เหตุผลที่ทำให้ David Beckham กลายเป็น Icon แห่ง Pop Culture

17 6
ไม่กี่ชั่วโมงมานี้ แฟนๆชาวไทยก้ได้พบกับความ  complete เมื่อได้สัมผัสตัวเป็นๆของ David Beckham อดีตนักฟุตบอล superstar ที่ได้เดินทางมาร่วมอีเวนท์ของ Adidas แม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์บนสนามหญ้าไปแล้วหลายปี แต่เขาก็ยังครอบครองความโด่งดังไม่แผ่วหายไป นั่นเป็นเพราะว่า นอกจากจะสร้างชื่อจากความสามารถทางการกีฬา เขายังถูกยกให้เป็น icon แห่ง pop culture ที่อยู่ในใจผู้คนช้ามทศวรรษ



วงการบันเทิงนำเสนอภาพลักษณ์ของ David Beckham ที่เป็นมากกว่านักฟุตบอลดัง

แฟนหนังหวานอาจจะคงจดจำฉากจากหนัง  'Love Actually' เมื่อนายกรัฐมนตรีหนุ่มแห่งอังกฤษแสดงสุนทรพจน์ทรงพลังที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับประชาชนด้วยการไล่เรียง 'ของดีประจำชาติ' ที่มีเท้าทั้งสองของ  David Beckham รวมอยู่ด้วย  หรืออาจจะมีคนที่คุ้นๆกับหนังอินดี้จากยุค 2000s  'Bend It Like Beckham'  นำเสนอเรื่องรางของเด็กสาวที่มุ่งมั่นฝ่าฟันเพื่อทำความฝันในการเป็นนักฟุตบอลผู้เก่งกาจเหมือนกับ Beckham  แม้กระทั่ง 'Deadpool' ที่ปล่อยมุกล้อเลียนเรื่องเสียงแหลมเล็กของ Beckham   มองจาก reference เพียงเท่านี้ก็พอยืนยันได้ว่า หลายคนมองเขาเป็นยิ่งกว่า icon แห่งวงการกีฬา แต่สร้างความนิยมจาก pop culture ไม่ได้ยิ่งหย่อนกันไปเลย

สถานะ icon นี้อาจจะทำให้บางคนรู้สึกข้องใจ  ในเมื่อแต่ละยุคสมัย ในประเทศอังกฤษและประเทศต่างๆที่คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลต่างก็มีนักฟุตบอลสุดยอดพรสวรรค์ที่กอบโกยความสำเร็จจากการค้าแข้งกันหลายคน  แต่อาจจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถแผ่ขยายอิทธิพล crossover มายังโลกบันเทิงจนสร้างความเกรียวกราวถึงขัั้นที่ถูกยกให้เป็น Icon แห่ง pop culture


สถานะ trendsetter


ย้อนไปช่วงวัยหนุ่มของ David Beckham เขาได้ผ่านช่วงที่เรียกว่า Glow Up จากนักฟุตบอลดาวรุ่งที่ดูขี้อายแต่งตัวไม่ค่อยเก่งกลายมาเป็นหนุ่มที่ดูหล่อเหลาไม่ต่างจากสมาชิก boyband รูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นขนาดนี้ทำให้เขาได้เกิดกระแสความคลั่งไคล้ขึ้นมาแม้ว่าในยุคนั้นจะยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่า gone viral  ยืนยันได้จากการจัดผลโหวตจากช่อง VH1 ในปี 2003 ที่ผู้คนลงคะแนนยกให้เขาเป็น  Pop Icon ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ทิ้งห่างภรรยาตัวเองที่เป็นสมาชิก girl group ที่โด่งดังแห่งยุค 90s ถึง 31 ลำดับ  ในช่วงเวลาสุด peak ของ David Beckham  ไม่ว่าเขาจะเลือกแต่งตัวแบบใดก็กลายเป็นหัวข้อข่าว และบางอย่างก็กลา่ยเป็นเทรนด์ที่แฟนๆหันมานิยมชมชอบตาม




หากให้เล่าถึงประสบการณ์ตรงย้อนไปเนิ่นนานสมัยที่เรายังเด็กมัธยมที่ไม่รู้เรื่องรู้แฟชั่นใดๆนัก ก็ได้เห็นเก้กผู้ชายร่วมโรงเรียนตัดผมทรง skinheadและพูดคุยถึงผู้เป็นต้นแบบคือ David Beckham อย่างภาคภูมิใจ สมัยนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เด็กๆจะมองเขาในฐานะฮีโร่และสร้างแรงบันดาลใจในการฝึกฝนทักษะฟุตบอล ออกจากนอกสนาม สื่อหลายเจ้ายังยกให้เขาเป็นผู้ชายที่แต่งตัวดีที่สุด เจ้าตัวก็ได้แต่ตอบอย่างถ่อมตัวว่า เขาเป็นเพียงนักฟุตบอล และยอมรับว่า มักแต่งตัวตามคำแนะนำของภรรยา แต่สิ่งที่ไม่ปฏิเสธได้คือ เขาคือชายที่กล้าทดลองสิ่งแปลกใหม่ ไม่ยึดติดกับสไตล์เดิมๆ แม้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ถูกล้อเลียนหรือโจมตีว่าสำอางจนดูไม่สมชาย แต่มันกลับกลายเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้หนุ่มไม่รู้สึกกดดันหรืออับอายในการดูแลเรื่องความงาม กล่าวได้ว่า เขาเป็นหนึ่งในคนดังที่ร่วมบุกเบิกเทรนด์ metrosexual นั่นเอง

 
การทดลองทางแฟชั่นของ David Beckham ไม่ได้ถูกจริตผู้คนเสมอไป หลายลุคในอดีตของเขาถูกยกให้เป็นแฟชั่น'ยุคมืด' ซึ่งบางครั้งมันอาจจะสวนทางความรู้สึกของผู้คนที่ยังไม่เปิดใจยอมรับผู้ชายที่นิยมชมชอบแฟชั่นแบบ feminine เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องทำเล็บสวยเนี้ยบ ตอนที่ใส่โสร่งออกเดทกับ Victoria ก็แทบจะเป็นวาระแห่งชาติในอังกฤษไปเลย เพราะย้อนไปเมื่อยุค 2000s ลุคนี้ได้ trigger ผู้คนที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ทำให้เขาถูกกล่าวหาว่า กำลังชักจูงให้ผู้ชายหันมาใส่กระโปรง (ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ icon อย่าง David Bowie ก็ใส่ทั้งเดรสและกระโปรงมาเห็นจนชินตา)


ผนึกกำลัง Posh & Becks


กระแสต่อต้านความสัมพันธ์ของคู่นี้มีความแตกต่างจากคู่ของ Taylor Swift และ Travis Kelce ที่ฝ่ายหญิงเผชิญกับแรงกดดันจากแฟนกีฬาว่า ความโด่งดังของเธอได้ดึงดูดความสนใจมากเกินไปจนอาจจะทำให้ผู้ชมไขว้เขวไปจากเกมกีฬา แต่นับตั้งแต่จุดเริ่มต้น David และ Victoria เปิดเผยเรื่องความรัก ทั้งแฟนๆกีฬาและสื่อต่างโจมตีฝ่ายหญิงด้วยอคติอย่างรุนแรงมาโดยตลอด หลายคนเชื่อว่า นักกีฬาหนุ่มที่ดูเพียบพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉมไม่ควรเสียเวลาอยู่กับ popstar สาวที่มีภาพลักษณ์ไม่ดี ( Victoria มักถูกมองว่าเป็นสมาชิก Spice Girls ที่มีความสามารถน้อยที่สุดในวง บ้างก็เปรียบว่า เธอเป็นเซเลบที่ถูกหมั่นไส้มากที่สุด) และยังแสดงความกังวลว่า นักฟุตบอลที่ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างถล่มทลายแบบ self-made จะถูกชักนำให้ละเลยการพัฒนาฝีมือตัวเอง แต่ไปหมกมุ่นกับความจอมปลอมของโลกมายาแทน บ้างก็กล่าวหาว่าเธอหิวแสมากจนพยามทำทุกทางเพื่อเกาะความโด่งดังของคนรักเพื่อเปิดทางสร้างความดังให้กับตัวเอง เพราะอาชีพนักร้องค่อยๆอิ่มตัวแล้ว


แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ทำให้หลายคนมั่นใจว่า กระแส Posh & Becks จากการปลุกปั่นของ tabloid นี่เองที่ยิ่งทำให้อาณาจักร Beckham ยิ่งแผ่ขยายอย่างมั่นคงพวกเค้าจับมือร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันเรื่องอื้อฉาวและจุดที่ทำให้รู้สึกตกต่ำและสามารถผงาดขึ้นมาสร้างสมความนิยม

ภาพลักษณ์ที่ดูเรียบหรูในปัจจุบันของ Posh & Becks ในปัจจุบันอาจจะทำให้หลายคนลืมเลือนไปแล้วว่า พวกเค้าเคยถูกมองว่า'เยอะ'ไม่ต่างจากครอบครัว Kardashian ในยุคก่อนดัง ทันทีที่พวกเค้าโยกย้ายครอบครัวมาที่อเมริกาก็ดึงดูดความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะย่างก้าวไปที่ใด ก็มีกองทัพ paparazzi รอถ่ายภาพเด็ด พวกเค้าไม่ปล่อยให้โอกาสในการสร้างความโด่งดังหลุดลอยไป ทั้งปล่อย reality show และเข้าร่วมสารพัดอีเวนท์ ทั้งยังสร้าง connection กับคนดังระดับ A List จากที่มีชื่อเสียงที่บ้านเกิดและในยุโรปมากมายอยู่แล้ว ก็ได้รับการต้อนรับจาก Hollywood อย่างอบอุ่น ในขณะที่ David มุ่งมั่นต่อไปกับการแข่งฟุตบอลอาชีพกับสโมสร LA Galaxy ในอเมริกาและเป็นที่รู้จักจากภาพหนุ่มนักกีฬาสุดเซ็กซี่ Victoria ก็เฉิดฉายในฐานะผู้นำแฟชั่นที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้เสมอ เพียงไม่นานก็ก่อตั้งแบรนด์ Victoria Beckham บางคอลเลคชั่นก็ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากสไตล์เนี้ยบกริบของสามี



David รับรู้ถึงความเจ็บปวดของภรรยาที่ถูกคนนอกตัดสินด้วยอคติมาตั้งแต่เริ่มต้นความสัมพันธ์และพยายามปกป้องเธอจากคำครหามาโดยตลอด แม้ว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมายาวนานจนลูกๆเติบใหญ่ก็ยังไม่รอดพ้นจากสายตาจ้องจับผิดว่า พวกเค้ายังครองรักกันอย่างแท้จริงหรือว่าเป็นเพียงการสร้างภาพ Power Couple แต่สิ่งที่ผู้ได้ประจักษ์ในความรักผูกพันของคู่นี้ คือการยืนหยัดเคียงข้างกันโดยไม่ได้สั่นคลอนไปกับกระแสข่าวลือเตียงหักที่ปรากฏในหน้า gossip หลายคนลงความเห็นว่า ชีวิตการแต่งงานที่ก้าวสู่ปีที่ 25 คือสิ่งที่สื่อถึงความแข็งแกร่งของคู่นี้โดยไม่ต้องบรรยายเวิ่นเวอ โดยเฉพาะคนดังที่ใช้ชีวิตไปพร้อมกับการเดินทางไปทั่วโลกและพบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตา อาจจะพบกับสิ่งยั่วยุและปัจจัยต่างๆที่นำไปสู่ความขัดแย้งในชีวิตคู่ แต่พวกเค้าก็ดูรักกันหวานชื่นมาจนถึงทุกวันนี้ หากย้อนไปยังอดีตที่สื่อไล่โจมตีความสัมพันธ์ของพวกเค้าแบบกัดไม่ปล่อยและมีเสียงสาปแช่งให้รีบเลิกกัน กลุ่มคนเหล่านั้นอาจจะไม่คาดว่า Posh & Becks จะได้มาถ่ายโฆษณาที่ดูน่ารักนุบนิบคั่นเวลาการแข่งขัน Super Bowl

ถึงจะมีคนที่มองว่า ถึงจะไม่มี Victoria อยู่เคียงข้าง  David Beckham ก็สามารถสร้างความสำเร็จจากอาชีพนักกีฬาอย่างล้นเหลืออยู่แล้ว  แต่หากมองถึงแง่ pop culture  ย่อมจะขาดการผนึกกำลังเกื้อหนุนกันของ Posh & Becks  ไปไม่ได้เลย

มีเสน่ห์ดึงดูดคนดัง


การสร้างสัมพันธไมตรีระหว่าง David Beckham และ Anna Wintour เป็นสิ่งชี้ชัดว่า พลัง superstar ของเขาได้พุ่งทะลุไปไกลเกินกว่าสนามแข่งขันฟุตบอล ออร่าเจิดจ้าจนเข้าตาเจ้าแม่วงการแฟชั่นชั้นสูง  Anna Wintour ยืนยันว่า เธอไม่ได้เป็นแฟนฟุตบอลแต่ได้เผยถึงความพึงพอใจกับการคบหากับ David  Beckham เต็มที่   แม้ผู้คนจะเคยชินกับภาพของบรรณาธิการทรงอิทธิพลที่ปั้นหน้าเรียบเฉย แต่เธอได้เข้ามาทักทาย Beckham ที่กำลังให้สัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มกว้างขวางและยังปล่อยมุกอย่างสนิทสนม  พวกเค้าไม่ได้เพียงแต่พูดคุยพอเป็นพิธีในอีเวนท์  แต่ยังนัดกันไปชมเกมการแข่งขัน Grand Slam มีเสียงเล่าลือว่า  สาเหตุที่  Anna Wintour เข้าร่วมชมแฟชั่นโชว์ของ Victoria Beckham เสมอ เพราะเธอให้ความสำคัญกับมิตรภาพกับ David Beckham นั่นเอง

ตัวตนที่ทรงเสน่ห์ของ David Beckham นั้นตรงกับที่  Anna Wintour ได้เกริ่นไว้  ถึงจะไม่ได้ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล แต่หลายคนก็ยังปลาบปลื้มในตัวเขาอยู่ดี   เพื่อนฝูงคนสนิทของเขาไม่ได้อยู้ในแวดวงนักกีฬาและเซเลบที่บ้านเกิดเท่านั้น  ข้ามไปที่  Hollywood  เขายังสนิทสนมกับศิลปินชื่อดังอย่าง Snoop Dogg และ Marc Anthony รวมไปถึงนักแสดงชั้นนำ Mark Wahlberg, Liv Tyler และ Ryan Reynolds  

เอาชนะ scandal ด้วยผลงาน


นอกจากจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องทักษะการเล่นฟุตบอลและเสน่ห์ที่ตรึงตราใจผู้คน ภาพลักษณ์ของคนดังที่ประพฤติในแบบอย่างที่ดีงามนั้นย่อมมีความสำคัญต่อการรักษาความนิยมไม่ให้จางหายไปกับกาลเวลา คงฟันธงหนักแน่นไม่ได้ว่า David Beckham วางตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ความมัวหมอง แม้แต่ scandal ถูกแฮคอีเมลที่ส่งถึง PR มาประจานว่า เขาปรี๊ดสุดๆที่ทุ่มเททำคุณงามความดีไปแต่ก็ไม่ได้รับพระราชทานยศอัศวินตามที่หวังไว้ และยังพาดพิงไปถึงคนอื่นในทางเสียหาย สื่อบางเจ้าและชาวเน็ทต่างคาดการณ์ว่า scandal นี้จะทำลายชื่อเสียงเขาป่นปี้จนคนมองเขาในทางที่ดีดังเดิมไม่ได้อีก

แต่ข่าวดังครึกโครมนี้กลับไม่ได้ส่งกระทบต่อความนิยมของเขามากนัก นั่นเป็นเพราะหลายคนมองว่า ความเสมอต้นเสมอปลายในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวมและการ give back ไม่ได้เป็นเครื่องมือการสร้างภาพ และความยึดติดกับเครดิตจากผลงานก็เป็นเรื่องของปุถุชน รวมถึงองค์กร UNICEF ที่ได้ออกโรงปกป้องและชื่นชมถึงงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เขาได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงมานานหลายปี กระแสข่าว Beckham ถูกแฮคอีเมล (หรือที่สื่อเรียกว่า Beckileaks) จึงค่อยๆจางหายไป

การรับมือกับข่าวฉาวครั้งใหญ่อย่างไม่สั่นคลอน  ก็น่าจะทำให้ David Beckham จัดอยู่ในกลุ่มคนดังที่มีภูมิคุ้มกันจาก cancel culture   สื่อหลายเจ้ามักแสดงปลาบปลื้มตัวตนที่เป็นคนรักครอบครัวและมีอัธยาศัยเป็นกันเองกับแฟนๆ   จากภาพความคลั่งใคล้ของแฟนๆจากทุกหนทุกแห่งที่เขาได้ไปเยี่ยมเยือนก็ชี้ชัดว่า ความนิยมของเขาจะไม่เสื่อมคลายลงไปเร็วๆนี้

ไม่เพียงแต่จะยังสร้างรายได้มากมายจากการเซ็นสัญญากับแบรนด์ดังต่างๆ เช่น Nespresso, Adidas, Nespresso, Tudor และ Maserati อีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันถึงความนิยมของ David Beckham คือความสำเร็จจาก documentary บอกเล่าถึงเส้นทางชีวิตของเขาที่ stream ทาง Netflix นอกจากจะมียอดเข้าชมสูงสมกับที่มีรายงาน Netflix ได้ทุ่มจ่ายให้เขาถึง $20 ล้าน ยังได้รับคำชื่นชมว่า สามารถถ่ายทอดตัวตนของเขาในแง่มุมที่เหนือความคาดหมาย ทั้งยังเรียกความเห็นใจจากคนที่เคยมองเขาในแง่ลบจากข่าวฉาวบนหน้า tabloid โดยเฉพาะจุดพลิกผันในอาชีพนักฟุตบอลเมื่อเขาถูกไล่ออกจากการแข่งขันกับอาร์เจนติน่าเมื่อฟุตบอลโลกปี 1998 ตามมาด้วยการปราชัยของอังกฤษ จากที่ถูกยกย่องให้เป็น Golden Boy ขวัญใจมหาชน เขากลายมาเป็นตัวเฮงซวยสำหรับแฟนฟุตบอลที่บ้านเกิด เขาต้องเผชิญกับการคุกคามทำร้ายจิตใจอย่างหนัก ถึงขนาดมีผู้ทำหุ่นสวมใส่เสื้อฟุตบอลทีมชาติเบอร์ 7 ของเขากับโสร่งแล้วจับขึ้นไปแขวนอยู่หน้าผับราวกับศพที่ถูกแขวนคอ! หนำซ้ำ สื่อยิ่งปลุกปั่นจนกระแสเกลียดชังรุนแรงขึ้นไปอีก ความรู้สึกผิดและไม่ให้อภัยตัวเองทำให้ David Beckham ที่อายุเพียง 23 เกิดอาการซึมเศร้า และยังเป็นบาดแผลฝังใจมาจนทุกวันนี้


การตัดสินใจของนักฟุตบอลนั้นอาจจะไม่ได้สนองตอบความต้องการของแฟนๆไปได้หมด  เพราะในที่สุดแล้ว นี่คือโลกของธุรกิจที่พวกเค้าจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์และเส้นทางอาชีพในอนาคต เมื่อได้จากลีคดังจากยุโรปมาร่วมสโมสร LA Galaxy ในเป็นระยะเวลา 5 ปี จากภาพรวมแล้วดูประสบความสำเร็จกับเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ไม่น้อย   แต่หลังจากที่เขาถูกยืมตัวไปเล่นฟุตบอลให้กับ AC Milan  และมีท่าทีลังเลในการกลับมายังอเมริกา   แต่เมื่อได้หวนคืนสู่ LA Galaxy  ก็ต้องเผชิญกับความกราดเกรี้ยวของแฟนฟุตบอลที่เชื่อว่า เขาหักหลังสโมสรและแฟนๆที่ทุ่มใจสนับสนุน  ทั้งโห่ใส่และแขวนป้ายประนามเพิ่มแรงกดดันระหว่างการแข่งขัน  ถึงขนาดที่เขาเคยเผชิญหน้ากับแฟนที่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องมายื้อยุดไว้ แต่ในวันสุดท้ายที่เขาได้ลงสนามแข่งขันเพื่อ LA Galaxy บรรยากาศการอำลาก็เป็นไปด้วยความอบอุ่น  จากที่ถูกแขวนป้ายขับไล่ "กลับบ้านไปซะ เจ้าคนหลอกหลวง!" ก็เปลี่ยนมาเป็น "พวกเรารักคุณ พวกเราจะคิดถึงคุณ"



อาจจะมีผู้มองว่า  ทั้งฝีเท้าที่โดดเด่นและรูปร่างหน้าตาที่ดึงดูดใจจะทำให้ชีวิตของเขาดูง่ายดาย  แต่ไม่ว่าจะจับถ้วยรางวัลมาแล้วกี่ครั้ง หรือได้รับการยกย่องจากนิตยสาร People ให้ครองตำแหน่งผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก  แต่ความสำเร็จที่สร้างชื่อเสียงเงินทองได้มาพร้อมกับแรงกดดันที่ผลักไสเขาให้ดิ่งสู่ความซึมเศร้า   โชคดีที่เขาได้รับกำลังใจจากคนใกล้ชิดให้ต่อสู้กับช่วงเวลามืดมนของชีวิต  มุมานะพิสูจน์ตัวเองจนผงาดคืนสู่แถวหน้าของวงการฟุตบอลอาชีพ แม้จะแขวนรองเท้าสตั๊ดไปแล้วก็ยังได้รับความรักล้นหลามจากแฟนๆ จุดประกายให้ผู้คนได้มองเห็นตัวตนที่ไม่ยอมจำนนต่อคำปรามาส และยกย่องให้เขาเป็นคนดังที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE