกว่า
เรื่องที่ผ่านมาบอกคุณแม่แล้วก็ขอโทษ
เชื่อคะว่ายังไง แม่ก็ต้องรักลูกที่สุด
เชื่อคะว่าคนเราเริ่มต้นกันใหม่ได้
สู้ๆนะนะคะ
บอกคุณแม่ไปตรงๆค่ะ...ตอนเริ่มต้นมันอาจจะลำบากและอึดอัด

แต่ถ้าได้พูดออกไปแล้ว..จะโล่งสุดๆไปเลย...ทำผิดแล้วยอมรับผิดเนี่ย...ไม่ว่าใครก็ใจร้ายไม่ให้อภัย

ไม่ลงหรอกค่ะ โดยเฉพาะแม่ด้วยแล้ว...ยังไงก็โกรธไม่ลงค่ะ..

....สู้ๆนะอย่างน้อยการที่น้องมาระบายในนี้ก็แสดงว่าลึกๆแล้วน้องเป็นคนดีนะคะ...

....บทเรียนนี้...จำให้แม่นๆ..นะ....^__^

อย่างที่หลายคนพูดละค่ะ  ว่าคุณแม่คงรู้แน่นอน  แต่คงอยากให้ จขกท. มาบอกเอง  แต่เราคิดว่านะ สิ่งที่คุณแม่อยากรู้และเป็นห่วงมากกว่าคือ  เอาเงินไปทำอะไร .. .. ถ้าคุณแม่รู้ว่าเอาไปซื้อของก็คงโล่งอกล่ะคะ    เราคิดว่าท่านอาจจะกังวลว่า ลูกจะเอาเงินไปทำอะไร ที่เป็นอันตราย หรือไม่ดีรึปล่าว

คือข้างบ้านเราก็มีเหตุการณ์คล้ายๆอย่างนี้ละค่ะ   ลูกมาหยิบเงินในกระเป๋าไป  ทางแม่ก็กลุ้ม กลัวว่าลูกจะเอาเงินไปเล่นพนันบอล (( อันนี้เป็นเด็กผู้ชาย ))  หรือติดยา     ตอนหลังลูกก็คงไม่สบายใจ ที่หยิบเงินไปเลยมาสารภาพกับแม่ ว่าหยิบเงินไป  แต่ว่าที่ทำไปเพราะขอยืมมอร์เตอร์ไซค์เพื่อนไปขี่แล้วทำรถล้ม  แต่ไม่กล้าบอกแม่ เลยต้องจิ๊กตังค์แม่ไปซ่อมรถคืนให้เพื่อน


ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ  มีอะไรก็คุยกับคุณแม่เถอะค่ะ


 

อ่า.....
 
เราว่าคุณแม่รู้ค่ะ แน่นอนนน

ขนาดคุณยังรู้เลยว่าสีหน้าคุณแม่ไม่เหมือนเดิม
แล้วทำไมแม่จะไม่รู้ว่าคุณทำอะไรค่ะ

ที่คุณแม่ไม่พูด คงเพราะ รอคุณอ่ะ

รอให้คุณพูดออกมา จากปากคุณเองค่ะ


ท่านไม่พูดอะไร คงเพราะกลัวคุณจะเสียใจอ่ะคะ เราว่า

ลองนึกดูนะว่าตอนที่คุณหยิบเงินอ่ะ คุณก้ใช้ความกล้ามากเหมือนกัน ไม่ใช่หรอ?
ลองเอาความกล้านั้นมา ขอโทด คุณแม่ ดีกว่านะ

^ ^

เป็นกำลังใจให้มากๆจ้ะ  สู้ๆ นะ (^ ^)/





 

ท่านรู้ค่ะ แต่ไม่พูด คนเป็นแม่ย่อมรู้ความเป็นไปของลูกอยู่แล้ว เลี้ยงมากับมืออะเนอะ

เราก็เคย...อะนะ  200 บ. ... แหะ ๆ รู้สึกผิดแหละ แต่ท่านก็ไม่รู้นะ ท่านชอบใช้ให้เอาเงินเยอะๆ ไปเก็บในเก๊ะ เราก็เออ...นี่แสดงว่าท่านไว้ใจเราที่เป็นลูกสาวมากว่าเงินจะไม่หาย ถ้าเราไปขโมยอีก
อีกหน่อยท่านจะฝากฝัง ไว้ใจใครได้ เดี๋ยวนี้ก็เลยพยายามเก็บเงินจากที่แม่ให้เอาเองอะค่ะ หรือไม่ก็ขอคุณแม่เลย ถ้าไม่ให้ก็ค่อยลดความต้องการลงมา 

ของที่เราอยากได้วันนี้มาก  ๆๆๆ ๆ  ถ้าผ่านไปซักพัก ความอยากได้ก็อาจจะลดลงไปเอง เพราะมันไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเราไงคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ทำดีกับท่านมากๆ นะคะ