เจาะวีรกรรมฉาว ก่อน Adidas ลงดาบตัดขาดกับ Kanye

35 14

Adidas หักใจ เลือกภาพลักษณ์แทนรายได้มหาศาล


แม้ Kasper Rorsted CEO แห่งAdidasจะเคยประกาศว่า พฤติกรรมของ Kanye ที่อยู่นอกเหนือการสร้างสรรค์ผลงานกับ Adidas นั้นไม่ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับองค์กร เนื่องจากพวกเค้าไม่ได้เซ็นสัญญาเพื่อการแสดงความคิดเห็นของKanye แต่ทำข้อตกลงเพื่อการสร้างสรรค์ผลงานจนทั้งสองฝ่ายต่างประสบความสำเร็จล้นหลาม

แต่มันก็ถึงวันที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่สัญชาติ German ถูกบีบให้ตัดความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนธุรกิจผู้อื้อฉาว แม้จะมีรายงานว่า Yeezyสามารถกอบโกยรายได้ให้กับบริษัทมากถึง1,800 - 2,000ล้าน USD และดูเหมือนมันจะเป็นเหตุผลที่ Adidas ทำเหมือนกับไม่รู้ไม่เห็นกับพฤติกรรมเจ้าปัญหาของ Kanye มาโดยตลอด แต่ในที่จุดแตกหักก็มาถึง...


ฟางเส้นสุดท้าย 'ข้อความขู่ชาวยิว'
ที่ผ่านมา หลายคนเชื่อว่า  Kanye มีภูมิคุ้มกันชั้นดีจากการถูก cancel  เขาอาจจะคุกคาม Pete Davidson ทาง social media โดยเฉพาะภาพน่าขนลุกที่เขาฝัง Pete ทั้งเป็นใน MV ! เมื่อใดก็ตามที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เขาจะใช้การ bullyอีกฝ่ายโต้กลับโดยไม่หวาดหวั่นเรื่องภาพลักษณ์  แม้จะเป็นพฤติกรรมที่สื่อถึงความรุนแรงและดูเหิมเกริมจนหยุดไม่อยู่ แม้แต่ครอบครัว Kardashian ก็ถูกเล่นงานหนัก  แต่ก็Kanye ถูกปล่อยผ่าน เนื่องจากมีผู้ปกป้องว่า นี่คือพฤติกรรมจากอาการ bipolar  สังคมควรจะปล่อยให้เขาโวยวายไปโดยไม่ต้องให้ความสำคัญกับคำพูดไร้สาระแล้วเสพผลงานอย่างเดียวเท่านั้น  ในขณะที่มีเสียงแย้งกลับว่า  ความเจ็บป่วยทางจิตเวชไม่สามารถนำมาใช้รองรับเป็นข้อแก้ตัวได้ไปทุกกรณี  โดยเฉพาะการแสดงออกแบบ discrimination อย่างโจ่งแจ้ง  เพราะนี่ไม่ได้เกิดจากโรคทางจิตเวชแต่เป็นความคิดบิดเบี้ยวในใจ  ทั้งยังมีผู้ป่วยโรคเดียวกันได้ออกมาโจมตีว่า  Kanye  ทำให้สังคมเหมารวมพวกเค้าด้วยความเข้าใจผิดๆ  แม้ว่าพวกเค้าจะต้องทุกข์ทรมานกับโรคนี้ แต่ไม่เคยยั่วยุให้ผู้คนแบ่งแยกทางเชื้อชาติศาสนา

ก่อนหน้านี้ Kanye ได้นำเสนอทฤษฎีสมคบคิดต่อต้านชาวยิวไว้ว่า

  •  นักธุรกิจชาวยิวผู้ทรงอำนาจไม่ยอมรับถึงความร่ำรวยระดับพันล้านของเขา และรวมหัวกลั่นแกล้งผ่าน reality show ของครอบครัว Kardashian ในepisode ที่ Kim เผยประสบการณ์สุดเซ็กซี่เมื่อได้มี sexกับPete หน้าเตาผิงไฟ
  • อัตราการเสียชีวิตของคนดำถึงครึ่งหนึ่งเกิดจากการทำแท้ง  และสาเหตุเกิดมาจากศิลปินผิวดำจากที่โพรโมทเรื่องการทำแท้ง ซึ่งศิลปินพวกนั้นสังกัดค่ายที่นายทุนเป็นชาวยิว
  • นายแพทย์ที่วินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็น bipolar เป็นชาวยิว เทรนเนอร์ที่พาเขาไปส่งโรงพยาบาลก็เป็นชาวยิว  คนยิวพวกนี้ทั้งใช้ยาจัดการกับเขาและปล่อยข่าวถึงสื่อจนฉาวไปทั่ว



อย่างไรก็ตาม Kanye ก็ต้องสัมผัสกับคำว่า Enough is Enough! หลังจากเขาได้โพสต์ข้อความชวนช็อคว่า

" จะประกาศเตรียมความพร้อมสำหรับสงคราม DEFCONระดับ 3*กับชาวยิว"

ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงยิ่งกว่าวีรกรรมครั้งไหนๆ เรื่องที่ถูก Twitter และ Instagram จำกัดการโพสต์ดูเป็นเรื่องเบาๆไปเลย

ที่สำคัญ ผู้ที่ถูกกดดันอย่างหนัก หาใช่ตัวคนก่อเรื่อง แต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จาก Germany ที่เป็นpartnerทางธุรกิจมาหลายปี เห็นแต่ชื่อประเทศก็คงรู้ได้เลยว่าเรื่องใหญ่จะต้องตามมา นี่คือประเทศที่เคยมัวหมองอย่างหนักจากลัทธิ Nazi ที่คร่าชีวิตชาวยิวหลายล้านคนด้วยความโหดเหี้ยม และหากย้อนไปที่ประวัติศาสตร์ Adolf Dassler ผู้ก่อตั้งแบรนด์ยังเป็นสมาชิกพรรค Nazi อีกด้วย!

การตัดสินใจตัดขาดกับศิลปินที่สร้างรายได้ให้มหาศาลจึงไม่ได้สร้างความแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะหาก Adidas ยังยืนหยัดสนับสนุน Kanye ต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน พวกเค้าย่อมกลายเป็นองค์กรที่มีมลทินจากข้อหาสนับสนุน Nazi และการแบ่งแยกทางศาสนา แม้แต่คนที่อยู่แวดวงภายในบริษัทเองก็ร่ำร้องให้ผู้บริหารตัดสินใจลงดาบแร็พเพอร์ดังสักที

*เป็นการประกาศเตรียมพร้อมในการป้องกันทางอากาศ ของกองทัพ USA ย่อมาจาก Defense Readiness Condition   ยิ่งตัวเลขน้อย สถานการณ์ยิ่งร้ายแรง
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ Adodas จะประกาศยกเลิกสัญญากับ  Kanye อย่างเป็นทางการ  

  • Balenciaga ตัดขาดความสัมพันธ์ แม้ว่าcreative director จะสนิทสนมกับ Ye มากแต่ไปต่อไม่ไหวจริงๆ
  • ตัวแทน Vogue ยืนยันกับสื่อว่า ไม่มีแผนการร่วมงานใดๆกับ Ye  อีก
  • บริษัทเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ CAA และช่อง MRC ก็โบกมือลา
  • CEO เอเจนซี่ UTA และ Endeavor ร่วมกัน เรียกร้องให้  boycott Ye ทุกหนทาง
มาถึงขั้นนี้   Adidas ต้องเผชิญกับการตัดสินใจท่ามกลางแรงกดดันจากเสียงครหาถึงความล่าช้าในการแสดงความชัดเจนในการรักษาจริยธรรมองค์กร และยังถูกกล่าวหาหนักว่า ที่ผ่านมาแบรนด์ดังได้แสดงออกแล้วว่าเลือกเงินมากกว่าปกป้องสังคมจาก  hate speech  ที่อันตรายใหญ่หลวง  

ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้Adudas ยกเลิก partnership กับ Kanye ชี้ชัดจากผู้ลงชื่อเรียกร้อง  Change.org  เป็นจำนวนเกือบ  180,000 รายชื่อ  แต่Ye กลับท้าทายกระแสต่อต้านในรายการ Podcast ว่า

"ความสัมพันธ์ของผมกับ Adidasก็เป็นประมาณว่า ถึงผมจะพูดเหยียดชาวยิวยังไง Adidas ก็ไม่มีหน้ามาไล่ผมออก ทีนี้จะเอายังไงล่ะ"

แม้เขาจะได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Piers Morgan ว่า เสียใจที่เห็นว่าคอมเมนท์เรื่อง ‘Death Con’(ขู่ชาวยิว) ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้คน แต่นั่นเกิดขึ้นหลังจากพิธีกรดังจี้ไล่เขาให้พูดคำว่าขอโทษหลายครั้งหลายหน ต่างจากตอนต้นการสัมภาษณ์ Ye ได้ประกาศว่า ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยที่ใช้คำพูดแบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา เพราะต้องใช้ไฟสู้กับไฟ ( เอาracist มาสู้ racist!) นี่คือการต่อสู้ในรูปแบบที่แตกต่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความเสรี สำหรับหลายคน คำขอโทษของแร็พเพอร์ผู้อื้อฉาวไม่ได้โน้มน้าวใจให้ยอมรับ เพราะเขาเคยก่อวีรกรรมคล้ายกันมาแล้วหลายครั้ง คำว่าขอโทษที่ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากความรู้สึกผิดจริงๆนี้ไม่สามารถเยียวยาความรู้สึกกันได้ พวกเค้ากำลังจับตามองว่า จะต้องรออีกนานเท่าใด Adidas ผู้เป็น partner ที่ร่วมกันสร้างรายได้หลายพันล้านจึงจะออก action เด็ดขาด เพราะยิ่งนิ่งเงียบนานเท่าไร ภาพพจน์ของแบรนด์ก็ดูย่ำแย่ลง





แถลงการณ์จาก Adidas


"Adidasจะไม่ยินยอมต่อการต่อต้านชาวและการแสดงคำพูดเกลียดชังในทุกรูปแบบ การแสดงความเห็นและการประทำที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดของYe เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ มีเจตนาร้ายกาจ และก่อความอันตราย มันเป็นสิ่งที่ละเมิดค่านิยมความเชื่อของบริษัทที่ได้สนับสนุนความหลากหลายและการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เกียรติและมีความเป็นธรรม

หลังจากที่ได้ทบพวนพิจารณา องค์กรได้ตัดสินใจยกเลิก partnership กับ Ye อย่างทันที ยุติการผลิตสินค้าแบรนด์ Yeezy  เราจะหยุดส่งค่าตอบแทนให้กับ Ye และบริษัทของเขา  Adidas จะยกเลิกการทำธุรกิจ Yeezy มีผลอย่างทันทีนับแต่นี้เป็นต้นไป

คาดการณ์ไว้ว่า เรื่องนี้จะส่งผลกระทบด้ายลบเป็นเวลาไม่นาน ตีเป็นมูลค่ารายได้ของบริษัทในปี 2022 ราวๆ250ล้านยูโร โดยพิจารณาจากไฮซีซันของช่วงที่4 จากปฏิทิน"



ไม่เพียงเท่านั้น Gap และ Foot Locker ได้ประกาศว่าจะนำสินค้า Yeezy ออกจากstoreอย่างเร่งด่วนด้วยจุดยืนที่ไม่ต่างจาก Adidas

หลายคนอาจคาดการณ์ว่า ราคารองเท้า Yeezy อาจจะถีบตัวพุ่งสูงอีกหลายเท่า เพราะมันจะกลายเป็นสินค้าหายากที่ไม่มีผลิตซ้ำ แต่มีผู้ที่เชื่อมั่นว่า statement จากบริษัทชั้นนำของโลกทรงพลังมากพอเพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า พวกเค้าไม่ได้เพิกเฉยกับพฤติกรรมต่อต้านชาวยิว แม้จะต้องเสียผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไป




คนดังลุกฮือต่อต้านการเหยียดชาวยิวจากเหตุการณ์กลุ่ม Nazi บน freeway

อาจจะมีคนที่แนะว่า อย่าได้ไปถือสาหาความกับ Kanye ที่เพ้อเจ้อไปเรื่อย   เพราะดูแล้วเขาเป็นพวกดีแต่พูด ไม่ได้ก่อความอันตรายใดๆ  แต่พวกเค้าอาจจะเปลี่ยนความคิดกันใหม่  เพราะ Tweet สั้นๆ ครั้งเดียวอาจจะปลุกระดมกลุ่มคนที่มีความคิดสุดโต่งให้ออกมาเคลื่อนไหว หรือร้ายไปกว่านั้น  มีผู้แสดงความวิตกว่า  อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุสลดใจดังเหตุการณ์กราดยิงฆ่าชาวยิวใน Pittsburgh หรือเพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่กี่เดือนมานี้ คือเหตุกราดยิงในพาเหรดในชุมชนชาวยิวที่รัฐ Chicago บ้านเกิดของ Kanye!

คงไม่น่าแปลกใจที่ภาพของกลุ่ม Neo- Nazi ออกมาสนับสนุน Kanye ด้วยท่าสลุตแบบ Nazi จะสร้างความสยองขวัญให้กับคนในสังคม และไม่ได้มีเพียงชาวยิวเท่านั้น ใครๆก็ตั้งคำถามว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น เราปล่อยมาให้ถึงจุดนี้ได้อย่างไร!?

ลองมาชม reaction ของคนดังดูสิคะ


Isla Fisher

Florence Pugh

Sofia Richie

Sarah Michelle Gellar

Sara Sampaio

Dan Levy

Ariel Winter

Jennifer Aniston

Reese Witherspoon

ก้าวใหม่ของ Kanye เมื่อต้องแยกทางกับ partner รายสำคัญ


แม้จะมีรายงานว่า sport brand ชื่อดังกำลังวางแผนจะนำสินค้า Yeezy มาจัดจำหน่ายโดยลบชื่อเดิมออกไปแล้วแทนที่ด้วย Adidas จาก statementที่ว่า

"Adidas เป็นเจ้าของดีไซน์และสินค้าทุกอัน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนหน้านี้หรือcolorwaysใหม่ๆที่เกิดขึ้นจาก partnership"

รายละเอียดสัญญาระหว่าง Kanye กับ Adidas ไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน แต่มีผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย fashion วิเคราะห์สถานการณ์ไว้ว่า แม้ Kanye จะเป็นเจ้าของ trademark ของ Yeezy แต่ตามมาตฐานของวงการนี้ สิทธิ์การครองครองดีไซน์จะตกเป็นของบริษัทผู้ลงทุน แต่พวกเค้าจะไม่สามารถใช้ trademark อันเดิม สิ่งที่ทำได้คือนำดีไซน์เดิมกลับมาผลิตสินค้าภายใต้ชื่อใหม่ และชี้ว่า มีเพียงรองเท้าแตะ Yeezy Slides ที่เป็นของ Kanye เพียงผู้เดียว

ก่อนหน้านี้เคยเกิดสัญญาณความร้าวฉานของทั้งสองฝ่าย จากข้อกล่าวหาจาก Kanye ว่า ถูก Adidas เลียนแบบดีไซน์ของรองเท้าแตะ Yeezy รวมถึงตัดสินใจเลือกดีไซน์ สีสัน ชื่อของสินค้าแล้วยังว่าจ้างพนักงานทั้งๆที่เขาไม่ได้ให้ความยินยอม เรื่องราวความขัดแย้งนั้นปิดไม่มิด เพราะ Kanye แสดงออกอย่างแข็งกร้าวด้วยการโพสต์ประกาศการเสียชีวิตของ CEO ที่สร้างขึ้นด้วยการตัดต่อ คำยืนยันว่า Adidas เป็นเจ้าของดีไซน์และสินค้าทั้งหมดก็เปรียบเหมือนกับคำเตือนว่า หากเขายังดื้อดึงต่อต้านการตัดสินใจของแบรนด์ ก็จะเกิดการต่อสู้ทางกฎหมายตามมา



Forbes รายงานว่า จากการคำนวณตัวเลขทรัพย์สินของ  Kanye ที่มีถึง 2,000ล้าน USD   การตัดความสัมพันธ์กับ Adidas ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ส่วนใหญ่จะทำให้มูลค่าของเขาหายวูบไปเกินครึ่งจนทำให้เสียสถานะมหาเศรษฐีพันล้านไป  อย่างไรก็ตาม สื่อเจ้าอื่นคือ  Bloomberg และ  New York Post ได้ประเมินไว้ว่า เขาเคยมีทรัพย์สินสูงกว่าที่ Forbes คำนวณไว้มาก  และน่าจับตามองว่า  จะมีนายทุนยักษ์ใหญ่รายใดที่สนใจรับช่วงต่อตำแหน่ง partner ทางธุรกิจและสร้างรายได้หลายพันล้านกับ  Kanye บางคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า เขาย่อมไม่หยุดยั้งยอมสะดุดอยู่ตรงนี้  เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำอุตสาหกรรมfashion เขาอาจทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างแบรนด์จนประสบความสำเร็จถล่มทลายอีกครั้ง?

Move  แรกหลังจากแยกทางกับAdidas 


Ye อาจจะเคยเป็นเจ้าของ fashion line ที่ดึงดูดความสนใจจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ แต่หลังจากก่อเรื่องจนกลายเป็นกระแส boycott ใหญ่โต  เขาตัดสินใจไปโผล่ที่สำนักงานใหญ่ Skechers  แบบไม่ได้รับเชิญ  หลายคนเชื่อว่า นี่อาจจะเป็น business move เพื่อแก้ไขวิกฤติ โดยพุ่งเป้าหมายไปยัง partner รายใหม่แบบไม่สนใจตวามเป็นมืออาชีพ ไม่ยอมนัดหมายล่วงหน้า  (หรือเป็นเพราะว่า หากพยายามนัดเจรจากับผู้บริหาร อาจจะถูกบอกปัดไปก่อน?)

คุณคงเดาออกว่า ตอนนี้ฮีเป็นเผือกร้อนที่ยากจะหาใครอ้าแขนรับ    Skechers  แถลงการณ์อย่างทันควันว่า  ได้พาตัวฮีออกจากสถานที่ หลังจากที่แร็พเพอร์ดังถ่ายวีดีโอโดยไม่ได้รับอนุญาต  และยืนยันว่าไม่มีแผนจะร่วมงานกับ Ye เพราะรับไม่ได้กับการแสดงความเห็นสร้างความแตกแยกและต่อต้านชาวยิว   แต่ก็มีผู้วิเคราะห์เหตุการณ์ว่า  นี่อาจจะเป็นอีกครั้งที่ Kanye สร้างความแตกแยก เพราะ Skechers คือธุรกิจรองเท้าของครอบครัวชาวยิวที่ส่งต่อมา 2 รุ่นแล้ว  หากพิจารณาว่า เขาได้พาคนไปถ่ายทำวีดีโอในตึกสำนักงานใหญ่  ก็เป็นไปได้ว่าจะพยายามปั่นป่วนว่าถูกกลุ่มธุรกิจชาวยิวกลั่นแกล้งอีก!
แร็พเพอร์ดังอาจจะมีภาพลักษณ์ 'อัจฉริยะที่ก่อวีรกรรมฉาวซ้ำซากแต่ก็ยังรุ่งฉุดไม่อยู่' มาหลายปี  แต่ในครั้งนี้ถือเป็นผลกระทบใหญ่หลวงที่สุดที่เกิดขึ้นในเส้นทางความสำเร็จของเขา  ไม่ว่าจะเป็นอดีตภรรยา เพื่อนฝูง เอเจนซี่  และ partnerทางธุรกิจก็หันหลังให้  ตอนนี้เขาไม่ได้สร้างผลงาน collaboration กับแบรนด์ใดอีก แม้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนจากแฟนๆที่ไม่แคร์ถึงผลเสียจากการเหยียดเชื้อชาติและศาสนา  (ข้อความต่อต้านยิวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความอื้อฉาว การแสดงออกว่าต่อต้าน black community  ก็สร้างความโกรธเคืองจากโลกออนไลน์เช่นกัน) ดังที่ปรากฏให้เห็นในโลกออนไลน์ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็นดีเห็นงามกับเขาไปหมดทุกอย่าง  แต่พวกเราต่างประจักษ์แล้วว่า การยกหลัก free speech มารองรับคำพูดที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่นไม่ได้ work ไปทุกกรณี แม้จะเป็น  Kanye West ก็ตาม
The End


candy

candy

ติดตาม Mouth On The Web แล้วอย่าลืม Mouth On The Face นะคะ ^ ^

FULL PROFILE